จุดเปราะบางในใจ

โดย สาวตา เมื่อ 11 มกราคม 2009 เวลา 17:08 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 2176

วันเด็กที่ผ่านมา ต้องถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่มีหลายเรื่องชักนำให้หวนไปใคร่ครวญถึงเรื่องของจุดเปราะบางในใจแล้วทำให้เกิดปิ๊งแวบและเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงขอมาบันทึกแลกเปลี่ยนไว้ซักหน่อย

เมื่อคราวที่ไปเหนือเพื่อร่วมทีมพี่ตึ๋งทำงานให้คณะของน้องสร้อย ขากลับมีโอกาสแวะพบกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ซึ่งฉันได้เพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะชวนเธอไปเป็นศิษย์วงน้ำชาพร้อมกันในครั้งที่ได้ไปกับอึ่งอ๊อบ ซึ่งเธอก็บ่ายเบี่ยงไปต่างๆนานา แล้วฉันก็ได้แต่ทำใจว่า อืม! ยังไม่ใช่วาระของเธอ

วันที่ได้ไปพบกับเธอนั้น ฉันได้มีโอกาสตามเธอไปที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีคำพูดและการลงมือปฏิบัติอะไรหลายอย่างที่ฉันติดใจเก็บมาใคร่ครวญหาคำอธิบายมันเพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกต่อต้านและงุนงงที่เกิดในใจให้กระจ่าง ความรู้สึกที่งุนงงเพิ่งมากระจ่างในวันเด็กนี้เอง ที่มันงงนะ เพราะในวันนั้นผู้นำการปฏิบัติธรรมที่เป็นแม่ชีคนหนึ่งได้พูดบอกคนที่ไปชุมนุมว่า หากใครที่เอ่ยเรื่องอะไรแล้วยังมีน้ำไหลออกตาอยู่ละก็ ท่านยังควรต้องฝึกปฏิบัติตนต่อไปอีก ที่งุนงงก็เพราะว่าคนที่ไปชุมนุม ล้วนเป็นฆราวาสทั้งสิ้นนะซีค่ะ จะไม่ให้เขาร้องไห้กับเรื่องอะไรเลยเมื่อเสียใจเป็นไปได้รึ การปฏิบัติธรรมนะหรือจะทำให้มนุษย์ไม่ร้องไห้เลย แม้แต่พระสงฆ์ฉันยังข้องใจอยู่เลยว่า ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมนะท่านทำยังไงกับการกลั้นอารมณ์ไม่ให้ร้องไห้โดยที่มิต้องกดเก็บอารมณ์ไว้ แต่รับรู้ว่ามันมีอารมณ์อยู่นะแล้วมันทำให้ท่านไม่ร้องไห้ได้จริงๆโดยไม่ต้องข่มใจ

ก่อนวันเด็กนั้น ฉันได้เขียนบันทึกเรื่องราวของเจ้ามีที่มาอย่างไรต่อมา มีหลายเรื่องที่แตะความเปราะบางในใจของฉันเมื่อเขียนถึงมัน พอโพสต์ไปแล้วก็มีคนเข้าใจว่าฉันคงเศร้าในใจหลายคนอยู่ จึงอยากถอดความในใจมาบอกว่าฉันพบประสบการณ์ใหม่ที่เกี่ยวกับเรื่องความเปราะบางที่ทำให้ร้องไห้อย่างมีปิติ  ประสบการณ์ใหม่ที่บอกนี้ คือ ความเข้าใจพัฒนาการข้างในของตัวเองค่ะ

หากไม่ลืมแล้วคงจะจำได้ ในบทกระบวนกรมีเรื่องของผู้นำ 4 ทิศ ที่จริงความเปราะบางที่เกิดขึ้นนั้นมันเกิดจากการที่หนูมีโอกาสใช้พื้นที่ใจมากขึ้นนะเอง  เมื่อปรับตัวจนเปิดใจ คนโต 3 คนที่อยู่ด้วยเขาเต็มใจเปิดพื้นที่ให้หนูมีพื้นที่มากขึ้น จึงทำให้จุดเปราะบางมันโผล่ออกมาให้รับรู้ไวขึ้นจนน้ำตามันไหลออกมาเรื่อยไป บางครั้งมันไหลออกมาโดยไม่ทันตั้งตัวหรือรู้ตัวเลยด้วยซ้ำก็มี

สังเกตตัวเองอยู่นะค่ะ แล้วก็พบว่า เมื่อเปิดใจ แล้วใจเปิด ทุกครั้งที่รำลึกถึงจุดเปราะบางในใจที่มีอยู่ สติมันมาเร็วขึ้นๆเสมอ มันมาคอยสังเกต คอยประคองดู จนมันปิ๊งแวบความเข้าใจ ทำให้ใจนะรับรู้มุมด้านบวกของการแตะจุดเปราะบางว่ามันเป็นความปิติอย่างที่วงน้ำชาใช้คำเรียกจริงๆนะ ด้วยว่าที่สุดเวลาที่แตะมันมันมีความสงบทั้งที่น้ำไหลออกตา ต่อๆมาน้ำที่ไหลออก มันแห้งเหือดออกน้อยลงมาเรื่อยๆพร้อมความรู้สึกดีๆทุกครั้งที่ได้นึกถึงเรื่องราวของจุดเปราะบางเหล่านี้

ครั้งแรกที่แตะจุดเปราะบางแล้วร้องไห้ ใจนั้นมันบอกให้ข่มเอาไว้ด้วยว่าอายตัวเอง กลัวคนรู้ แม้แต่เวลาอยู่คนเดียวก็ข่มใจ แต่พอเข้าใจตัวเองว่า ที่ข่มนั้นเพราะว่าอาย เลยเลิกอายไป อยากร้องก็ร้อง ประสบการณ์แปลกที่เกิดขึ้น ทำอะไรห่วยๆไปซะบ้าง ไม่ยี่หระกับมันซะบ้าง มันกลับดีวันดีคืนแฮะ คือ เมื่อปล่อยให้ร้องไปโดยไม่ข่ม เดี๋ยวเดียวน้ำไหลออกตามันหยุดเอง  แล้วใจนั้นกลับเข้มแข็งขึ้น บอกกับตัวเองว่า เอ๊ะ! รู้สึกดีกว่าทุกวัน

หลังจากนั้นมาเลยปล่อยเรื่อย เวลาอยู่คนเดียวแล้วไปรำลึกถึง แตะเข้าบ่อยๆมันเหลือแค่น้ำตาซึม ไม่ต้องข่มกลั้นแต่อย่างใด ทำไปก็รู้ตัวว่าน้ำมันไหลออกตาอีกแล้วนะ รู้แล้วก็ตามดูความรู้สึกว่าเป็นยังไง มันเศร้าหรืออะไรอย่างไรกัน มันรู้แต่ว่าแปลกไปจากแต่ก่อนอีตรงที่ไม่ได้เศร้าอะไรนี่  รู้สึกแต่ว่าน้ำตามันซึมออกมาเองเมื่อไปแตะถึงเรื่องราวของมันทันทีแค่นั้นเอง เมื่อบอกตัวเองบ่อยๆว่า น้ำตามันไหลอีกแล้วนะ มันตามความรู้สึกไปทันทีเพื่อเรียนรู้ว่าร้องไห้ทำไม 

ที่รู้สึกแปลกก็คือว่า แปลว่าใจนะมันรู้สึกเองได้นะ ความรู้สึกนะไม่ได้มาจากสมองรู้ได้ทั้งหมดหรอก พอรับรู้นี้จึงเข้าใจ ทำไมมีคำพูดว่า เมื่อมีน้ำตาไหล มันจึงเป็นน้ำตาแห่งความปิติ จะไม่เรียกปิติได้ยังไง ในเมื่อใจมันมีอิสระจากความคิดแล้วแสดงชัดออกมาให้รู้ได้ แปลว่าเริ่มช้าลงจนทันกับการทำงานของฐานคิดและฐานใจแล้วรึเปล่า ที่แปลกนะก็อยู่ตรงนี้ ที่เคยรู้สึกมาก่อนหน้าไม่ค่อยมีความรู้สึกที่แยกกันจากความคิดจนรู้ได้อย่างนี้เท่าไร

สิ่งนี้จะรู้ก็ต่อเมื่อ ตามดูตามรู้ตัวเองให้ทันเท่านั้นแหละ แล้วตามแบบที่ดูเฉยๆ ไม่ใช้ความคิดวิเคราะห์ก่อน การคิดวิเคราะห์ก่อนนะทำให้ปิดบังไม่รู้ว่าใจเป็นยังไง คำตัดสินหรือการตั้งคำตอบนะมันเกิดขึ้นอีตอนวิเคราะห์ก่อนนี่แหละที่เป็นความคิดไปทำให้ใจมัวและเป็นทาส ทำให้ใจไม่อิสระพอที่จะแสดงออกมาให้รับรู้ได้  มิน่าวงน้ำชาเขาจึงพยายามสอนให้ “แขวนไว้/ห้อยไว้/ไม่ตัดสิน”

วันนี้ไม่แปลกใจอีกแล้วว่า การร้องไห้ออกมาของคนนะสื่อถึง 2 มุม มุมหนึ่งคือ สื่อความปิติของใจ และอีกมุมหนึ่ง คือ สื่อความทุกข์ของใจ  ซึ่งเจ้าของใจเท่านั้นที่จะเปลี่ยนมันจากทุกข์เป็นปิติใจได้  เมื่อมีปิติแล้วที่สุดใจก็ใสได้

ใจที่ใสขึ้นๆแล้วนะแหละ มันจะพายิ้มและหัวเราะเข้ามาแทนที่น้ำตาให้เมื่อได้รำลึกและไปแตะต้องที่จุดเปราะบางเดิมๆนั้นของใจคนโดยไม่ต้องให้สมองคิดสั่งให้หนักแรงสมอง   ฉันว่าภาวะอย่างนี้นี่แหละมั๊งคือพลังที่คอยขัดเกลาให้จิตประภัสสรน่ะ

วันเด็กก็เลยคุยกับหลานแห่งชาติเธอได้ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะคุยกับเธอยังไง รับรู้ว่าใจเธอว่าวันนี้เธอสับสนกับความรู้สึกตนเองอยู่ สิ่งที่คุยบอกเธอบอกไปอย่างนี้

คนที่เรารักอยู่ข้างกายเรานี่แหละลูกเอ๋ย การที่เราคิดถึงเขาแล้วร้องไห้นะ ไม่ใช่เรื่องแปลกเรื่องเศร้า เพียงแต่ใจเรามันเตือนว่า เขาอยู่ข้างกายเราอยู่นั่นแล้ว ไม่ได้จากไกลไปที่ไหนเลย ใจบอกตัวเราให้รู้ว่าเรายังรำลึกถึงเขาอยู่ด้วยความรัก ถ้าหากจะร้องไห้ก็ร้องไปเถอะนะลูก เป็นเรื่องธรรมดาเพราะว่า “ใจเราเป็นมนุษย์” นี่ลูก ร้องเพื่อให้รู้ตัวเองและหาคำตอบให้ตัวเองค่ะลูก ร้องแล้วจะยิ้มได้เมื่อได้คำตอบออกมา…สนุกกับน้องๆให้เต็มที่นะจ๊ะ

พูดจริงๆนะว่า เมื่อคำตอบออกมา ยิ้มมันตามมาโดยไม่ต้องฝืนใจ มีความอิ่มเต็มในใจโดยไม่ต้องฝืน แม้ว่าจะอยู่ในภาวะน้ำตาซึม บอกให้ทำบ่อยเพราะรู้ว่า ทำไปบ่อยๆน้ำตานะมันซึมหายไปได้ มียิ้มแทน คำตอบจะออกมาเมื่อไร อยู่ที่การคอยมองดูซ้ำๆ  โดยไม่จินตนาการคำตอบล่วงหน้า ไม่มีปุจฉาว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ไม่มีความกลัวว่าจะเศร้าใจ มองดูแบบการดูหนัง ที่ไม่รู้ว่าหนังมันจะเดินเรื่องยังไงบ้าง  ดูจนจบเรื่องแล้วจึงรู้ว่า หนังเรื่องนี้มันทำให้รู้สึกอย่างไร ดูจบแล้วจึงมีความคิดกับเรื่องของมัน สรุปความคิดที่เกิดขึ้นว่า มันมีอะไรใหม่ที่ได้เรียนบ้าง ทำซ้ำๆแล้วมันจะช้าลงๆ จนรับรู้ได้ว่าใจที่ขุ่นนั้นมันใสขึ้นๆแล้วรึยัง

นี่คือคำตอบที่รู้ขึ้นมาว่า ที่แม่ชีเขาพูดมาให้ได้ยินนั้น มันทำได้จริงนะ ถ้าปฏิบัติจริงๆ นี่ไงวาระของฉันที่มันมาถึงแล้วให้ปิติใจ จนทำให้มาเขียนบันทึกนี้ขึ้น

« « Prev : เจ้ามีที่มาอย่างไร(16)

Next : เด็กสอนผู้ใหญ่ก็ได้นะ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 Sasinand ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มกราคม 2009 เวลา 17:55

    พี่เองก็มี จุดเปราะบางในใจเหมือนกัน แต่เกิดไม่บ่อยค่ะ นานๆที รู้ตัวว่า จุดเปราะนั้น คือ อะไร แต่โชคดีอยู่หน่อย ที่เป็นอยู่ไม่นานก็หาย
    ปกติ ไม่ค่อยเปราะค่ะ

  • #2 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 มกราคม 2009 เวลา 23:10

    ก้าวหน้าจริงนะ แถมเอามาเล่าให้ฟังด้วย ขอบคุณมาก อิอิ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.024884939193726 sec
Sidebar: 0.10720491409302 sec