ทางเลือก
เมื่อ 2 วันก่อน ได้ไปเยือนเมืองกรุงอีกครั้งหลังจากไม่ได้ไปเยือนซะนานกว่า 5 เดือน ถึงเมืองกรุงก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว จึงใช้บริการแอร์พอร์ตลิงค์เดินทาง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ของการใช้บริการแบบธรรมดา รถวิ่งได้ระยะหนึ่งก็มาติดแหงกอยู่ที่สถานีราชปรารภ ทีแรกเข้าใจกันว่ารถหยุดรอรับผู้โดยสาร ที่ไหนได้กลายเป็นว่ามีข้อขัดข้องรถไปต่อไม่ได้
เมื่อทะยอยกันออกจากรถ ก็เหลือบเห็นผู้โดยสารคนหนึ่งทำปากมุบมิบเป็นคำด่าแบบคนโกรธจัด ออกมารอรถอีกคันอยู่พักหนึ่ง ก็ตัดสินใจเดินทางต่อด้วยแท๊กซี่ ด้วยว่าเป็นเวลาที่ดึกเกินไปแล้ว เดินทางต่อมาถึงที่หมายได้ก็ปาเข้าไป 4 ทุ่ม
ระหว่างนั่งในรถ เรื่องราวเมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆก็แวบเข้ามา สมัยนั้นหากเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ความคิดระหว่างการรอและการเดินทางต่อคงได้สู้กัน และในที่สุดก็จะลงเอยที่การรอ
ได้เห็นมุมการตัดสินใจที่เปลี่ยนไปของตัวเองในวันนี้ ก็ถามตัวเองว่า อะไรทำให้การตัดสินใจต่างไป คำตอบโผล่มาแบบไม่ต้องใคร่ครวญว่า วันนี้ไม่มีห่วงเรื่องเงินในกระเป๋า ไม่มีห่วงเรื่องประสบการณ์ไม่คาดฝันที่อาจต้องพบพานระหว่างทาง
คำตอบที่โผล่มาบอกว่า “เงิน” เปิดทางเลือกใหม่ให้ ทำให้เกิดความเข้าใจต่อผู้คนเกี่ยวกับเงินมากขึ้น “เงิน” สร้างทางเลือกใหม่ที่ทำให้เกิดความสบายใจเมื่อเกิดข้อจำกัดบางอย่าง คนจึงให้ความสำคัญกับมัน เมื่อมันแสดงอิทธิพลให้รู้ว่ามันทำได้
ในวันที่เดินทางกลับ มีเวลาเหลืออยู่ครึ่งวันกว่าจะถึงเวลาเดินทางกลับบ้าน ไม่รู้จะไปไหนจึงแวะไปที่สวนโมกข์กรุงเทพ ไปแล้วชอบมาก มุมสงบและมิตรไมตรีของผู้คนที่ได้สัมผัสในวันนั้นทำให้เวลาที่อยู่ที่นั่นจนบ่ายแก่ๆช่วยเติมพลังให้มีแรงกลับมาสู้กับงานต่อ
เมื่อจากมาเพื่อเดินทางต่อ ได้ตัดสินใจเดินทางด้วยรถไฟฟ้าอีก คราวนี้เป็นรถไฟฟ้าใต้ดินที่มีสถานีอยู่ใกล้กัน ณ ฝั่งตรงข้าม
เดินข้ามสะพานลอยเหนือถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่อยู่เบื้องล่างเร็วมาก ขณะหนึ่งได้ลดสายตามองลงต่ำ ตารับรู้ว่า เมื่อไรที่มีสิ่งของที่เคลื่อนไหวเร็วๆอยู่ข้างล่าง คนที่กำลังเดินอยู่บนสะพานนี้หากเหม่อลอย มีโอกาสโดนสะกดให้เผลอตัวแล้ววูบได้
ที่เล่านี้ไม่ได้เกิดวูบหรอก การรับรู้เหมือนเป็นสัญชาตญาณที่โผล่ขึ้นมาเอง เกิดความเข้าใจคนที่กำลังกลุ้มแล้วตกสะพานลงมาเสียชีวิตว่า คนที่เสียชีวิตลงบางคนนั้น อาจไม่ได้ต้องการทำลายชีวิตตนกระโดดลงมาหาถนนอย่างที่เคยเข้าใจก็เป็นได้
ขึ้นรถไฟฟ้าได้ก็ใช้บริการ 2 ต่อ ต่อแรกใต้ดิน อีกต่อเหนือดิน พนักงานแนะนำให้ลงที่ป้ายสถานีเพชรบุรีเพื่อต่อรถเหนือดิน
พาตัวลงสถานีรถใต้ดินแล้วออกมาหาสถานีแอร์พอร์ตลิงค์ อ้าวแล้วกัน อยู่ทางไหนละนี่ ไม่เห็นเลย จนเหลือบเห็นสาวน้อย 2 คนลากกระเป๋าเดินสวนมาทางฝั่งถนนหนึ่ง เดาทางแล้วก็ข้ามถนนไปในทิศสวนกับ 2 นาง ระหว่างข้ามถนนก็รู้สึกว่าคนกรุงเดินถนนอยู่กับความเสี่ยงตลอดเวลาขึ้นมาอีกแล้ว
สถานีเพชรบุรีแอร์พอร์ตลิงค์ ดูภายนอกแล้วเงียบเหงา มีคนเดินเข้าออกน้อยเมื่อเทียบกับสถานีอื่นที่เคยใช้บริการ ยิ่งคนไทยแล้วยิ่งไม่เห็นเดินสัญจรอยู่ ขึ้นไปสถานีด้วยลิฟท์ มีลิฟท์ให้เลือกใช้หลายตัว กลับกันเลยกับสถานีธรรมดา
ขึ้นไปที่ชานชาลา หันมองหาผู้โดยสารที่รออยู่นับหัวได้ไม่ถึง 5 คน คนไทยมีแต่น้องหมอและฉันเท่านั้น นอกนั้นเป็นพนักงานที่รอบริการอยู่ ไปซื้อตั๋วเขาคิดราคาคนละ 90 บาท ทั้งสายมีคนนั่งมาด้วยกันนับได้เพียงแค่ 9 หัว อย่างนี้มีกำไรจากที่ไหนมาเป็นฐานนะเออ
รถสายนี้วิ่งถึงสุวรรณภูมิรวดเดียว ไม่แวะจอดสถานีใด พนักงานประจำสถานีนี้ขยันมาก เดินไปเดินมาเพื่อจัดการกับความสะอาดไม่อยู่นิ่ง กิริยาวาจาก็สุภาพ ท่าทีที่สัมผัสบอกความนุ่มนวล ต่างจากสายธรรมดามาก
ก่อนเข้ากรุงมาลูกสาวซึ่งเพิ่งจากกรุงถึงบ้าน ขู่ว่าจะได้เจอน้ำท่วมและฝนห่าใหญ่ เอาเข้าจริง 2 วันที่อยู่ในกรุงจนกระทั่งกลับ ไม่เจอฝนสักเม็ด แห้งสนิทอย่างน่าแปลกทีเดียว แต่ที่บ้านฝนตกหนักทุกวัน หนักขนาดคนเคยเจอน้ำท่วมที่เพิ่งผ่านผวา
เวลาที่สวนโมกข์ฯให้คุณค่า ได้ฝึกชิมนิพพานจำลองอยู่กว่า 2 ชั่วโมง ได้ธรรมจากบันทึกท่านพุทธทาสติดมือกลับมา จึงน้อมนำมาเป็นพรจากท่าน ฝากมายังทุกๆท่านเนื่องในวันออกพรรษาค่ะ
« « Prev : ตามลม (๖๗) : EM จะช่วยได้มั๊ยนะ
Next : ตามลม(๖๘): น้ำหมักชีวภาพช่วยอะไรได้อีก » »
4 ความคิดเห็น
เหมือนกันเลย นั่งรถไฟฟ้าทีไรเจอเรื่องแปลกๆ
พอพี่กลับ ฝนตกห่าใหญ่ น้ำท่วม รถติดทั่วเมืองเลยครับ บางคนใช้เวลาครึ่งค่อนคืน บางคนนอนที่สำนักงาน โชคดีจริงๆ ที่ไม่ต้องออกจากบ้านไปประชุมที่ไหน
รู้ตัวทั่วพร้อม น้อมนำมาเรียนรู้
สุดยอดเลยค่ะพี่
หมอเจ๊ จินตนาการบรรเจิด นี่ถ้าไม่”โง่”ไปเรียนหมอตามกระแส ป่านนี้อาจเป็นนัก…ชื่อก้องไปแล้ว