เล่าเรื่องแก้มลิงในร่างกาย
เวลากินอะไรแล้วมีสัญญาณบอกความผิดปกติให้รู้ ถ้ามองมุมบวกถือว่าเป็นเรื่องดีๆทั้งนั้น แต่เมื่อมีคำถามว่าปกติหรือไม่อย่างไร บางทีก็อึ้งเหมือนกันใช่ไหม อึ้งว่าควรจะตอบอย่างไร สิ่งที่ไม่อยากตอบคือความไม่ปกติใช่ไหม ถ้าเว้ากันซื่อๆตรงใจที่ไม่อยากตอบเพราะไปรู้สึกว่าความไม่ปกติเป็นเรื่องลบๆอยู่นั่นแล้วหรือเปล่า
ในขณะที่มีการจัดการสมดุลน้ำโดยใช้ช่องทางหลัก 2 ช่อง การจัดสมดุลเกลือก็อาศัย 2 ช่องหลักนี้เหมือนกัน ร่างกายประหยัดพลังงานจะทำอะไรทำไปพร้อมๆกันซะเลย โดยในขณะที่มีการจัดสมดุลน้ำ น้ำตามเกลือ ในการจัดสมดุลเกลือ เกลือก็ตามน้ำไปด้วย
ฉะนั้นเวลาเกลือไปไหน น้ำตามไป 3 มล.ต่อเกลือ 1 กรัม (เกลือในที่นี้ หมายเฉพาะถึงแต่โซเดียม) เกลือเยอะเมื่อไร การขับเกลือทิ้ง จะทำให้น้ำตามเกลือออกไปด้วยเช่นกัน
ยังไม่เคยบอกกันใช่ไหมว่าเกลือและน้ำไปอยู่ที่ไหนเมื่อดื่มกินเข้าไปในร่างกาย ขอบอกกันไว้หน่อยเพื่อให้นึกภาพออก
ลองนึกถึงแผนที่โลกดูนะคะ เวลามองลงไปในภาพ เราจะเห็นผืนดินและผืนน้ำ ถ้าเปรียบเซลของร่างกายคือผืนดิน ส่วนที่มีน้ำอยู่ของร่างกายในที่อื่นๆก็คล้ายกับพื้นน้ำที่เห็นบนแผนที่ที่มีทั้งใหญ่และเล็ก ธรรมชาติสร้างน้ำบนผืนโลกให้มีความเค็มต่างกันตามสัดส่วนของธาตุที่ละลายปนอยู่
น้ำในร่างกายก็มีลักษณะคล้ายๆกันกับน้ำบนผืนโลก พื้นดินบนผืนโลกมีน้ำแทรกอยู่ในดินให้ดินชื้น ในเซลก็มีน้ำแทรกซึมอยู่เหมือนพื้นดิน ผืนโลกมีพื้นน้ำที่แยกอยู่นอกพื้นดินใหญ่เล็กต่างกัน ร่างกายก็มีพื้นที่ที่มีน้ำคล้ายๆกันอยู่ พื้นที่นอกเซลคือพื้นที่ที่มีน้ำแยกออกจากเซลไปขังอยู่
ลักษณะน้ำบนพื้นโลกที่แยกจากผืนดินมีน้ำไหลเก็บอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง ลำธารขนาดต่างๆบนพื้นโลกอยู่ตลอดเวลา ร่างกายก็มีน้ำเลือดไหลอยู่ในเส้นเลือดดำ-แดงขนาดต่างๆอยู่ตลอดเวลา มีน้ำปัสสาวะในท่อไตไหลตลอดเวลาเช่นกัน
บนพื้นโลกมีส่วนที่เป็นแอ่งขังน้ำอยู่ ในร่างกายก็มีกระเพาะอาหาร ลำไส้ กรวยไต ถุงน้ำดี โพรงกระดูก ต่อมน้ำตา ต่อมน้ำย่อยต่างๆเป็นแอ่งขังน้ำคล้ายอย่างนี้อยู่่เหมือนกัน
ผืนดินมีส่วนของแก้มลิงไว้เก็บน้ำยามน้ำเอ่อล้น ในร่างกายก็มีช่องท้อง ช่องระหว่างเยื่อหุ้มปอด ช่องอุ้งเชิงกราน ช่องปาก คอ จมูก เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแก้มลิงตามธรรมชาติให้กับร่างกายเช่นกัน
น้ำทะเลเค็มจากเกลือแกงเป็นหลักใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีธาตุอย่างอื่นที่ให้ความเค็มอยู่ด้วยนะคะ เคยเล่าไว้ที่บันทึกนี้เรื่องความเค็มของทะเลลองย้อนกลับไปอ่านได้ค่ะ
ในทะเลมีเกลือแกง(โซเดียมคลอไรด์)และแร่ธาตุต่างๆทำให้เค็ม น้ำในร่างกายก็เค็มคล้ายๆทะเลจากธาตุที่ปนอยู่
ธรรมชาติสร้างสมดุลทางเคมีเอาไว้ไม่ยอมให้โซเดียมอยู่เดี่ยวๆโดยมอบฤทธิ์ของการทำปฏิกิริยาทางเคมีรวมตัวกับอากาศหรือน้ำอย่างรวดเร็วไว้ให้
ส่วนโซเดียมในร่างกายของผู้คน ธรรมชาติกำหนดให้อยู่กับน้ำและรวมตัวกับคลอไรด์ในร่างกายเป็นเกลือแกง น้ำเกลือแกงนี้จะอยู่ตรงส่วนนอกเซลเป็นส่วนใหญ่ ในเซลเป็นส่วนน้อย
ใครที่เคยชิมเลือดเวลามีดบาด รู้สึกว่าเลือดเค็มใช่ไหม น่านแหละใช่เลย เส้นเลือดคือแหล่งน้ำที่มีน้ำเกลืออยู่ ใครที่เคยชิมน้ำดี รู้สึกว่าในความขมมีความเค็มด้วยใช่ไหม น่านแหละถุงน้ำดีก็มีน้ำเกลืออยู่ เคยเลียเหงื่อที่ไหลย้อยตามใบหน้าแล้วรู้สึกเค็มใช่ไหม น่านแหละใช่เลย เหงื่อก็มีเกลือแกงอยู่ด้วย
ถ้างั้นน้ำลายที่เค็มในคอก็เป็นแหล่งหนึ่งที่มีน้ำเกลือปนอยู่นะซิ คำตอบก็คือใช่เลย ก็น้ำลายเป็นน้ำที่อยู่นอกเซลนี่ค่ะ
แล้วน้ำปัสสาวะหละ เค็มมั๊ย ไม่เคยชิมรสสักทีแฮะ แต่เชื่อว่ามันเค็มนะ ก็เวลาที่กินเซ่งจี๊หมูลวกมันมีรสเค็มปะแล่มๆนี่นา
น้ำบนผืนโลกมีน้ำทะเล น้ำกร่อย และน้ำจืด ค่าวิเคราะห์ทางเคมีของปัสสาวะบอกว่าที่นี่แหละเป็นแหล่งโซเดียมที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงคล้ายน้ำบนผืนโลก บางครั้งก็เป็นน้ำทะเล บางครั้งก็เป็นน้ำกร่อย บางครั้งก็เป็นน้ำจืด
ถ้าจำได้ว่าที่กระบี่มีคลองสองน้ำซึ่งมีลักษณะพิเศษของการมาพบกันของน้ำทะเลและน้ำจืด ไตของผู้คนนี่แหละที่เป็นคลองสองน้ำอยู่ในร่างกาย
เคยดูดกระดูกที่ทุบไหม มีรสเค็มด้วยใช่ไหม น่านหละมีเกลือแกงอยู่ด้วยและมีมากที่สุดในร่างกายเชียวแหละ แหล่งที่มีเกลือแกงมากรองลงมาก็จะเป็นกล้ามเนื้อ เอ็น พังผืดและกระดูกอ่อน
เวลาเลียน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เลียน้ำมูกที่ไหลย้อย แล้วรู้สึกเค็ม น่านแหละน้ำตา น้ำมูกก็มีเกลือแกงด้วย
น้ำมูก น้ำตา น้ำลายออกมาสู่แก้มลิงเล็กๆแล้วไหลล้นหายไปเป็นช่องทางโดยปกติที่ร่างกายใช้ขับเกลือแกงออกจากร่างกายเวลาที่น้ำเกลือล้นเกินต้องการ
ในเมื่อปาก คอ จมูก เป็นช่องทางขับเกลือออกเมื่อล้นเกิน “ปากคอเค็มมาก” ก็คือเรื่องปกติซิเนอะ
ควรดีใจใช่ไหม ที่ส่วนเกินถูกขับทิ้งออกไป อย่างนี้การที่ปากคอไวกับความเค็มก็ถือเป็นสัญญาณไม่ปกติที่เป็นปกติ เป็นสัญญาณประจำตัวที่ดีของคนๆนั้นเนอะค่ะ จะไปรังเกียจทำไม ควรที่จะฝึกตัวให้ความไม่คุ้นกันกลายเป็นความคุ้นจะดีกว่ามั๊ย
ไม่รู้บอกแล้วจะเชื่อไหม ว่าน้ำในหนอนน้อยที่ปล่อยทางก้นทุกวันเค็มเท่าน้ำลายในปาก และ็เค็มกว่าเมื่อมันเป็นน้ำแทนเป็นก้อน
พอจะมองภาพออกและเข้าใจขึ้นบ้างมั๊ยว่าทำไมในวงการแพทย์จึงใช้น้ำเกลือใส่คืนเข้าร่างกายเมื่อผู้คนป่วย ไม่ว่าจะป่วยด้วยกินเองดื่มเองไม่ได้ ได้น้ำไม่เพียงพอ เสียเลือด เสียน้ำจากท้องร่วง โดนแทงน้ำเกลือเข้าเส้นให้ทั้งนั้น
ที่เล่าเรื่องแก้มลิงให้ฟัง ก็เพื่อจะบอกพ่อครูเพิ่มว่า ให้ชั่งน้ำหนัก วัดเอว วัดพุงทุกวันไว้ด้วย พุงที่ใหญ่ขึ้นมีโอกาสเกิดจากแก้มลิงในท้องรับน้ำทะเลที่ล้นไปเก็บไว้ด้วยเหตุของเรื่องเดิมของพ่อครูที่มีอยู่แล้วได้ค่ะ
ใช้น้ำหนักเป็นตัวตัดสินนะคะว่าไม่ปกติแล้ว : น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเกิน 1 กก.ต่อวันคือสัญญาณบอกค่ะ
ส่วนเรื่องแก้มลิงกับรางจืดจะยกไปเล่าให้ฟังที่บันทึกอื่นก็แล้วกัน
« « Prev : ขอบคุณพ่อครูที่เป็นครูอีกครั้ง ขอบคุณพี่บ่าวและเล่าฮูแสวงค่ะ
Next : อุ๊ยสร้อยชวนเรียนรู้….รางจืดแก้เค็ม » »
2 ความคิดเห็น
จะวัดพุง ชั่งน้ำหนักทุก2-3 วันครับ
-ไปชั่งน้ำหนักที่สุราษฏร์ ให้เล่าฮูแสวงอ่านตัวเลข บอกว่า 62 จากที่เคยขึ้นไป 65-66 ก.ก.
-หมอให้ลดลง 60 จะดีที่สุด ยังทำได้ไม่ถึงเป้า จะต้องพยายามต่อๆๆไป
เวลาชั่งอย่าดูแค่ค่าลงถึงเป้าหรือเปล่า ให้ดูว่าความต่างของแต่ละวันด้วยว่ามีช่วงต่างอย่างไร
เมื่อไรที่ความต่างของน้ำหนัก 2 วันติดกันเทียบค่าได้ 1 กก.ขึ้นไป ให้ทวนย้อนดูว่าทำอะไรแปลกเปลี่ยนไปหรือเปล่าในเรื่องน้ำ เกลือและอาหารโปรตีนค่ะ