จัดการการกินให้อ่อนเค็ม…ไม่ง่ายๆ

อ่าน: 4281

นับแต่วันที่ไปงานเลี้ยงงานใหญ่งานหนึ่งกลับมาแล้ว ตลอดสัปดาห์ได้รับบัตรเชิญงานแต่งงานรอพบหน้าต่อยาวอีกหลายงาน เล่าไว้แล้วว่าตอนไปงานใหญ่นั้นได้เกลือเกินมาอย่างไร

ต่อมาอีก 3 วันไปอีกงานหนึ่ง เป็นงานพิธีบำเพ็ญกุศลศพในระหว่างญาติพี่น้อง ได้กินอาหารที่จัดไว้รับรองไปนิดเดียวเอง กับข้าวก็เลือกกินผักซึ่งมีเห็ดต้มแกงจืด ผักสดและสะตอสด+ชิมน้ำพริกไปหนึ่งคำ มะเขือยาวผัด  ยอดมะพร้าวในแกงกะทิ ส่วนเนื้อสัตว์ก็มีปลาทอดกินสองสามคำ หมูพะโล้ไม่กินมันและหนัง 2 ชิ้น  ดื่มน้ำเปล่าตามไป 2-3 แก้ว

ระหว่างทำงานใน 2-3 วันต่อมาดื่มน้ำได้น้อย ทุกวันที่กลับถึงบ้านดื่มน้ำเพิ่มไปได้บ้าง สังเกตว่าเวลานั่งทำงานที่บ้านรู้สึกแสบจมูกและเค็มในคอ เหมือนคนที่กำลังลอยคอเล่นน้ำทะเล อย่างไรอย่างนั้นเลยเชียว เวลารู้สึกก็จะลุกไปดื่มน้ำเพิ่มบ้าง ทำงานเพลินก็กลืนน้ำลายและของเหลวรสเค็มที่อยู่ในคอแทนการลุกไปดื่มน้ำบ้าง ช่วงนอนหลับมีหิวน้ำจนต้องลุกมาดื่มน้ำกลางดึกหลายหนเชียว

เรื่องบอกว่าได้เกลือเกินเติมมาอีกแล้วเยอะมาก แปลกใจมากเพราะระหว่างกินไม่รู้สึกเลยว่าอาหารมีผงชูรสหรือรสเค็ม

มีบัตรเชิญงานแต่งรอให้ไปร่วมอยู่อีกหลายงาน จึงไม่ใคร่สุขกับการจะไปรับเอาเกลือจากอาหารงานเลี้ยงที่รออยู่สักเท่าไร เริ่มหาทางออกให้กับตัวเองโดยลองปรับวิธีกินอาหารในแต่ละวันดูใหม่

ทุกมื้อเย็นปรับตัวกินกับข้าวเมนูผัดผักด้วยน้ำ ปรุงไม่ใส่น้ำปลา เกลือ ใส่เน้ำมันหอยหนึ่งช้อนชาู คอยสังเกตต่อตลอด 3 วันที่กินเมนูนี้ไปแล้วมีอาการยังไง ผลพบว่ายังมีอาการเช่นเดิมอยู่ทุกๆวัน

เชื่อได้แล้วที่บอกว่ากว่าจะขับเกลือที่กินออกไปจากร่างกายใช้เวลา 5 วัน เค็มอย่างนี้บอกว่าได้เกลือเกินจากงานใหญ่นั้นเข้ามา่ในตัวอย่างมากมาย  และยังได้เกลือเกินเพิ่มมาจากบางแห่งอีกด้วย นึกๆไปแหล่งอาหารที่ว่าอยู่ที่ไหน อาหารเที่ยงที่ซื้อร้านค้าในร.พ.กินก็น่าจะใช่  ไม่ใคร่รู้สึกเพราะว่ากินข้าวแล้วกินชาดำเย็นตามไปด้วยในมื้อนั้น

สำคัญจริงๆ เรื่องเกลือเกินจากอาหารนอกบ้าน  เค็มอย่างนี้จะหมดไปก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน

2 คืนก่อนสังเกตว่าตอนที่่มีน้ำลายหรือมีน้ำรสเค็มที่คอจะกลืนมันลงท้องไปไม่ได้บ้วนทิ้ง จึงนึกได้นี่ก็เป็นแหล่งที่เติมเกลือให้ตัวเองในระยะนี้ตลอดเวลาเหมือนกัน  ไม่หยุดเติมวงจรอุบาทว์ของการเติมเกลือก็จะยังคงอยู่โดยไม่ตั้งใจ

เมื่อเริ่มรู้ เปลี่ยนใหม่เป็นเมื่อรู้สึกเค็มก็ขากแล้วเดินไปถ่มทิ้งลงในโถส้วมบ้าง อ่างน้ำบ้าง ทำๆไป ความขี้เกียจก็คืบคลานเข้ามาสั่งการว่าให้กลืนลงท้องไปอีกซะนี่

ขำตัวเองที่นึกไปถึงนิสัยขาก..ถ่ม..ถุย..ของคนจีนโน่นเลยว่ามาจากนิสัยกินเค็มกันมั๊ง ก็เคยได้ยินประวัติกินข้าวต้มกับหินคลุกเกลือของคนจีนมานี่นา หินที่ดูดนั้นเกลือเต็มๆเลยนะ ไม่ขาก..ถ่ม..ถุย..น้ำลายในปากก็เค็มแย่เลยเหมือนที่ตัวเองกำลังแย่ซิ…อิอิ

เมื่อคืนก็มีงานเข้าอีกหนึ่งงานใหญ่  เป็นงานเลี้ยงใหญ่ที่ร.พ.จัดให้กับเจ้าหน้าที่  ก่อนไปร่วมก็รู้สึกลำบากเหลือใจกับการไปเจอความเค็มจากอาหารนอกบ้านอีกแล้ว  เมื่อวานเลยใช้วิธีเตรียมตัวไปงานเลี้ยงใหม่ตั้งแต่ตอนเช้า

เคลียร์เมนูอาหารไม่ให้มีอะไรเค็มเลยตั้งแต่มื้อเช้า ตลอด 2 มื้อ หนักเมนูผัก งดเนื้อสัตว์ งดของมันๆ ตั้งใจดื่มน้ำเข้าไปให้มากหน่อยแต่ไม่ได้อย่างที่ตั้งใจสักเท่าไร  ปวดฉิ้งฉ่องเข้าห้องน้ำแค่ครั้งเดียวเองทั้งวัน

ก่อนไปร่วมงานก็กินมื้อเย็นไปก่อน ใช้เมนูีผัก+เส้น มีผักบุ้ง เส้นหมี่ เต้าหู้แข็งและถั่วงอกเ็ป็นส่วนประกอบในเมนู งดราดน้ำปรุงที่ี่ต้องใช้คู่กัน

ไปถึงงานเป็นคนหลังๆแล้ว อาหารออกมาตั้งรออยู่แล้วมากมาย จึงมีโอกาสเล็งดูเมนูก่อนเลือกกิน

เลือกหนักที่ผัก+ผลไม้เพื่อลดปัญหาการได้รับกรดยูริกและเกลือเหมือนเคย งานนี้ได้ร้านโต๊ะจีนนครปฐมที่ลงมาเจาะตลาดทางใต้มาโชว์ฝีมือ

เนื้อสัตว์ มีปลา มีไก่ มีกุ้ง เมนูปลา กุ้ง ปรุงมาแบบอบ นึ่ง ไม่มีส่วนผสมอะไรมาก  เล็งดูแล้ววิธีปรุงไม่น่าจะ่มีการคลุกผงชูรส  ไม่แน่ใจจึงเลือกชิมแค่คำสองคำ  ดื่มน้ำเป็นระยะๆประมาณ 2 แก้ว แล้วยุติการดื่มกินไป

เช้านี้ออกไปทำงานที่นัดไว้แล้วกลับเข้าบ้าน สังเกตว่าความรู้สึกเค็มที่คอยังมีอยู่อีกตั้งแต่เช้า แสบจมูกก็ยังมีให้รู้สึกได้  แต่เมื่อคืนไม่หิวน้ำจนต้องลุกมาดื่มน้ำเลยนี่นา

คืนนี้ก็่มีงานเข้าอีก พรุ่งนี้เย็นก็มีอีกงานรออยู่ เว้นช่วงไป 2 วันก็มีคิวต่อยาว 3 วันรวด หนีไม่พ้นต้องเตรียมตัวก่อนไปงานหน่อยแล้ว

มื้อเที่ยงกินบะหมี่ก็ตักส่วนที่คิดว่าเปื้อนผงชูรสทิ้งไปซะ เย็นก็ต้มแกงจืดผักไม่ใส่เกลือ ใส่แค่น้ำตาลปลายช้อนชา ผักที่ใช้มีผักโขมขาวและมันฝรั่งเท่านั้น ก่อนลงมือนึกถึงผงนัวของพี่บู๊ดแฮะ แล้วไปคว้าสูตรน้ำสต๊อกผักในหนังสือสอนปรุงซุปมานั่งอ่าน เรียนรู้อะไรวันหลังจะนำมาเขียนบอกกัน

เมนูนี้กินกับข้าวไม่อร่อยเท่าไรเพราะรสชาดไม่คุ้นลิ้นแต่ก็กินอิ่มได้  ไปถึงงานเลือกกินแต่ของว่างและผลไม้ที่นำเจ้าภาพนำมาเสิร์ฟ ขอน้ำชากาใหญ่มาซดดื่มไปพร้อมๆกัน ดื่มชาไปหลายแก้วก็สบายปาก  กลับถึงบ้านดื่มน้ำเติมเข้าไปอีก 2-3 แก้ว แล้วตามด้วยแกงจืดที่ยังเหลืออยู่ในหม้อใส่ลงท้องอีกรอบ

ตอนมานั่งเขียนบันทึกนี้ รสเค็มที่รู้สึกในปากจางลงไปมากแล้ว เข้าห้องน้ำฉิ้งฉ่องไปแล้ว 2 รอบ  ดูเหมือนได้ผลกับการเตรียมตัวไปงานแบบนี้ จึงนำมาบอกกัน ใครจะนำไปใช้เลียนแบบก็ไม่ว่ากัน

วันนี้มาบอกว่าการปรับลดไม่กินเค็มหรือกินให้เค็มน้อยลงนั้นทำยากนะ ถ้าหักดิบความสุขของชีวิตจะหายไปมากนะ ด้วยรสชาดอาหารจะทำให้เลิกปรับ เลิกลดไปได้ง่ายๆทีเดียวเชียว   ขอแนะนำให้ปรับในแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อปรับลิ้นที่คุ้นกับเค็มจัด จะง่ายกว่าเยอะเลย

ขอเล่าเรื่องน้ำกับเกลือก่อนจบค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า

มีเกลือ(โซเดียม)ที่่ไหน น้ำจะใจง่ายตามไปอยู่ด้วยเสมอ มีเรตติ้งของการตามกันไปเป็นอย่างนี้้ค่ะ :   โซเดียม 1 มก. ดูดน้ำได้ 3 มล.ไปกับตัว

เห็นแล้วยัง ว่าทำไมกินเค็มแล้วน้ำคั่งอยู่ในร่างกายจนบวมไปได้

« « Prev : ระดับความเสื่อมของไต…แปลยังไง…รู้กันไว้หน่อยละกัน

Next : ชวนพ่อครูบาทำน้ำปรุงรสจากผักต้ม » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ธันวาคม 2009 เวลา 5:43 (เช้า)

    เมื่อวานนี้ไปงานเลี้ยง..สามมื้อ…ก็ว่าเลี่ยงอาหารเค็มและรสจัดแล้ว แต่ก็รู้สึกคอแห้งหิวน้ำตลอดวัน…..ผลชูรสคงทำให้ไม่รู้สึกว่าเค็มแต่ก็รับไปเต็มๆ แล้ว…เลยชงรางจืดดื่มไปแล้วรู้สึกค่อนยังชั่วค่ะ ไม่รู้เกี่ยวกันไหมแต่รู้สึกว่าหลายครั้งที่เจออาหารที่ทำให้เกิดอาการแปลกๆ รางจืดช่วยได้ค่ะ

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 ธันวาคม 2009 เวลา 21:13 (เย็น)

    อิอิ….น่านนนนนนนนนน….ได้เรื่องแล้ว….ขอบคุณที่มาร่วมแลกเปลี่ยน

    ระวังเวลาดื่มบ่อยๆหรือเป็นประจำทุกวันนะอุ๊ย เพราะรางจืดทำให้เอ็นไซม์ตับขึ้นสูงได้ค่ะ

    ยืนยันอุ๊ยว่ามันเกี่ยวกัน แล้วจะเล่าให้ฟังต่อไป เรื่องพวกนี้มันต้องย่อยมาเล่าให้ฟังแบบง่ายๆ ให้พอเห็นภาพค่ะ 

    ถนัดแต่เล่าแบบภาษาหมอๆ….ซึ่งรู้ว่าฟังยาก…คนเล่า่รู้เรื่องคนเดียว คนฟัง-อ่านบ่ฮู้เรื่อง…ก็เลยขอลองปรับคำพูดที่จะเล่าซะหน่อย

    ขอไปประมวล…ค้นและคว้าคำง่ายๆมาเล่าให้ฟัง…..จะได้สนุก…ไม่เบื่อ

    ส่วนใหญ่้พี่จะตั้งโจทย์ก่อน….จะผูกโยงเชื่อมเรื่องราวให้เป็นเรื่องเล่าอย่างไร…แล้วจึงมาเล่าให้ฟัง

    บางเรื่องใช้คุยอยู่ทุกวันอยู่แล้วก็เร็วในการมาเขียนเล่า…..บางเรื่องรู้แต่ไม่ใคร่ได้ใช้คุยกับใครนอกจากสั่งการรักษาก็ช้าหน่อย

    โจทย์เรื่องอาหารนี้ยากสำหรับคนเป็นหมอ….อีตรงที่มีเรื่องภาษาเคมีอยู่ด้วย…ภาษาหมอๆเองก็ยากอยู่แล้ว….ทั้ 2 ภาษาให้มาบอกด้วยภาษาที่ชาวบ้านทั่วไปเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้เลยเมื่อฟังจบ….ไม่ง่ายเลย

    เคยพูดแต่ศัพท์เฉพาะ…ความรู้ลึกที่ใช้กับการรักษาและผ่องถ่ายความรู้….ก็ต้องเรียบเรียงภาษาใหม่….จะเล่าอย่างที่เข้าใจอยู่แบบหมอเล่าพยาบาล….บ่ได้….ให้หมอพูดภาษาชาวบ้านนี่ยากกกกกกเหมือนกันเน้อ….อิอิ

  • #3 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 ธันวาคม 2009 เวลา 10:39 (เช้า)

    ผมยังมีอาการภูมิแพ้ น้ำมูกไหลในบางครั้ง กลับไปจะโด๊ปน้ำเสาวรสให้มากขึ้น จะช่วยได้ไหมครับ
    ภาษาหมอ ภาษาพระ ภาษากฎหมาย  ภาษาราชการ มีรากศัพท์และสไตล์ตนเองเฉพาะ
    ถ้าจะสื่อชาวบ้านต้องแปลงสารแบบอัยการชาวเกาะ
    ดัดแปลงบ้้าง สร้างคำที่ใกล้เคียงบ้าง แค่นี้ก็ทะลุปุโปร่งแล้ว แคว๊ก
    ขอแต่ให้ขยันเขียน จะขยันอ่านๆๆๆๆ จวบฟ้าดินสลาย อิ อิ

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 22 ธันวาคม 2009 เวลา 20:14 (เย็น)

    พ่อครูค่ะ….ภาษาหมอนั้นมีแต่ภาษาปะกิต…ตัวเลข…สูตรทั้งหลายเต็มไปหมด…..แถมเวลาเรียนก็แยกส่วนมาให้เรียนแบบไม่ปะติดปะต่อ
    เวลาใช้ในงานดูแลคนก็แยกส่วนแตกย่อยใช้อีก….มันก็เลยเป็นความยากอย่างยิ่ง….ที่จะนำมาบอกเล่าให้ง่าย

    เรื่องก่อนๆที่เคยเขียนเล่าตั้งแต่ต้น…ก็พยายามใช้เรื่องราวรอบตัวมาผูกเรื่อง….เพื่อชี้ชวนให้สร้างภาพทำความเข้าใจไปคู่กัน…ใช้ไปกับคนไข้ที่ได้พบเจออยู่เรื่อยๆ

    จัดห้องสอนบ้าง…สอนรายคนบ้าง….แล้วก็มักจะพบว่าเวลาคุยให้คนฟัง…คนฟังเขามักจะติดตัวเลข…..ติดการตัดสิน “ใช่” “ไม่ใช่”อยู่มากมาย….ลูกน้องที่ทำงานกันอยู่ก็ติดตำรา
    ทำงานไปก็เหนื่อยใจไปเหมือนกัน…กับการทำความเข้าใจเบื้องหลังเพื่อให้เข้าใจตัวเลขที่มา…..เพราะว่าตัวเลขมันเป็นแค่ผลผลิตของสิ่งที่ได้ทำลงไปก่อนหน้าค่ะ

    เหนื่อยใจจนวางมือซะพักหนึ่ง….ปล่อยให้ลูกน้องลงมือเองไปราว 2 ปี….ปรากฎว่าลูกน้องติดใจกับการสอนแบบเรื่องเล่าที่ใช้ๆอยู่….เขาก็เปลี่ยนวิธีสอนของเขาไปผสมกันกับความคุ้นชินของการสอนตามตำรา……คนไข้ชอบสไตล์ที่เขาเปลี่ยนแปลงไป…..เพราะรู้เรื่องขึ้นมากมาย

    ระหว่างวางมือก็ตามดูคนที่เคยเล่าเรื่องให้ฟัง+ลูกน้องดูแลต่อ….พบว่าการดูแลตัวเองของคนไข้ขยับตัวขึ้นมามากกว่าเดิม….ยิ่งคนมีการศึกษาอย่างพวกครู สาธารณสุขด้วยกันนี่ยิ่งชอบใหญ่…..ก็ใจชื้นหน่อย…แต่พอปล่อยๆไม่ตามติด…ติดตามให้มาวัดกันดู……เขาก็กลับไปเหมือนเดิม….

    ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า…ที่ว่าฟังง่ายนั้น…ก็ยังง่ายเราเองซะมากกว่า….ยังไม่ตรง ยังไม่คลี่ปม ไม่แตะปมของความเข้าใจ

    บันทึกที่เขียนเล่าไว้นั้นถ้าอ่านแล้วไม่ทะลุปรุโปร่งก็ให้บอก จะได้ปรับใหม่ค่ะ

    สำหรับคำถามข้างบนจะยกไปขึ้นบันทึกใหม่นะคะ  ดีใจมากๆที่ส่งคำถามมาค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.59919309616089 sec
Sidebar: 0.34004187583923 sec