ถอดบทเรียนกระบวนกร-2

โดย สาวตา เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2008 เวลา 12:30 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 2612

 เช้าก่อนเดินทางมาร่วมงานพบปะชาวเฮที่บ้านป้าจุ๋ม มีงานที่ควรสะสางเพื่อส่งไม้ต่อ 2 เรื่อง หลังจากจัดการส่งไม้การเตรียมการประชุมในวันจันทร์ให้กับทีมงานสาธารณสุขอำเภอเรื่องของการเสนอของบประมาณดำเนินงานและการร่วมให้ความเห็นในการจัดระบบการใช้งบประมาณแล้ว  ก็เป็นการหันมาส่งไม้ต่อให้เลขาฯที่ประชุมมองเห็นประเด็นที่จะทำงานคลี่คลายอุปสรรคให้กับผู้ทำงานร่วมกับองค์กรอื่น วิธีส่งไม้นี้ฉันไม่ได้ส่งตรงๆ หากแต่จัดเวทีให้เขาเรียนรู้ความรู้สึกของคนอื่นแล้วเข้าใจหน้าที่ว่าควรทำอย่างไรต่อไป

ฉันจัดเวทีคุยขึ้นในเช้าวันนี้ ระหว่างคน 5 คนรวมทั้งตัวฉัน สี่คนที่มาร่วมคุยเป็นหัวหน้างานในกลุ่มงานที่ฉันดูแลโดยตรง  ให้ลูกจ้างนัดหมายเวลาล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เช้าขอคุยด้วยในช่วงก่อนเที่ยงของวันนี้  เมื่อถึงเวลานัดหมาย มีภาษากายให้อ่านอีกแล้ว 2 คนรู้ดีว่ามีประชุม มากันแล้วแต่โอ้เอ้ไม่ยอมเข้ามาร่วมคุย 1 คน รู้ล่วงหน้าเข้ามารอตรงเวลา 1 คนไม่รู้ตัวก่อน เมื่อบอกก็เข้ามาทันทีไม่รอช้า  ภาษานี้ฉันอ่านว่า คนที่โอ้เอ้คือ คนที่กลัวไม่อยากคุย และ คนที่ไม่อยากคุยเพราะใจจดจ่อกับงานอื่นจนไม่ให้ความสำคัญกับการคุย

หากใช้ภาษาคลื่นของวงน้ำชา มันจะแปลได้ว่า คนที่โอ้เอ้ คือ คนที่อยู่ในคลื่นเบต้า แต่ว่าคนที่เข้ามารอคุยอยู่ในคลื่นเบต้าด้วย ได้ไหมหนอ น่ารู้จริงๆ

c1

เวลาผ่านไปหลายนาที คนที่โอ้เอ้ก็ยังไม่เข้ามาร่วมคุย ครั้นจะเริ่มก่อน คนที่ไม่เข้ามาก็เป็นคนสำคัญ ด้วยความเคยชิน ทำให้ฉันบอกคนที่มารอว่า ให้ไปตามหน่อย มีคนหนึ่งในคนที่รออยู่บอกขึ้นว่า เขารู้เวลานัดหมายแล้ว  ฉันจึงนึกขึ้นได้ว่า หากคนอยู่ในคลื่นเบต้าตลอดเวลา การนิ่งฟังในระหว่างการสนทนาจะไม่ได้ข้อมูลคุณภาพเกิดขึ้น ฉันบอกใหม่ว่า งั้นให้คนที่รออยู่นั่งสมาธิรอสักครู่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำหรอกค่ะ แต่ฉันทำให้ตัวเองค่ะ ทำไปได้สักครู๋ คนที่กลัวก็เข้ามา แล้วคนที่ไม่อยากก็ตามเข้ามา

ทุกครั้งที่ชวนมาคุย ทุกคนจะเข้ามานั่งแบบมียักษ์นั่งหัวโต๊ะ คราวนี้ฉันปฏิวัติ ให้ลูกจ้างจัดที่นั่งเป็นวงสนทนาไว้รอ แล้วก็ไปนั่งรอที่วง ตอนที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้อง สองคนแรกที่เดินเข้ามาก็จะไปนั่งตามความคุ้นชิน ดูเหมือนจะชะงักอยู่เป็นครู่ที่ฉันเชิญเข้ามานั่งที่วงแทนนั่งที่โต๊ะ นั่งแล้วยังไม่ทันทำสมาธิกัน  อีกคนก็ตามมา ดูเหมือนจะเข้ามาด้วยใจมุ่งมั่นว่าจะคุยอะไรก็เอา จึงไม่มีการชะงัก เหลือบเห็นวงก็เข้ามานั่งเลย ระหว่างนี้ฉันไม่เอ่ยคำพูดอะไร แค่นั่งรออย่างเงียบๆ รับรู้ได้ว่าไม่มีความอึดอัดอะไรในบรรยากาศ  คนสุดท้ายเข้ามาเข้ามาถึงเธอก็ลากเก้าอี้ออกห่างจากวงดูเหมือนจะตั้งใจที่จะหันหน้าคุยกับฉัน  ฉันจึงเอ่ยบอกเธอว่า ไม่ต้องเลื่อนห่าง เราจะคุยกันไปด้วยกัน 

แล้วฉันก็บอกไปว่า ฉันอยากจะให้เขาเล่าเรื่องราวให้ฉันฟังหน่อยว่าที่ผ่านมานั้นการทำงานของเขาที่เกี่ยวข้องกับองค์กรท้องถิ่นมีเรื่องราวอะไรบ้าง โดยให้เล่าทีละคน ฉันจะไม่ซักถามจะแค่ขอฟังเรื่องราว คำเล่านั้นจะเป็นคำถามหรืออะไรก็แล้วแต่ จะมีคำถามก็บอกได้ไม่ใช่ข้อห้าม กติกามีแค่ว่า เมื่อการเล่าเขาจบลง ขอให้กล่าวคำว่า “จบ” เพื่อให้คนต่อไปได้รู้ว่าที่เงียบลงนั้นคนเล่าพูดจบแล้ว ไม่ใช่เงียบลงเพราะยังมีเรื่องจะพูดและกำลังเรียบเรียงพูดออกมา

c2

เริ่มคุยรอบแรกทุกคนเงียบไปเป็นครู่ เหมือนชั่งใจว่าจะคุยอะไร แล้วน้องเล็กที่สุดของวงก็เริ่มขึ้นก่อน น้องเล็กเล่าเรื่องราวไปเรื่อยอย่างสั้น เป็นเรื่องเล่าผสมเรื่องสรุปปะปนอยู่ และเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องตรงประเด็นคือ เรื่องที่เคยไปเกี่ยวข้องมา  คนต่อมาเล่าต่อมา เล่าเรื่องที่เพิ่งให้งานไปทำก่อนการเข้าประชุมหนึ่งวัน เป็นเรื่องราวเล่าเรื่องที่ยังผสมความคิดเห็นต่อสิ่งที่ได้ลงมือทำ  คนที่สามเล่าสรุปว่าผลการไปเกี่ยวข้องเป็นอย่างไร สั้นมากๆๆๆ คนสุดท้ายเล่าเรื่องที่คิดจะทำไปข้างหน้า ลงรายละเอียดตีแผ่วิธีคิด วิธีทำ

วันสุดท้ายก่อนลาจากวงน้ำชา มีการทำ AAR การเรียนรู้ในภาพรวม มีคำหนึ่งที่ฉันแลกเปลี่ยนความหมายของคำว่า “เป้าหมาย”  คนให้ความหมายของคำๆนี้แตกต่างมากน้อยและละเอียดไม่เท่ากัน  สำหรับฉันเห็นว่า คำนี้คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดการกระทำที่เรียกว่า “ตัดสิน”

 

การตัดสินทำให้คนมีเรื่องที่ต้องทำมากมายนัก บางคนงานเยอะ ไม่มีเวลา แต่ว่ามีความสุข บางคนงานเยอะ มีเวลา และมีความสุข บางคนงานเยอะ ไม่มีเวลา และไม่มีความสุข บางคนสุขน้อย  บางคนงานเยอะ มีเวลา ก็ไม่มีความสุข จิปาถะที่เป็นผลจากมัน  และการให้ค่ากับคำตัดสินนี่เองที่ทำให้คนมีประสบการณ์ที่ให้ความรู้ เป็นความรู้ที่เชื่อมสัมพันธ์โลกภายนอกไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกภายใน  คำตัดสินนี้เองที่ทำให้เกิดการวัด และเป็นที่กำเนิดขึ้นของตัวชี้วัดในโลกภายนอกและโลกภายใน

c3

ฉันรู้ตัวว่าฉันมักจะตั้งเป้าหมายก่อนทำอะไรเสมอ บางเวลาบางเรื่องฉันก็ตั้งเป้าหมายมันไว้แค่เพื่อบอกทิศว่าฉันเดินเข้าไปใกล้มันมากน้อยแค่ไหน บางครั้งทิศของฉันก็มีเรื่องราวแค่เท่าที่เข็มทิศชี้บอก บางครั้งก็มีองค์ประกอบที่บอกพิกัดที่หยาบบ้าง ละเอียดบ้างเข้ามา ก็แล้วแต่จะความรู้ตัว ถ้ารู้ตัวก็จะวางน้ำหนักไปอย่างที่ทำให้โลกภายในไม่สะเทือน ไม่รู้ตัวก็จะวางน้ำหนักไปจนทำให้โลกภายในสะเทือนเลื่อนลั่นไม่ผ่อนคลาย

กิจกรรมวันนี้ทิศที่วางจึงเป็นทิศที่วางน้ำหนักไว้ด้วยค่ะ  ฉันกำลังค้นหาทิศที่จะนำพาคนของฉันให้เข้าไปอยู่ในคลื่นแอลฟ่าเป็นกิจวัตรเมื่อเขามีความสัมพันธ์กับคนอื่น ยานสำคัญที่เขาจะต้องใช้ให้คล่องในขณะที่โลกรอบข้างเป็นเบต้านั้น คือ “หู ตา จมูก ลิ้น กาย” เพราะว่าการที่เขาจะเข้าไปสู่คลื่นแอลฟ่าได้ ทั้ง 5 สัมผัสนี้ต้องเชื่อมสัมพันธ์กับ “ใจ” ได้สมดุลหนึ่ง

ทิศหรือเป้าหมายในวันนี้ของฉันจึงอยู่ที่ การทำให้เขามีสติกับคำว่า “จบ”  และทำให้เขาได้รับรู้ทางเลือกแห่งการตัดสินใจในเรื่อง “ความสัมพันธ์ ”  ทำให้เรื่องราวของความสัมพันธ์เป็น “การต่อ” “เชื่อม” แทนการ “ตัด” “ทอน”  เป้าหมายจึงมีแค่รับรู้ว่า คนของฉันใครบ้างที่ขับยานให้ตัวเองได้แล้ว และแต่ละคนมีทักษะในการขับยานนี้แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ใครที่ยังไม่พร้อมจะขึ้นนั่งและขับมัน 

รอบแรกที่ผ่านไป ทั้งสี่คนที่ร่วมคุย ไม่มีใครจบลงด้วยคำสนทนาว่า”จบ” แม้แต่คนเดียว  มีคนที่ตัดสินใจพูดเมื่อถึงรอบของตน และพูดกินพื้นที่คนอื่นอยู่  มีคนที่เริ่มไวขึ้นต่อการฟัง และทั้งหมดที่ร่วมคุย ยังมีคำตัดสินในใจของตนก่อนการเริ่มคุย 

c4

หากให้ฉันประเมินความสำเร็จในฐานะกระบวนกร ฉันขอประเมินว่า บรรยากาศของการคุยในวันนี้ คือ ความสำเร็จค่ะ มีความผ่อนคลายเกิดขึ้นเมื่อเทียบกับการพูดคุยกันในอดีต สามารถปลดล็อกการปิดกั้นทางเลือกอื่นของผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาได้ จากการเรียนรู้จากคนอื่นๆในวงสนทนา ส่วนการเลือกไปใช้ให้เหมาะกับเรื่องที่ยังไม่ลงมือกระทำหรือแก้ไขการกระทำจะเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างไร และให้ผลอย่างไร ไม่มีคำตอบผิดถูกนะวันนี้ เพราะนี่เป็นวาระของผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาที่จะช่วยกันแก้ปมค่ะ

ความสำเร็จอีกแง่มุม คือ ฉันว่าฉันได้เทคนิคการก่อกวนคนเพื่อเจาะเปลือกไข่ให้มีรูใส่ยาลงไปบำบัดไม่ให้ไข่เน่าขึ้นมาบ้างแล้ว มันทำให้เข้าใจในเรื่องที่ใหญ่ตอบคำถามระหว่างกิจกรรมด้วยคำว่า “ขึ้นกับบริบท” ชัดขึ้นกว่าที่เคยมีความรู้ค่ะ

Keyword :  ทำตัวเป็นตัวประหลาด 

                 ฝืนความคุ้นชิน 

                 ชี้ทิศแทนชี้เป้า 

                 ตั้งเป้าเพื่อหาทิศ

                 จับไข่ให้ถูกฟองเพื่อเรียนรู้การเห็น

                 ทิศเป็นทางเดินขึ้นยานของบุคคลในวงสนทนา

                 การแปลความหมายอยู่รอด อยู่ร่วม อยู่อย่างมีความหมาย  เป็นเรื่องของปัจเจก 

 

« « Prev : ถอดบทเรียนกระบวนกร-1

Next : ถอดบทเรียนกระบวนกร-3 » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "ถอดบทเรียนกระบวนกร-2"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.061222791671753 sec
Sidebar: 0.11407208442688 sec