วันที่สองของกิจกรรม
อ่าน: 1052เช้านี้ตื่นขึ้นมาด้วยได้ยินเสียงสองคนพ่อลูกเจ้าถิ่นเขาคุยกัน แขกตื่นสายกว่าเจ้าบ้านตามเคย ได้เวลาก็พากันออกจากบ้านไปด้วยกัน ถึงห้องนั่งเล่นเก้าโมง ปรากฏว่าพวกเรามาเช้ากว่าคนอื่นค่ะ
ก่อนเล่าว่าในวันนี้มีกิจกรรมอะไรต่อบ้าง ขอเล่าย้อนไปเรื่องเมื่อคืนว่า กิจกรรมกลางคืนนั้นเจ้าของหลักสูตรเขาเปลี่ยนเอา KM ในรูปของปฏิบัติการถอดความรู้มาให้รู้จักค่ะ มีความรู้ที่สกัดออกมาได้จากกิจกรรมเมื่อคืนที่เล่าไว้แล้วในบันทึกก่อนหน้า แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ ความรู้ในตัวคนที่เกิดขึ้นหลังการสกัดความรู้กัน ซึ่งมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเรียนรู้อะไร (learning)
กิจกรรมเช้านี้เริ่มด้วยนั่งสงบกับตัวเอง แล้วเซียนก็มาเท้าท้าวความทฤษฎีของคลื่นสมอง โหมดปกป้อง โหมดปกติ โหมดเหนือปกติ ให้ได้รู้จัก พักภาคเช้าแล้วต่อด้วยกิจกรรมที่เรียกว่า personal-impersonal ค่ะ เป็นกิจกรรมระหว่างคนสองคนที่ให้ผลออกมาเป็นการรู้จักตัวตนฝึกการรับคลื่นของความสัมพันธ์ ก่อนเริ่มการคุยสองคนเขาก็ให้เดินไปมาโดยอิสระ แล้วต่อด้วยการเดินสัมผัสกันทางสายตา และต่อมาเป็นการสัมผัสกายกันตามแต่ใจต้องการก่อนค่ะ ฮ่า ฮ่า จะบอกว่า ฉันน้ำตารื้นอีกแล้วค่ะ มันออกมาตอนให้เดินอย่างอิสระคนเดียว ตอนที่น้ำตารื้นมีคำพูดแวบเข้าหูแล้วน้ำก็ไหลออกตามาเอง ถ้าจำไม่ผิดมันคือ คำว่า “โดดเดี่ยว” ค่ะ
ความจริงเมื่อคืนนี้ก็มีแวบหนึ่งที่น้ำไหลออกตาเล็กน้อย มันเป็นตอนที่ได้ยินคำว่า “พ่อ” ออกจากปากน้องตาลแห่งห้องนั่งเล่นค่ะ สำหรับน้าอึ่ง (ขอนำมานินทาหน่อย เพื่อไม่ให้น้อยหน้าอยู่คนเดียว) น้าอึ่งเขาก็น้ำไหลออกตาจนเซียนเขาต้องเลื่อนกล่องกระดาษทิชชูมาให้…. อิอิ เรื่องที่น้าเขาถอดความรู้บอกออกมาเป็นเรื่องที่เขาเอ๊ะขึ้นในใจในส่วนที่เกี่ยวพันกับเรื่องเล่าของน้องโอ อดีตเจ้าพ่อแก๊งค์มอร์เตอร์ไซด์ค่ะ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรโยนไปน้าอึ่งแล้วค่ะ
ตอนทำกิจกรรมของคนสองคนภาคเช้า มีการนั่งเข่าชนเข่าดูแลความรู้สึกของกันและกัน ฝึกการถ่ายทอดโอนพลังให้กันและกันด้วยค่ะ น้องนกเป็นคู่ที่ฉันได้ทำกิจกรรมด้วย เธอรับคลื่นจากฉันไปถ่ายโอนเป็น bonding ต่อไปให้กับพ่อแม่และ ญาติพี่น้องค่ะ จู่ๆกิจกรรมนี้ทำให้ฉันเข้าใจคำหนึ่งขึ้นมาอย่างชัดเจนมากค่ะ คำนั้นก็คือ “การแผ่เมตตาให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่”
แลกเปลี่ยนกันนะค่ะ “แผ่เมตตา” ให้คนที่ยังสามารถดูแลกันได้ สามารถทำได้โดยแผ่พลังความรู้สึกดีๆที่เราอยากให้เขามีโยนทางคลื่นไปให้กับคนที่เราเมตตาค่ะ เป็นพลังในใจที่ผู้รับรับได้จริงๆ จึงมาขอชวนให้แผ่เมตตาให้คนทุกข์เพื่อให้เกิดความสุข ความอิ่มในใจ และความสงบในสังคมค่ะ
กิจกรรมภาคบ่ายเริ่มด้วย body relax เหมือนเมื่อวานนี้ แล้วต่อด้วยการให้เดินทบทวนทำความรู้จักวิถีของตนที่ผ่านมา ทบทวนความรู้สึกที่มีต่อผู้พิทักษ์ของตน แล้วให้คุยบอกความรู้สึกกับผู้พิทักษ์ ขอบคุณและคุยกับผู้พิทักษ์ในสิ่งที่ต้องการบอก พร้อมกับให้กระดาษมาคนละใบ หลังจากนั้นก็ให้จับคู่เล่าสู่กันฟัง
น้าอึ่งหลีกไปจับคู่กับผู้เข้าร่วมที่มาใหม่ ฉันจับคู่กับน้องแวน พยาบาลที่มาจากร.พ. เชียงรายค่ะ ฉันแซวน้าไปว่า ที่ไม่จับคู่กันสงสัยน้าจะกลัวน้ำไหลออกตาพร้อมกันแหงๆ ก็ระหว่างที่คุยกับผู้พิทักษ์ผ่านกระดาษน่ะ ฉันต้องใช้กระดาษทิชชูเช็ดตาและน้ำมูกตั้งหลายแผ่นค่ะ
เป็นเรื่องที่แปลกที่อยากแลกเปลี่ยนตรงที่ เมื่อเขาให้เขียนแล้วเล่ามันเหมือนได้คุยกับคนอีกคนในตัวเรา แล้วตอนที่แลกเปลี่ยนกับน้องแวนนั้น เรื่องที่เล่าก็ทำให้น้องแวนเขาน้ำไหลออกตาด้วย ตอนผลัดเปลี่ยนให้น้องแวนเล่า ดูเหมือนจะรับสัญญาณได้ว่า น้องเขากลัวมากๆที่จะเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ใจอยากให้กำลังใจจึงยื่นมือไปจับมือเธอไว้ โอ้โหอะไรกัน มือเย็นเฉียบเหมือนแช่น้ำแข็ง จึงจับมือไว้แบบบีบแล้วคลายให้กำลังใจจนมือเริ่มอุ่น เธอจึงเริ่มเล่าได้ ระหว่างฟังเรื่องของเธอ ในอกมันรู้สึกอึดอัด ทั้งๆที่ใจมันสงบ เลยฝึกแผ่ความเมตตาให้เธอ บอกในใจว่า เล่าเหอะ เล่าเหอะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ดีแล้ว เล่าไปๆเธอก็เล่าไปยิ้มไปด้วยได้ ระหว่างการเล่า ฉันแอบโยนตัวกวนใส่เธอ เพื่อให้เธอรู้จักตัวเองเพิ่ม ได้ผลแฮะ สุดท้ายเธอบอกออกมาว่า เธอเป็นกระทิง ทั้งๆที่เมื่อวานเธอบอกว่า เธอเป็นหนูค่ะ
จบกิจกรรมคู่ ก็มีการแลกเปลี่ยนกันต่อในวงใหญ่ ได้มุมมองอะไรอีกหลายประเด็น การแลกเปลี่ยนในวงใหญ่นี่มั๊ง ที่ทำให้มีคำบอกว่า น้าอึ่งกลัวฉันขึ้นมาในวันนี้ค่ะเธอบอกขึ้นในระหว่างไปเที่ยววัดตอนช่วงเย็นก่อนมาเข้ากิจกรรมภาคค่ำ แล้วเธอก็ไม่เฉลยนะค่ะว่า เธอเรียนรู้อะไร จึงรู้สึกอย่างนั้น
ระหว่างนั่งรถกันไปเที่ยว ฉันเล่าให้น้องคนสวยฟังว่าวันนี้ฉันน้ำไหลออกตาอีกแล้ว ดูเหมือนเธอจะคาดว่าฉันยังคงติดอยู่กับอารมณ์นั้นกระมัง เธอจึงแอบเอื้อมมือมาจับหัวไหล่และบีบนวดให้อย่างเนียนๆ ก็ต้องขอบอกว่าขอบคุณนะน้องเอ๋ยที่ใส่ใจดูแลกัน
มาเขียนบันทึกนี้เอาไว้ จึงนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่ถอดบทเรียนของภาคบ่ายร่วมกันในวงใหญ่ น้องนกได้เล่าว่า ตัวของเธอใช้กระทิงปกป้องตนเองมาตลอดทั้งๆที่ตัวตนของเธอเป็นหนู คนที่มองเธอจึงล้วนเข้าใจว่า เธอเป็นหญิงแกร่ง อ่อนแอไม่เป็น จะร้องไห้ก็ไม่ร้องให้ใครเห็น
จำได้ว่าในรอบแรกฉันแลกเปลี่ยนไประหว่างเล่าว่า ฉันมักจะให้กระทิงเป็นผู้พิทักษ์ที่เด่นตลอดมานับแต่เติบโต ส่วนตัวตนที่วิเคราะห์เมื่อวานนี้ฉันก็บอกว่าฉันเป็นอินทรีย์ แต่มาวันนี้เมื่อได้คุยกับผู้พิทักษ์ทุกๆคนที่ฉันพบ ฉันควรทบทวนและเฝ้าดูต่อว่าแท้จริงตัวตนฉันเป็นใคร โดยตามรู้ว่า ความรู้สึกแรกที่ปกป้องนั้น ฉันปกป้องอะไรค่ะ
กิจกรรมภาคค่ำเริ่มขึ้นหนึ่งทุ่มค่ะ คืนนี้มีคนมาร่วมนั่งคุยคับคั่ง พวกเขามาจากอีกหลักสูตรที่จัดขึ้นพร้อมๆกัน เป็นหลักสูตรการดูแลคนไข้เรื้อรังมั๊ง(ไม่ได้ถามให้ชัด ด้วยว่าไม่รู้จะรู้ไปทำไมค่ะ) เพื่อความเท่าเทียมคืนนี้เซียนให้เรียกชื่อเขาโดยไม่มีฐานะนำหน้า ต่อไปฉันจะเรียกเขาว่า”ใหญ่” นะค่ะ
ใหญ่ทำหน้าที่ครูเต็มที่ เปิดเวทีให้ถามคำถามและข้อข้องใจ ปรากฏว่า ไม่ใคร่มีใครถามอะไร ใหญ่เลยให้ตั้งวงคุยสามวงเปิดฟรีKM บรรยากาศการคุยกันวันนี้มีเสียงหัวเราะเฮฮากันเป็นระยะๆ วงที่ฉันได้นั่งคุยด้วยมีน้องปุ้มจากพุทธิกา น้องอรรถ พยาบาลจากร.พ. ลำพูน น้องโอ น้องแวน น้องเก่ง และน้องทิพย์ วงเราคุยแลกเปลี่ยนกันเรื่องจะคุยกับคนไข้อย่างไรให้เขาเปิดใจ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ช่วยให้กันและกันให้ความรู้จักโลกในมุมใหม่ๆแก่น้องๆ และฉันได้เรียนรู้ว่าที่แท้หากให้เราฝึกให้คนไข้ทำหน้าที่กระบวนกร เขาจะทำได้ในระดับหนึ่งที่ทำให้เขาเยียวยาคนไข้คนอื่นได้ด้วยการฟังก็จริง หากแต่การช่วยเยียวยาตัวเองของเขายังเป็นโหมดปกป้องอยู่มากกว่าโหมดเหนือปกติ ซึ่งยังไม่ได้ทำให้ความเครียดหายไปเมื่อเขาเผชิญกับคนอื่นค่ะ หรือจะเป็นเพราะว่าคนไข้ที่มานั่งคุยด้วยนั้นเขายังไม่รู้จักเสียงในตัวเอง
กิจกรรมคืนนี้มีเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังลั่นห้องนั่งเล่น แม้แต่เสียงน้องคนสวยก็ดังไม่แพ้ใคร เจ้าของบ้านเขาไล่หลายรอบก็ไม่มีใครยอมเลิกจนกระทั่งสามทุ่มครึ่งมีการปิดไฟขนของไล่ที่ห้องด้านนอกจึงวงแตกกันค่ะ สรุปว่าวันนี้ไม่มีการถอดบทเรียนอะไรกันก่อนเลิก
« « Prev : วันที่สอง ณ ห้องนั่งเล่น
Next : ความในใจถึงผู้พิทักษ์ » »
9 ความคิดเห็น
ขอบคุณมากสำหรับบันทึกครับพี่
เรื่องที่ยากเรื่องหนึ่ง สำหรับการศึกษาเรื่องการพัฒนาจิตใจมนุษย์ของสถาบันขวัญเมือง คือเรื่องคำศัพท์ครับ
ทำอย่างไรจึงจะอธิบายกระบวนการ ผลของการเปลี่ยนแปลง ด้วยบริบทของการที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง จนผู้ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง เข้าใจและยอมรับว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพจิตใจที่ดีกว่าได้
ของอย่างนี้ ไม่ลองไม่รู้หรอกนะครับ (ลองแล้ว บางทีก็อาจไม่มีข้อสรุปว่าใช่หรือไม่) แต่หากไม่สามารถอธิบายจนเข้าใจและรู้สึกว่า “น่าจะใช่” ก็จะไม่สามารถเอาชนะความกลัว เพื่อที่จะลองเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้นะครับ เหมือนกับมีของดี แต่ไม่สามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ เป็นเรื่องน่าเสียดายนะครับ
ประสบการณ์ส่วนตัวต่างๆ เท่าที่อ่านมา เป็นเรื่องน่าอ่านทั้งนั้น รู้สึกว่าน่าลอง (ผมจึงไปเชียงรายตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. เพื่อหาโอกาสไปชิมน้ำชา) ซึ่งไม่รู้ว่าลองแล้วจะเป็นอย่างไร จะได้ผลอะไรหรือไม่ แต่ก็ยังอยากลองครับ — อย่างนี้ก็ดีในแง่ที่ไม่เตรียมตัวอะไรไปเลย เอาของจริงมาคุยกันดีกว่า
รอกอดใจร้อนจัง
เรื่องทางจิตใจหรือธรรมะ คงจะมีแต่การชี้แนะ แนวทางให้ไปฝึกปฏิบัติเองแล้วจะสัมผัส รับรู้เอง
นั่งอ่าน ศึกษาแบบปริยัติน้อยคนมากที่จะรู้ซึ้งและเข้าถึง ต้องปฏิบัติมั๊ง ?
นักการอิ่ม นักการเมี่ยง น้อง หนิง น้าอึ่งอ๊อบกับหมอเจ๊ถึงต้องไปเข้ารับการอบรมเพื่อจะได้สัมผัส รับรู้อะไรบางอย่างด้วยตัวเองตามกิจกรรมที่กระบวนกรจัดขึ้น
การสนทนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็คงจะเกิดประโยชน์ทุกฝ่ายครับ เสียดายมากๆ อยากไปนั่งสนทนาด้วยจังเลยครับ อิอิ
ตามติดอ่านมาตั้งแต่จะขึ้นเครื่องบินมาจนถึงบันทึกนี้นะคะ
และรออ่านต่อไปด้วยค่ะ
ติดตามอย่างไม่ได้ขาด ขอบคุณครับ
#1 พี่เข้าใจในผลที่มันเกิดขึ้นกับจิตใจ เห็นด้วยกับการไม่ลองก็ไม่รู้ และคำตอบจะว่าใช่หรือไม่ใช่ยังบอกไม่ได้ แต่ว่าที่แน่ๆและมั่นใจก็คือ วิธีนี้จะทำให้พี่เข้าใจกลไกของจิตใจและอารมณ์ที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตกระจ่างขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการช่วยเหลือคนให้เต็มคนขึ้น สอดคล้องกับอาชีพที่พี่ดำเนินอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะมีพื้นที่ที่พี่ทำได้โดยไม่ต้องใช้โรงพยาบาลค่ะ
#2 ท่านพี่เจ้าขา เรื่องนี้ไม่ลองไม่รู้ ฟังดูนั้นดูเหมือนจะใช่ แต่หากว่าไม่เคยสนทนากับตัวเอง ทำเป็นแต่ฟังแล้วเออๆ เห็นด้วย จำได้ให้ตายก็ไม่เข้าใจว่ามันเรียนรู้อะไร มันอ้ออะไรค่ะพี่ เหมือนกับที่สร้อยเขาว่า หยิกแล้วเจ็บน่ะ ถ้าใครไม่เคยถูกหยิก ก็จะไม่รู้ว่ามันเจ็บ และการรู้จักความเจ็บตอนหยิกนะ มีระดับความเจ็บไม่เท่ากันหรอกในแต่ละคน เพราะมันมีอะไรไม่แน่อยู่อีกหลายเรื่อง เช่น วิธีหยิก แรงหยิก การรับรู้ความรู้สึก ความสนใจ การให้ความสำคัญ จิปาถะเลยที่เกี่ยวข้อง เรื่องของใจตนจึงเป็นเรื่องของตัวเองต้องคลี่เองดูเองว่าจะรับรู้อะไร
#3 รู้ๆว่านี่ก็อีกคนที่เป็นแม่ยกตามให้กำลังใจงานเขียน เราสนใจเรื่องเดียวกัน มาแลกเปลี่ยนกันต่อไปกับการเรียนรู้ เพื่อความเข้าใจกระบวนการปฏิบัติในวิถีที่มีดีในการทำให้คนมั่นคงในใจต่อไปกันนะน้องน่ะ
#4 เฮียเหลียงเจ้าขา ส่งเสียงมาให้ดีใจจริงจริ๊ง หมอเจ๊บอกกับใหญ่ว่า อิสระในความสัมพันธ์ที่เขาจะจัดครั้งต่อไป หมอเจ๊จะชวนเพื่อนรักที่เป็นหมออีกคนมาเข้าด้วย เฮียเหลียงสนใจมั๊ยค่ะ ไปเข้าด้วยกันไหม
อืม…
โดน…
ถอด…
….
ใจดี
ใจสบาย
…
จบ