เมื่อได้เจอสาวสวยรวยน้ำใจ

โดย สาวตา เมื่อ 31 ตุลาคม 2008 เวลา 18:51 ในหมวดหมู่ เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1979

สิบเอ็ดโมงสิบนาที เครื่องก็ร่อนพาลงแตะพื้นดินสนามบินสุวรรณภูมิ  เครื่องที่จะต่อไปเชียงใหม่เวลาสิบสองนาฬิกาห้าสิบนาที  จึงใช้เวลาที่มีจัดการให้ท้องอิ่มซะก่อน ตั้งแต่ออกจากกระบี่ก็ปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือจนมาถึงสนามบินก็ไม่ได้เปิด ระหว่างเดินหาร้านอาหารในสนามบิน ใจนั้นเดาว่าน้าแห่งชาติน่าจะโทรมาเช็คว่าอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ความขี้เกียจปิดเปิดเครื่องก็เลยบอกตัวเองว่า เอาน่ารอไว้ถึงสนามบินเชียงใหม่แล้วค่อยติดต่อกันแล้วกัน เหมือนรู้ใจน้าแห่งชาติเลยเนอะ

 

อิ่มท้องแล้วก็เดินหาว่าประตูที่จะขึ้นเครื่องไปเชียงใหม่ คราวก่อนถามทางจากพนักงาน คราวนี้ก็ตามหาพนักงานเพื่อถามทางอีก ตอนที่ถามนั้น ยกตั๋วให้เธอดูว่าไฟลท์ไหน แล้วตาก็เห็นหมายเลขประตูอยู่ที่ตั๋วนั่นแหละ เห็นพร้อมๆกับที่เธอบอกออกมาค่ะ ในใจมันคุยว่า ที่แท้เขาดูกันในตั๋วให้ละเอียดก็รู้ ไอ้เรามันโง่แถมไม่อ่านอะไรให้ละเอียด  ถ้าอ่านก็รู้ได้โดยไม่ต้องถามนะ  แต่ที่ถามนะด้วยก่อนถามดูเวลาแล้วมันเป็นเวลาเกือบเที่ยงห้าสิบแล้วค่ะ

 

รู้หมายเลขประตูแล้วก็เดินๆไป สายตามองระไปตามแนวเก้าอี้ที่วางอยู่รายทาง แล้วก็เห็นใครคนหนึ่งนั่งโทรศัพท์อยู่และมีเครื่องคอมฯวางอยู่บนขากำลังกวักมือเรียก อ้าวเจ้านายนะเอง เจอกันได้ไง ไหนเลขาฯบอกว่าวันนี้จะอยู่ที่ร..  สาวเท้าเดินเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ได้ยินแว่วๆว่า ส่งประวัติคนไข้มาให้นะ แล้วสักครู่ก็วางโทรศัพท์ลงและได้พูดคุยกัน คำทักถามก็คือ ไปพร้อมกันใช่ไหม ฉันฟังแล้วงงๆ ก็เลยไปว่า พี่จะขึ้นหรือลง  เจ้านายก็ตอบว่า จะไปกระบี่ไง ไปด้วยกันรึไม่ ฉันตอบไปว่า จะไปเที่ยวเชียงรายค่ะ เจ้านายเขาคุยต่อว่าดีแล้วๆ (คำนี้ติดปากเจ้านายเป็นประจำ แต่ก็แปลกที่ เมื่อได้ฟัง มันกลับไม่รู้สึกว่า เป็นคำพูดตามมารยาท) แล้วเขาก็เล่าว่า ช่วงนี้เข้าหน้าหนาว เพื่อนเขาที่พะเยาก็ชวนไปเที่ยว เขาถามไถ่ต่อว่า ไปพักที่ไหน ไปกี่วัน ฉันตอบเขาไปว่า พักกับเพื่อน กลับวันจันทร์ ไปทำงานวันอังคาร แล้วเราก็คุยกันเรื่องของประวัติคนไข้ที่ได้ยินในการพูดโทรศัพท์ตอนต้นอยู่อีกครู่ใหญ่ ฉันดูไปที่ประตูเข้าซึ่งอยู่ใกล้ๆที่นั่งคุยกัน ไม่เห็นใครนั่งอยู่ในห้อง พนักงานหน้าห้องก็ไม่มีรออยู่ ก็เลยขอตัวว่าถึงเวลาที่จะไปต่อแล้ว  แล้วก็แยกตัวมารอขึ้นเครื่อง

 

นั่งรออยู่อีกสิบนาทีจึงมีเสียงเรียกขึ้นเครื่อง  ก็เป็นอะไรครั้งแรกที่รู้สึกแปลกอีกแล้ว ก็เขาเรียกให้ขึ้นเครื่องโดยพาขึ้นรถไปส่งที่ตีนบันไดแล้วให้เดินขึ้นบันไดไปเข้าทางเชื่อมที่จ่ออยู่กับประตูเครื่องบิน แล้วได้เจ้าทางเชื่อมนะมองไปทางซ้ายมันก็มีทางเดินจากตึกชั้นบนตรงมาที่เครื่องได้เลย แล้วเหตุไฉนจึงต้องทำเรื่องง่ายๆให้เป็นเรื่องยาก เดินลงจากชั้นบนเพื่อมาขึ้นรถแล้วให้ลงจากรถเดินขึ้นบันไดขึ้นไปที่ตึกในระดับชั้นเดิม 

 

เดินบนเครื่องไปท้ายลำเพื่อหาที่นั่ง มีสาวฝรั่งเขานั่งอยู่ก่อนแล้วที่ริมทางเดิน ส่วนที่นั่งฉันอยู่ติดริมหน้าต่าง สาวคนนี้ไซด์ใหญ่กว่าฉันครึ่งเท่า ฉันจึงบอกเธอว่าเธอสามารถเลื่อนไปนั่งริมหน้าต่างแทนได้ เธอตอบว่าไม่เป็นไร แล้วหลีกทางให้ฉันเข้าไปนั่งริมหน้าต่าง  เครื่องบินแช่อยู่บนพื้นนานอยู่ครู่กว่าจะบินขึ้น ระหว่างนั้นมีหนุ่มฝรั่งอีกคนที่หนังแถวหน้า สอบถามพนักงานเครื่องว่า คำทักทายกันของคนไทยพูดว่าอะไร  แล้วเสียงสอนพูดเรียนพูดก็ดังขึ้น สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ พร้อมรอยยิ้มของคนสอนและคนเรียน รวมทั้งสาวน้อยคนข้างๆของฉันด้วย เธอหันมายิ้มให้ฉันระหว่างเธอนั่งลงค่ะ  ความรู้สึกตอนนั้นดูเหมือนเราจะมีเยื่อใยบางอย่างเกิดขึ้นต่อกัน แต่ระหว่างเครื่องบินอยู่เราก็ไม่ได้คุยกันค่ะ ต่างคนต่างอ่านหนังสือกันเงียบๆ  จนกระทั่งเครื่องร่อนลงที่สนามบินเชียงใหม่ จึงได้พูดคุยกันขึ้นสองสามประโยคระหว่างรอออกจากเครื่อง  เป็นความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้น ณ วินาทีแรกที่เท้าแตะสนามบินเชียงใหม่รอบนี้

 

ระหว่างเดินออกจากเครื่องเพื่อไปรับกระเป๋า ฉันเปิดโทรศัพท์ก็พบว่าน้าแห่งชาติโทรหาตามที่คาดไว้ แต่ที่แปลกก็คือคราวนี้ไม่มีเสียงเรียกเมื่อถึงสนามบินเชียงใหม่แฮะ ใจบอกไม่เป็นไรถ้าออกไปไม่เจอก็รอ เพราะเวลาที่ถึงสนามบิน บ่ายสองโมงตรงเวลาที่กะกันไว้ รอกระเป๋าไม่นานก็ได้มา ใส่รถเข็นหิ้วออกมา สายตาก็มองตรงไปข้างหน้าค้นหาเงาร่างของคนสวยใจงาม ไม่เห็นแฮะ แล้วจู่ก็มีเงาร่างสาวน้อยใส่ชุดโทนน้ำเงินแวบมาทางซ้ายแย่งกระเป๋า อ้าวอยู่นี่เอง ใจอุทาน มัวแต่ห่วงแย่งกันหิ้วกระเป๋า เลยไม่ได้กอดกันกลมเท่าไร ขึ้นรถแล้วคนสวยก็ถามว่า พี่หมอเจ๊จะไปบ้านก่อนมั๊ย ฉันตอบไปว่า ไปนั่งที่สำนักงานเล่นๆดีกว่า รอให้เลิกงานแล้วค่อยกลับมาด้วยกัน อยู่บ้านทำไมคนเดียว 

 

ไปถึงสำนักงาน  น้องๆสาวสวยที่สำนักงานทักกันเกรียว เปล่าหรอกไม่ได้ส่งเสียงค่ะ ยกมือไหว้ทั่วถึงกันเท่านั้นเอง คนสวยรู้ใจหาโต๊ะที่มีคอมฯให้นั่ง ยี่ห้อฉันแล้วได้นั่งหน้าคอมฯนานเท่าไรก็ได้ เลยเป็นเด็กดีนั่งรอผู้ปกครองพาส่งกลับบ้านจนกระทั่งผู้ปกครองเลิกงานค่ะ 

 

ขอกระซิบบอกว่า ถ้าไปเชียงใหม่ ไม่รู้จะไปไหน ให้มานั่งรอที่สำนักงานนี้นะค่ะ บริการยอดเยี่ยม สมกับที่แควนประจำเขาเทคะแนนให้ ก็จะไม่ให้บอกว่าบริการเยี่ยมได้ยังไง ไม่มีใครกล้ามาไล่ที่ที่ฉันลงนั่งจองไว้ แถมระหว่างนั่งอยู่ เดี๋ยวมีน้ำมาเสิร์ฟทีละแก้ว ทีละแก้ว เรียก

กินส้มตำด้วยนะ หูแว่วๆระหว่างนั่งรอว่านัดอุ้ยจันตาไปที่ไหนด้วยกันนี่แหละด้วย เพลินกับคอมฯจนสาวสวยมาถามว่า จะกลับเมื่อไร อ้าวดูนาฬิกาอีกที ห้าโมงเข้าแล้ว แหมเพลินจนลืมตัว

 

ออกจากสำนักงานก็แวะไปรับอุ้ยที่คณะ ไปถึงที่หน้าตึกพอดีกับที่อุ้ยกำลังจะหย่อนก้นลงนั่งบนม้าหิน รถจอดเทียบพอดีตรงหน้า อุ้ยตาไวยกก้นยืนและเดินออกมาพร้อมส่งยิ้มมาแต่ไกล รู้สึกดีใจที่ได้เจอกันอีก ในใจนั้นไม่แน่ใจว่าเย็นนี้จะได้เจอครูน้องอึ่งหรือไม่ คุยจุ๊กจิ๊กกันไป สองสาวถามว่า อยากจะไปไหน อยากกินอะไร ป๊าดโธ่ จะให้บอกยังไง บ่ไจ๊คนเจียงใหม่ซ๊ากหน่อย บอกไม่ถูกค่ะ ว่าน่าจะไปที่ไหน ก็เลยบอกว่า เลี้ยงง่าย กินอะไรง่ายหมด แล้วใจง่ายนะ พาไปไหนก็ได้ที่อยากให้รู้จักเชียงใหม่  สองสาวถกกันสักครู่ก็สรุปว่า พาไปชมกาดฝายหินถิ่นนักศึกษามช.แล้วซื้ออะไรติดมือขึ้นไปนั่งที่กาแลกันต่อ  อุ้ยเล่าประวัติของกาดแห่งนี้ให้ฟัง บอกว่าหากพี่บู๊ธมาที่นี่จะดีใจมาก เพราะได้ยินเอ่ยถึงอยู่

 

สามสาวสวยพากันขึ้นไปนั่งปูเสื่อชมดาวบนเขื่อนที่กาแล นั่งกินไปคุยไป มีหมาน้อยตัวหนึ่งมาตีสนิท กระดิกหางดิ๊กๆ เอ๋รู้จักกันเมื่อไร ที่แท้มาประจบขอกินเพราะกลิ่นอาหารมันยั่วยวน อุ้ยสอนว่า กินไปให้ไปนี่ฝึกนิสัยให้เป็นหมาไม่ดี ไม่นิยมฝึก หมามันก็เลยเดินหนีมาประจบอีกสาว  แล้วนั่งแปะรออยู่ข้างตัวไม่ไปไหน  กินไปชมดาวไปแล้วนึกถึงใครคนหนึ่ง สาวสวยปรารภขึ้นว่า เสียดายไม่มีกล้อง ถ้ามีจะถ่ายรูปดาวไปฝากใครคนหนึ่งค่ะ ลองทายดูนะค่ะว่า สาวสวยคือใคร และใครคือคนที่ถูกเอ่ยถึงค่ะ

 

คุยกันอยู่ที่นั่นจนสองทุ่มครึ่ง เขาก็เปิดไฟไล่  เดินทางลงจากเขาแล้วน้าพาแวะดื่มนมและคุยกันต่อ ฉันคุยติดลมไม่ยอมให้อุ้ยกลับจนอุ้ยบอกว่า ง่วงนอนแล้วๆ แต่ก็ใจอ่อนคุยต่อค่ะ คุยจนหายอยากจึงพากันกลับ ไปส่งอุ้ยที่หอแล้วจึงกลับบ้านกัน สองสาวคุยกันต่ออีกจนตีหนึ่งจึงเข้านอน 

 

อ้อ ลืมบอกว่า พอรถจอดลงที่กาแล ฉันโทรไปหาครูน้องอึ่ง ทันทีที่รับสายน้องอึ่งส่งเสียงมา เพิ่งอ่านลานเจ๊าะแจ๊ะจบลงเอง จึงรู้ว่า ฉันมาถึงเชียงใหม่แล้ว หากแต่ว่าวันนี้ไม่ว่างพอที่จะมาเจอกัน  คุยกันพอหายคิดถึงจึงบอกลากันค่ะ 

« « Prev : เดินทางขึ้นเหนืออีกรอบ

Next : คืนแรก ณ เมืองเจียงฮาย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

7 ความคิดเห็น

  • #1 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 31 ตุลาคม 2008 เวลา 20:21

    เฮ้อ …… ค่อยยังชั่ว อิอิ

  • #2 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 31 ตุลาคม 2008 เวลา 21:52

    น้องหมอเจ๊ครับ
    ที่ร้านกาแลบนดอยนั้น สำนักงานที่นั่นเดิมคือสำนักงานเกษตรภาคเหนือ มีดร.ครุย บุญยสิงห์ สามีท่านอาจารย์เต็มศิริ บุญยสิงห์เป็น ผู้อำนวยการ พี่ทำงานที่นี่เป็นเวลา 5 ปี วิ่งเข้าออกระหว่างพื้นที่ชนบท อ.สะเมิง กับสำนักงานที่นี่

    ปัจจุบันสำนักงานเกษตรภาคเหนือได้ปรับโครงสร้างใหม่ เป็นสำนักงานโครงการหลวง และสำนักงานเกษตรสหกรณ์จังหวัดและอื่นๆ

    เป็นสำนักงานที่น่าทำงานมากครับ

  • #3 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2008 เวลา 14:13

    ขอเดาว่าน้าแห่งชาติอยากถ่ายรูปดาวไปฝาก น้ำฟ้าและปรายดาว

    ทายถูกรับรางวัลที่ไหนครับ ?

    ทายผิดไปปรับน้าอึ่งอ๊อบแล้วกัน อิอิ

  • #4 jchrn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2008 เวลา 22:49

    น้าอึ่งอ๊อบถูกปรับ….

    อิอิ..ในฐานะผู้ร่วมเหตุการณ์..คำตอบคือสาวยสวยคือน้าอึ่งอ๊อบ..แต่คนที่จะได้รับรูปดาว…กลับเป็น…….(นี่เฉลยแล้วนะคะ…555)

  • #5 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2008 เวลา 10:08

    เสียดายที่ท่านพี่ทั้งสามท่าน ไม่ได้มานั่งรับลมเย็นคุยกันน้อ
    คนที่บอกว่าจะถ่ายรูปนะใช่แล้ว อึ่งอ๊อบ แต่คนที่จะเอาไปฝากกลับไม่ใช่ๆ อย่างที่น้องสร้อยบอกนะแหละ ใครรู้ตัวว่าถูกเอ่ยถึง
    มาปรากฎกายเร็วๆค่า

  • #6 sompornp ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2008 เวลา 13:49

    คนที่ถูกเอ่ยถึงไม่ยักกะเข้ามา
    คงมัวไปถ่ายรูปแถว ๆ ท้องสนามหลวงค่ะ
    รูปออกมาสวยเชียว
    น้าถ่ายมาเหมือนกัน แต่เป็นกลางวัน
    เดี๋ยวอาทิตย์หน้าไป ถ่ายมั่งดีกว่า
    เห็นสถานที่จริง มันสุขใจยิ่งค่ะ

  • #7 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2008 เวลา 23:48

    #6 ถ่ายแล้วเอามาทำการบ้านส่งบ้างเน้อ ช่วยกันเติมเต็มเรื่องราวไง


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.094357013702393 sec
Sidebar: 0.24140405654907 sec