วันที่สอง ณ ห้องนั่งเล่น
อ่าน: 1158วันนี้ตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่น เมื่อคืนนอนนวดนอนกอดน้าอึ่งทั้งคืน ใครตาร้อนก็หาผ้าเย็นโปะเอาเองค่ะ นวดไปนอนคุยกันเรื่อยเปื่อยบนที่นอนแสนอุ่นที่เจ้าถิ่นจัดให้ ตื่นมาเช้านี้นั้นเจ้าถิ่นไปทำงานแล้ว เวลาทำงานของเธอคือหกโมงเช้าของทุกวันค่ะ วันนี้มีเราเป็นแขกและเธอต้องทำหน้าที่ลูกสาวที่ดีให้คุณพ่อ เธอจึงนัดเราว่าเธอจะไปทำงานก่อนแล้วจึงกลับมานำทางเราไปห้องนั่งเล่น
ที่ห้องนั่งเล่นเช้านี้มีผู้เข้าร่วมเพิ่มมาอีกสามคน เป็นศิษย์เก่าของที่นี่สองในสามคน ทั้งหมดเดินทางมาจากนครสวรรค์ มาถึงเชียงรายสี่ทุ่มของเมื่อคืนนี้จึงไม่มีโอกาสได้นั่งคุยด้วยกันก่อนหน้า
เริ่มต้นกิจกรรมของรอบเช้า เมื่อเซียนของที่นี่เข้านั่งประจำที่มนตราก็ถูกร่าย เริ่มด้วยการให้นั่งสงบท่ามกลางผู้คนที่มาร่วม มีเสียงเพลงไพเราะคลอเคล้า พร้อมเสียงร่ายมนตรามาจากศิษย์เซียนคนหนึ่ง จบเพลงแล้วเซียนให้โจทย์แนะนำตัวอีกรอบไผเป็นไผ มาเพื่ออะไร
การคุยแนะนำตัวจากผู้มาใหม่เป็นไปอย่างสั้นๆ สองเราแนะนำตัวกันอีกครั้ง แล้วก็มีการวนรอบสองต่อจนทุกคนเริ่มคุ้นกัน ต่อมาเซียนพูดทฤษฎีให้ฟังเป็นหนังตัวอย่างพอให้รู้คร่าวๆ ตามมาด้วยกิจกรรมที่มอบศิษย์สองคนดำเนินต่อ กิจกรรมที่ดำเนินนั้นเป็นเรื่องของพื้นฐานที่ทวนซ้ำก็ยังมีความหมาย(เรื่องนี้เป็นข้อสรุปของศิษย์เก่าค่ะ) เป็นกิจกรรมที่ดูเหมือนจะรู้จักกันอยู่บ้างแล้ว
พื้นฐานเรื่องแรก คือ สัตว์สี่ทิศค่ะ ครั้งนี้มีจุดต่างจากกิจกรรมที่สวนป่าตรงที่ให้บอกน้ำหนักของสัตว์ทั้งสี่ที่มีอยู่ในตัวตนของเราเอง แล้วให้อธิบายเพื่อนๆว่า คุณสมบัติของสัตว์แต่ละตัวนั้นมันเป็นอย่างไร (ซึ่งฉันขอเรียกมันว่า แผนที่สัตว์สี่ทิศ เพื่อให้สื่อความง่ายละกัน)
บางคนบอกว่าเลือกเป็นสัตว์แต่ละตัวตามสถานการณ์ บางคนบอกว่าเมื่อเขียนลงในแผนที่แล้วเข้าใจตัวตน บางคนบอกว่าเมื่อได้รับฟังสิ่งที่เล่าจากคนใกล้ชิดกัน ลักษณะที่เล่าก็เป็นไปตามภาพจริงที่เห็นนะเอง สำหรับฉันนั้นงงในการแปลความแผนที่ด้วยว่าตอนที่เขียนแผนที่นั้นฉันจองพื้นที่ตามลำดับการกระทำที่เริ่มต้นจากอินทรีย์ไปหนู หมีและกระทิงมันไปปรากฏตอนมีการลงมือทำอะไร และพื้นที่ของสัตว์ทั้งสี่ทิศนั้นก็มีสัดส่วนต่างกันเล็กน้อย จึงมีคำถามในใจว่าหากจะให้บอกว่าตัวตนของฉันเป็นสัตว์อะไร จะใช้อะไรเป็นจุดสรุปกันละนี่ ภายหลังจากแอบไปถามเซียนก็ได้คำตอบว่า สัตว์ตัวแรกที่เลือกเป็นเมื่อเผชิญปัญหา นั่นแหละคือตัวตนที่แท้จริงของเรา แต่ก็มีข้อแม้ว่าให้สังเกตดูต่อเนื่องนานๆหน่อย ไม่ใช่ลองใช้แค่ครั้งเดียวแล้วบอกว่าใช่เลย
ก่อนต่อไปภาคบ่ายขอทวนคุณสมบัติสัตว์สี่ทิศที่ผู้เข้าร่วมได้ถอดออกมาให้รับรู้กันเพื่อทวนความหลังและแลกเปลี่ยนกันค่ะ
ทิศเหนือ ธาตุไฟ ฐานลมกาย คือ กระทิง ตรงไปตรงมา ลงมือกระทำ มุ่งสำเร็จ ชัดเจน ลุย รักความยุติธรรม รักพวกพ้อง กล้าบอกความรู้สึก เป็นทิศของคำว่า
“ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยการทำ”
ทิศใต้ ธาตุน้ำ ฐานใจ คือ หนู ขี้เกรงใจอะไรก็ได้ ดูแลความรู้สึกผู้คน ประนีประนอม ไม่ชอบความขัดแย้ง ใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้าง เป็น “ทิศของผู้ดูแลหล่อเลี้ยง”
ทิศตะวันออก ธาตุลม ฐานคิดจากสมองซีกขวา คือ อินทรีย์ คิดนอกกรอบ ขี้เบื่อ สร้างสรรค์ มองการณ์ไกล เจ้าโปรเจ็คท์ ญาณทัศนะ ชอบการเปลี่ยนแปลง เป็นทิศของคำว่า “ทุกอย่างเป็นไปได้”
ทิศตะวันตก ธาตุดิน ฐานคิดจากสมองซีกซ้าย คือ หมี หรือ หนอน ชอบข้อมูล มีแบบแผนขั้นตอน มีพื้นที่ของตัวเองชัดเจน ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ละเอียดรอบคอบ ระเบียบจัด ตรรกะ ชอบรายละเอียด เป็น “ทิศของผู้เตรียมการ”
จบกิจกรรมนี้แล้ว ก็เป็นพักกินอีกมื้อ มื้อนี้ได้เห็นสปาเก็ตตี้สีดำเป็นครั้งแรกค่ะ ถามได้ความว่าใช้หมึกดำจากตัวปลาหมึกมาใช้เป็นสี ตัวหมึกดำนี้มีความเชื่อทางยาว่า เป็นตัวที่ทำให้ช่วงล่างดี
บ่ายเริ่มด้วยการทำ Body relax เสร็จแล้วก็รู้จักกับพื้นฐานเรื่องที่สอง คือ เรื่องจี๊ด- ภูมิใจสี่ช่อง ขั้นตอนที่ทำก็คล้ายๆกับที่น้องอิ่มทำให้กับกลุ่มพะยาบาล ทำแล้วก็ให้แต่ละคนเล่าให้ฟังว่ารู้สึกอย่างไร มีคนช่วยอธิบายเสริมในส่วนที่มีคนยังงงๆรับไม่ได้กับความเห็นแย้งที่เขียนไว้ จบแล้วพักเย็น นัดมาทำกิจกรรมต่อเวลาหกโมงครึ่งค่ะ
เราออกจากห้องนั่งเล่นไปชมสวนเกษตรปลอดสารพิษจำนวนสามสิบไร่ในเขตเทศบาล แล้วขับรถชมเมืองโดยมีเมียสิบล้อขับรถให้ เที่ยวแล้วก็แวะกินอาหารเย็นที่ร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งจัดบริเวณเอาไว้ชวนนั่งทีเดียวค่ะ ระหว่างนั่งรถไปก็ได้ยินข่าวดี จึงเท่ากับวันนี้ได้ฉลองข่าวดีของเจ้าถิ่นร่วมกัน กินข้าวเย็นกันโดยเจ้าถิ่นไม่กินด้วยอีกตามเคย
หกโมงครึ่งเรากลับไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง น้องเมและอาจารย์รออยู่แล้ว คืนนี้เป็นไฮไลท์ที่อาจารย์ปรับให้ผู้มาร่วมโดยเฉพาะ โดยเปลี่ยนโปรแกรมให้นั่งคุยกับทีมงานห้องนั่งเล่นทั้งหมด เพื่อให้เรียนรู้คำตอบจากวิถีชีวิตจริงๆของการทำงานของชีวิต
ก่อนเริ่มกิจกรรมก็มีการนั่งสงบกับตัวเองพร้อมเสียงเพลงคล้ายตอนเช้า ต่างไปก็เพียงบรรยากาศขลังกว่าของกลางคืนที่มีไฟสลัวในห้องที่นั่งกัน จบแล้วก็คุยกันสองวง แต่ละวงให้ผู้เข้าร่วมนั่งปนกับทีมห้องนั่งเล่นห้าหกคน การคุยเปิดฟรีให้คุยกันเอาเอง เป็นการคุยที่ลื่นไหลไปอย่างมีคุณภาพในทั้งสองวงค่ะ
วงที่ฉันนั่งคุยมีน้าอึ่งนั่งร่วมวงด้วย และมีทีมงานของห้องนั่งเล่นที่เพิ่งทำงานกันไม่ครบปีสี่คนนั่งด้วย มีน้องใหม่และน้องเมร่วมคุยด้วย วันนี้น้องสาวเจ้าถิ่นปลีกตัวนั่งฟังอยู่นอกวงไม่เข้ามาร่วมค่ะ
หลังคุยกันสักครู่อาจารย์ก็บอกให้ตั้งวงใหญ่ และโยนตัวกวนลงมาให้ว่า หลังจากการคุยแล้ว ได้เห็นอะไร และมีอะไรจะแลกเปลี่ยนกันเป็นความรู้บ้าง ทั้งวงนั่งเงียบฟังกันไป ก็ได้มุมมองอะไรในเรื่องของกระบวนการอยู่หลายมุม
สิ่งที่ฉันบอกกับทุกคนไปก็คือ ขอบคุณทุกคนที่ช่วยยืนยันสิ่งที่คิดอยู่ก่อนมาที่เชียงรายให้เกิดความมั่นใจ จุดที่ยืนยันจุดหนึ่งคือ ไม่ว่าคนวัยไหนต่างมีความกลัวอยู่ในใจอย่างเท่าเทียม แล้วสิ่งที่กลัวนั้นคือการกลัวความรู้สึกของตนเอง ถ้าหากมีพื้นที่ปลอดภัยให้คนบอกความรู้สึกได้ ความกลัวก็จะค่อยๆหดหายไป ที่ห้องนั่งเล่นนี้ทำได้ เพราะที่นี่สร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา สำหรับโลกภายนอกนั้นมีสภาพต่างจากที่นี่มากนัก อาจจะยากที่จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยขึ้นมา แต่ก็ใช่ว่าจะสร้างขึ้นไม่ได้ ขอเพียงแต่มีตัวประหลาดคอยก่อกวนอยู่ก็จะทำให้เกิดมีขึ้นได้
หลังจากฉันพูดไปแล้ว อาจารย์ก็ต่อว่า นอกจากความกลัว ตัวประหลาดแล้ว อย่าลืม ความเปราะบางหรืออ่อนแอ ความเปราะบางมีประโยชน์ตรงที่ถ้ารู้จักกับมัน มันจะเป็นจุดที่ทำให้เกิดความมั่นคงขึ้นของชีวิต
มีเรื่องที่ฉันมีข้อสรุปก่อนมาเชียงรายและมาได้รับคำยืนยันจากวิถีของเด็กๆที่ห้องนั่งเล่นว่ามันตรงกันกับที่เก็บเกี่ยวประเด็นไว้ ดังนี้ค่ะ
ไม่สร้างเงื่อนไข มีความเท่าเทียม (ปราศจากฐานะ อายุ เพศ) พื้นที่ปลอดภัย ให้โอกาส มีโอกาสเป็นเจ้าของ รอ (ให้เวลา) เชื่อว่าทำได้ เป็นไปได้ ไว้ใจ มีความรัก มีความสุข มีอิสระในการตัดสินใจ ไม่มีคำตัดสิน คำแนะนำหากจะให้ไม่ชี้ปัญหา ชวนคุยมุมบวกในประเด็นที่สูงกว่าปัญหา ชี้เป้าเหนือปัญหาในมุมบวกแล้วชวนร่วมคิด ตัดสินใจ วางแผน ลองได้ ลองผิดลองถูกถือว่าเรียนรู้ในเรื่องที่ไม่ได้ร้ายแรง
เด็กๆของห้องนั่งเล่น เขาบอกออกมาว่า เขารู้สึกว่าเขาเติบโตขึ้นมาเพราะคำถามปลายเปิดค่ะ เป็นคำถามปลายเปิดที่ ทำให้ได้คิด วิเคราะห์ เช่น เรื่องนี้สนุกไหม รู้สึกอย่างไร เป็นอย่างไร
เขารู้สึกว่ามีความรักก็เพราะคำพูดที่ไม่มีคำว่า แต่ มี-ไม่มี ใช่-ไม่ใช่ ถูก-ไม่ถูก ไม่มีคำตัดสิน มีความไว้ใจ เจ็บปวดก็ระบายให้รับรู้ได้ ทุกข์ก็ระบายให้รับรู้ได้ โกรธก็แสดงออกได้
ขอจบบันทึกนี้ด้วยข้อสรุปจากน้องเก่ง หนึ่งในกระบวนกรที่มาร่วม ซึ่งฉันขอบอกว่า มันเป็นอำนาจที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติมีอยู่แล้ว ให้มาแล้ว นั่นคือ
Consequence อำนาจในการลองผิดลองถูก
อำนาจที่ผ่านการลงมือปฏิบัติ เป็นอำนาจที่แท้จริง
« « Prev : คืนแรก ณ เมืองเจียงฮาย
Next : วันที่สองของกิจกรรม » »
4 ความคิดเห็น
ยังตามมาอ่านอยู่ครับ อิอิ
อ่านอย่างใคร่ครวญ
แบบ ฟัง หรือ ฝังลึกดีค่ะ
#1 ขอบคุณพ่อยกค่ะ
#2 ฟัง คิด ใคร่ครวญ แขวน ใคร่ครวญ รับรู้
ไม่ฝัง ไม่ฝัง ฝังแล้วมันจะติดอยู่จนต้องแคะอีก เหนื่อย