อุ๊ยสร้อยชวนเรียนรู้….รางจืดแก้เค็ม
ก่อนที่จะเล่าเรื่องความเค็มที่เกิดจากธาตุตัวอื่น ไหนๆก็นึกขึ้นได้แล้ว ก่อนลืมขอชวนกลับไปพิจารณาเรื่องราวที่ได้สนทนากับอุ๊ยสร้อยเรื่องรางจืดกันหน่อย
” เมื่อวานนี้ไปงานเลี้ยง..สามมื้อ…ก็ว่าเลี่ยงอาหารเค็มและรสจัดแล้ว แต่ก็รู้สึกคอแห้งหิวน้ำตลอดวัน…..ผลชูรสคงทำให้ไม่รู้สึกว่าเค็มแต่ก็รับ ไป เต็มๆ แล้ว…เลยชงรางจืดดื่มไปแล้วรู้สึกค่อยยังชั่วค่ะ ไม่รู้เกี่ยวกันไหมแต่รู้สึกว่าหลายครั้งที่เจออาหารที่ทำให้เกิดอาการแปลกๆ รางจืดช่วยได้ค่ะ” ประโยคนี้อุ๊ยสร้อยได้กรุณานำมาแลกเปลี่ยนในบันทึกนี้
ในเมื่อความเค็มในปากคอเกี่ยวกับการขับทิ้งเกลือผ่านแก้มลิงเพื่อทดทิ้งไป ความจืดในคอที่รางจืดทำให้เกิดขึ้นเกิดได้ยังไงน่าสนใจไม่น้อย
ฤทธิ์ของรางจืดนี้พูดกันอยู่มากในเรื่องการจัดการพิษ อมไม่ให้เมาแบบหมา่มองหน้าไม่ได้เพราะหัวปักหัวปำเวลาดื่มเหล้า ฤทธิ์ในทางยาก็เป็นเรื่องแก้พิษปลาปักเป้า
ในการออกฤทธิ์ทางเคมี รางจืดทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ร่างกายก็ต้องการน้ำมากขึ้นเพื่อใช้ปรับสมดุลน้ำตาลและใช้ขับทิ้งส่วนน้ำตาลที่เกินทิ้งออกไป เคยเล่าไว้แล้วว่าน้ำในร่างกายเป็นน้ำเกลือ จะให้น้ำอยู่ในร่างกายได้พอก็ต้องมีการเก็บเกลือคืนกลับ กลไกที่ต้องเก็บเกลือไว้เพื่อเก็บน้ำนี้แหละที่ทำให้เมื่ออุ๊ยสร้อยดื่มชารางจืดแล้วปากคอหายเค็ม
ถ้าจะถามว่ารางจืดลดเกลือในร่างกายด้วยไหม อันนี้ไม่กล้าตอบเลยค่ะ ไม่เคยรู้ว่ามีการศึกษาฤทธิ์ของรางจืดในแง่มุมนี้หรือเปล่า แต่ที่มีแน่ๆคือฤทธิ์รางจืดทำให้ไขมันบางตัวลดลง แก้พิษของสัตว์ที่ส่งผลให้ระบบประสาทรวนได้จริง
สาเหตุที่รางจืดแก้พิษที่ีทำให้ระบบประสาทรวนได้อย่างสำคัญก็เพราะในรางจืดมีธาตุรสเค็มอีกตัวอยู่มาก ธาตุตัวนั้นชื่อ โปตัสเซียม
เคยได้ยินใช่ไหม เมื่อหลายสิบปีก่อนมีข่าวครึกโครมทีเดียวเกี่ยวกับคนอีสานที่ทำให้แตกตื่นกันไปหมด ข่าวนั้นบอกว่าอยู่ดีๆคนอีสานก็มีอาการอ่อนเปลี้ยเดินไม่ได้อย่างเฉียบพลันเป็นแฟชั่น จนเมื่อกระทรวงสาธารณสุขส่งคนไปสืบค้นสาเหตุ จึงได้รู้ว่า เจ้าโปตัสเซียมคือต้นเหตุ เมื่อไรในร่างกายผู้คนมีตัวมันต่ำ เมื่อนั้นเกิดเรื่องอ่อนเปลี้ยง่ายๆนะคะ ขอบอก แต่ถ้ามีมากเกิน สามารถหัวใจเต้นช่าช่าช่า ไม่เป็นจังหวะได้ค่ะ
โปตัสเซียมเกินไม่ดีสำหรับหัวใจ ขาดไม่ดีกับกล้ามเนื้อและประสาทว่างั้นเหอะ
ฉะนั้นที่น้องหนิงมาแลกเปลี่ยนไว้ที่นี้ว่ามีคนพิเรนทร์ทำสินค้าออกมาในตลาดแล้วใส่โปตัสเซียมไว้แทนโซเดียม ระวังไว้นะคะ ทำให้ตัวเองเกิดโรคโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้
จะรู้ทันการสอดไส้ขายอย่างนี้ได้ ให้พึ่งฉลากโภชนาการนะคะ อ่านฉลากทุกครั้งก่อนซื้อสินค้าสำเร็จรูปทุกตัว
อย่าลืมสร้างนิสัยอีกอย่างไว้ด้วยค่ะ พกพาแว่นขยายติดตัวไปช๊อปปิ๊งด้วยนะคะ ก็เจ้าฉลากนี้มันถูกพิมพ์ไว้ตัวเล็กถึงเล็กมากๆๆ ต่อให้ไม่ใช่สว.ก็เหอะ อ่านยากอย่างยิ่ง
เลยถือโอกาสทวนซ้ำซะหน่อย ฉลากบริโภคมีอะไรอยู่บ้าง ขอยกตัวอย่างข้อความจากฉลากบริโภคของซอสเจตราสถานที่สำคัญใกล้วัดหลวงพี่ติ๊กมาอ่านทำความเข้าใจไปด้วยกันค่ะ
ซอสเจ 1 หน่วยบริโภค (1 ช้อนโต๊ะ = 15 มล.) ข้อความนี้ หมายถึง ส่วนประกอบต่างๆวิเคราะห์ต่อจำนวน 15 มล. กำหนดส่วนบริโภคไว้่ครั้งละ 15 มล.
ร้อยละของปริมาณต่อวัน : ไขมันทั้งหมด 0 กรัม 0% โปรตีน 2 กรัม คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 2 กรัม 0% น้ำตาลน้้อยกว่า 1 กรัม โซเดียม 1260 มก. 53% เหล็ก 6%
ข้อความนี้หมายความว่า ถ้าบริโภคใน 1 วันจากซอสนี้ 15 มล. จะมีโซเดียม 1,260 กรัม (กำหนดให้บริโภคไม่ควรเกิน 2,000 กรัมต่อวัน) และซอสนี้เป็นน้ำเกลือเข้มข้นเชียวนา สัดส่วนน้ำต่อเกลือราว 1:1 เลยเชียว (53%) แถมยังมีแหล่งให้น้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตที่ไม่รู้ว่าได้จากวัตถุดิบอะไรและมีน้ำตาลด้วย และมีแหล่งให้พลังงานจากโปรตีนด้วยในสัดส่วนเท่าๆกับคาร์โบไฮเดรต อีกส่วนประกอบที่พิเศษและเติมไว้ในซอสยี่ห้อนี้คือ ธาตุเหล็ก
ในแง่ของการบริโภค คนที่โลหิตจางจะได้ประโยชน์จากการบริโภคซอสเจนี้ แต่ถ้าโลหิตจางจนตัวบวม บริโภคซอสนี้ก็มีเสี่ยงกับโซเดียมที่มีอยู่เข้มข้น
กลับมาบอกเล่าเรื่องรางจืดอีกหน่อย เผื่อใครยังไม่รู้ ยาเขียวที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ใช้รักษาไข้ทั้งดื่มทั้งเช็ดตัวในสมัยก่อนๆ คือ น้ำจากผงรางจืดค่ะ
อ้อ เกือบลืมไปเชียว ชารางจืดไม่เหมาะกับผู้ได้รับการติดยศเบาหวานหรือว่าที่เบาหวานที่มีเหรียญกล้าหาญเรื่องตับ ก็มันทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ แถมยังมีฤทธิ์ทำให้น้ำย่อยจากตับขึ้นสูงได้ด้วย
ดื่มนานๆๆครั้งไม่ว่ากันอยู่แล้ว แต่ถ้าคิดจะดื่มประจำหรือบ่อยๆเพื่อให้ปากคอจืด น้ำลายจืด ขอเหอะๆ
ส่วนถ้าจะดื่มเพื่อใช้มันเป็นยาสมุนไพรดูแลร่างกาย ไม่ขอนะคะ ก็การคงอยู่ในร่างกายของมันเหมือนการกินอาหาร จะดื่มมันเข้าไปได้หรือไม่ ก็ตอบว่าได้ แต่ควรดูจังหวะเวลาที่จะดื่มไว้หน่อย ตรวจดูสภาพเลือดของร่างกายไว้ก่อนเป็นบรรทัดฐาน ติดตามต่อหลังการดื่มต่อเนื่องป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้ฤทธิ์ที่ไม่ต้องการของมันข้างบนมาเติมซ้ำให้เกิดโรคเร็วขึ้น หยุดดื่มได้ทันกับด้านลบที่มันเป็นต้นเหตุ
บันทึกอื่น
ขอเล่าเรื่องฉลากโภชนาการซะหน่อยดีกว่า
« « Prev : เล่าเรื่องแก้มลิงในร่างกาย
Next : ความเค็มของอาหาร….เกี่ยวอะไรกับอากาศหายใจ » »
4 ความคิดเห็น
ขอบพระคุณค่ะพี่หมอเจ๊
ถึงว่าซิคะ คนโบราณเขาดื่มเฉพาะตอนที่มีไข้ แต่เดี๋ยวนี้คนเขาเห่อดีท๊อกตัวเองด้วยการดื่มชารางจืด
รู้แต่รู้ไม่หมดนี่อันตรายจริงๆนะคะ
รางจืดปลูกไว้หลายปีแล้ว ออกเถาว์พันยั๊วเยี้ย แถมยังออกต้นเล็กๆเต็มไปหมด
เคยลองชิมบ้างนานๆครั้ง
ทุกวันนี้เปลี่ยนเป็น “ใบย่านางปั่น” ทุกเช้า รวมกับสมุนไพรตัวอื่น
ไม่ทราบว่า “ย่านาง” จะแสลงโรค“ตับ” เหมือนรางจืดหรือเปล่านะครับ
แคว๊กๆๆ
#1 อุ๊ยสร้อยที่รัก การดีท๊อกหรือการดื่มกินรางจืดมีแง่มุมดีๆของมันอยู่ในยุคสมัยที่มีการบริโภครสเค็มอย่างมากมายอย่างยุคสมัยนี้
เพียงแต่ทุกอย่างที่อยู่ในโลกไม่ได้มีด้านเดียว มันมีแง่ดีน้อยกว่า ดีมากกว่าให้ใคร่ครวญก่อนเลือกทำให้เหมาะกับกาล
จะอย่างไรรางจืดก็เป็นประโยชน์ในเรื่องแก้กินเค็มในอีกแง่มุมค่ะ
#2 พ่อครูค่ะ การที่เอ็นไซม์ตับขึ้นสูง ในบางเรื่องก็ไม่ได้เกิดจากตับป่วยหรือแย่ค่ะ ต้องแยกแยะต้นตอก่อนฟันธงว่าตับแย่ลง
ดูแล้วรางจืดไม่เหมาะสำหรับพ่อครูในเรื่องที่จะส่งผลให้เขยิบยศเป็นเบาหวานยศสูงกว่าเร็วขึ้นค่ะ