คดีหกลังแม่โขง
ในชีวิตการเป็นอัยการของผม มีเรื่องราวที่สนุกกับการทำงานเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีการสู้คดีกันตั้งแต่ศาลชั้นต้นถึงศาลฎีกา เรียกได้ว่าจำเลยสู้ยิบตาและสู้ทุกเม็ด สิ่งที่ประทับใจคดีนี้ก็คือเป็นผมอาสาเข้าทำคดีนี้เอง ในขณะที่เพื่อนๆมักจะหนีเมื่อเห็นเอกสารจำนวนมาก เป็นคดีที่ผมอ่านเอกสารเองเพียงคนเดียว ๖ ลังแม่โขง เป็นคดีนี้ที่ว่ากันด้วยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงและมีความเห็นแตกต่างกันหลายระดับ แต่ในที่สุดอัยการสูงสุดเห็นเหมือนกับผม
ผมเริ่มต้นคดีจากเย็นวันหนึ่งที่กลับมาจากการไปว่าความที่ศาล อัยการจังหวัดเรียกผมเข้าไปพบในห้องยิ้มๆแล้วบอกผมว่า คุณเห็นเอกสารนี้ไหม สำนวนนี้มาแปลก มีคนมาบอกผมว่า “ขออย่าจ่ายสำนวนให้คุณ คุณอยากทำไหม” ผมเห็นเอกสาร ๖ ลังแม่โขงแล้วก็ร้องอู้ฮูในใจแต่สะกิดใจที่มีคนมาวิ่งคดีขออย่าจ่ายสำนวนให้ผม ผมก็เลยบอกว่า “อยากทำครับ” ของอย่างนี้ชอบ…..อิอิ
ผมเอาเอกสารมานั่งอ่านทีละปึกๆ อ่านจนหมด ได้ความว่าเป็นเรื่องของตระกูลที่มีความขัดแย้งกันระหว่างลุงกับหลาน(ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหา)ในเรื่องราวของบริษัทของตระกูล ที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจและหลานอาสาเข้ามาดำเนินการเพื่อปิดบริษัท ในเบื้องต้นหลานกับลุงคนหนึ่งเข้าขากัน ทำให้ลุงอีกคนหนึ่งไม่พอใจ (หลานคนนี้เป็นลูกของน้องสาว ซึ่งมีกันสามคนพี่น้อง)ในระหว่างนั้นหลานก็เข้าไปจัดการในที่ทำเหมืองของตระกูลเนื้อที่หลายร้อยไร่ นำที่ดินไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วนำออกขายเพื่อนำมาเงินมาแบ่งกันและได้ทำสัญญากับผู้ซื้อแล้ว
ปรากฏว่าพอตกลงขาย ผมจำไม่ได้ว่ากี่ร้อยล้านแต่น่าจะเป็นสามร้อยล้าน แล้วจู่ๆหลานก็ไปทำสัญญากับผู้ซื้อว่าเขาผิดสัญญาเอง ยอมยกเลิกสัญญา แล้วเอาที่ดินไปขายใหม่เหลือเพียงร้อยกว่าล้าน อ้าว….แถมการนำที่ดินไปออกหลักฐานมีการอ้างว่ายายยกที่ดินบางส่วนให้แม่ แล้วแม่ก็ยกให้หลาน โดยมีหลักฐานว่ายายมอบฉันทะให้หลานไปดำเนินการขอออกหลักฐานและดำเนินการโอนสิทธินิติกรรมเองได้ ผมตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ายายบอกว่าไม่เคยยกที่ดินให้ลูกและหลาน ทั้งเรื่องที่ดินก็ไม่ได้ยกให้ลูกสาว(แม่ของผู้ต้องหา)เพราะในเรื่องราวของคนจีน จะยกทรัพย์สมบัติของตระกูลให้ลูกชาย ส่วนลูกสาวเขาจะยกเงินทองของประดับให้ตั้งแต่ตอนแต่งงานแล้ว และเมื่อแต่งงานแล้วก็กลายเป็นคนของตระกูลอื่นไปจึงไม่ให้ทรัพย์สินใดอีก เอาละสิ…..
เดิมลุงคนหนึ่งไปฟ้องหลานกับน้องชายในความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ในศาล แต่ในระหว่างนั้นพี่น้องเขาคุยกันรู้เรื่อง ในที่สุดก็ไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับหลานในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ที่พบว่ายังมีการกระทำความผิดเพิ่มเติมจากคดีเก่า แล้วมาถอนฟ้องคดีที่ฟ้องกันเองโดยอ้างว่าจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ในขณะที่อัยการยังไม่ได้สั่งฟ้อง การกล้าถอนฟ้องอย่างนั้นเหมือนกับชัวร์ป๊าดว่าอัยการต้องฟ้องแน่ เห็นไหมล่ะว่าคดีนี้มันสนุก…อิอิ ผมมานึกได้ตอนที่สู้คดีกันใกล้จบแล้วว่า อ๋อ..ทำไมเขาจึงไปวิ่งคดีว่าอย่าจ่ายสำนวนให้ผม เพราะภรรยาของลุงคนหนึ่งเคยเป็นอาจารย์ในโรงเรียนที่ผมเคยเรียนสมัยมัธยม เพราะถ้าคดีนี้อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีก็จบแบบสบายๆ เอามาฟ้องใหม่ก็ไม่ได้เพราะเคยฟ้องมาแล้ว ถ้าสำนวนนี้อยู่ในมือผม อาจารย์มาขอผมก็ต้องมีความเห็นควรสั่งฟ้องอยู่แล้วทำนองนั้น(ทำไมคิดไม่ออกตั้งแต่แรกก็ไม่รู้ อิอิ)…หาว่าผมอคติว่างั้นเหอะ…แต่ในความเป็นจริงอาจารย์ท่านนั้นก็ไม่เคยสอนผม ไม่เคยมาเซ้าซี้ผม ท่านบอกเพียงว่าช่วยดูเรื่องนี้ให้เป็นธรรมหน่อยแค่นั้น และตั้งแต่เริ่มคดีจนจบคดีผมก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นจากอาจารย์หรือครอบครัวอาจารย์เลยแม้แต่น้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ต้องหาเขาอคติกับผม เพราะผมทำคดีตรงไปตรงมาทุกคดี แต่…ผมมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาคดีไหน ผมก็ต้องเชื่อมั่นในพยานหลักฐานว่าสามารถลงโทษผู้ต้องหาได้ หากลงโทษผู้ต้องหาไม่ได้ผมจะเสนอความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง เพราะฉะนั้นคดีของผมจึงไม่ค่อยแพ้…
ผมอ่านสำนวนจนเข้าใจรูปเรื่องทั้งหมดแล้ว เขียนความเห็นยาวหลายหน้าวิเคราะห์ข้อหาต่างๆอย่างละเอียด วิเคราะห์ข้อกฎหมายในความผิดฐานยักยอกว่าคดียังไม่ขาดอายุความ ความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ของผู้ชำระบัญชี สรุปก็คือผมมีความเห็นควรสั่งฟ้องทุกข้อหา แถมด้วยให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จและใช้เอกสารราชการเท็จดังกล่าวเพิ่มเข้าไปอีก ผู้ต้องหารู้ไต๋…เขาก็เลยยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังอธิบดีอัยการเขตเพื่อเบรกเกมผม เพราะระเบียบงานคดีสมัยนั้นพอร้องขอความเป็นธรรมปุ๊บก็ต้องส่งสำนวนไปให้อธิบดีตรวจ ไม่เหมือนสมัยนี้แม้ร้องขอความเป็นธรรมแต่หากมีคำสั่งฟ้องแล้วก็จบ แต่ถ้ามีการร้องขอความเป็นธรรมและจะมีคำสั่งไม่ฟ้องบางข้อหาหรือทุกข้อหาต้องส่งสำนวนไปให้อธิบดีฯเป็นผู้สั่ง
ปรากฏว่าได้ผลครับพี่น้อง อธิบดีมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาเพราะคดีขาดอายุความหมดแล้ว ข้อหาที่ผมเสนอให้มีการแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาเพิ่มเติมก็สั่งให้ยุติเพราะผู้เสียหายเขาไม่ได้มีความประสงค์จะดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น ไม่ต้องไปยุ่งว่างั้นเหอะ (ทั้งๆที่ระเบียบงานคดีเขาบอกว่าให้อัยการพิจารณาสำนวนด้วยความรอบคอบให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทุกความผิดที่ตรวจพบ อิอิ) แล้วส่งสำนวนกลับมาให้อัยการจังหวัดมีคำสั่งใหม่
อัยการจังหวัดก็ต้องมีคำสั่งตามที่อธิบดีเขตสั่งเอาไว้ แต่เรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ เพราะเมื่อมีคำสั่งไม่ฟ้องก็ต้องเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อให้ความเห็นชอบ ผู้ว่าฯเกิดเห็นชอบกับความเห็นผม เว้นแต่ความผิดเกี่ยวกับการแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการและใช้เอกสารดังกล่าว เพราะอธิบดีสั่งยุติการดำเนินคดีผู้เว่าจึงไม่มีอำนาจแย้ง เรื่องกำลังมันแต่ปวดหลังครับพี่น้อง รอตอนต่อไปก็แล้วกันนะ จุ๊บๆ
« « Prev : โอวาทข้อสี่ของท่านเหลี่ยวฝาน
9 ความคิดเห็น
ป้าจุ๋มคิดว่าบ้านเมืองที่มีความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งคือการไม่ได้รับความยุติธรรมหรือเป็นธรรมในสังคมค่ะ แต่ก็มีบางคนที่มีแต่อยากได้อยากรวยอย่างเดียว พอมีอำนาจก็ไม่นึกถึงอะไรทั้งนั้น มีการโกงอย่างถูกต้องตามกฏหมายก็มี…มากมายค่ะ
อีกจุดหนึ่งที่พบคือว่าบางครั้งศาลก็ไม่ค่อยจะเป็นศาลก็มีบ้าง ต้องยอมรับว่าในจุดนี้ก็มี อาจด้วยอำนาจอะไรไม่รู้ทำให้เบี่ยงเบนไปค่ะ ก็เลยเกิดเรื่องวุ่นวายกันอยู่อย่างที่เห็นค่ะ
แต่ป้าจุ๋มเชื่อเสมอมาว่าประเทศไทยไม่สิ้นคนดีค่ะ ที่บ้านเมืองเรารอดปลอดภัยมาได้เพราะมีคนดีเหล่านี้ค่ะ ท่านอัยการเป็นหนึ่งในคนจริงคนดีเหล่านั้นค่ะ ขอให้ท่านรักษาความดีและดำรงความยุติธรรมให้ได้ตลอดไปค่ะ ป้าจุ๋มขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ค่ะ
ทุกวันที่ได้สวดมนต์ไหว้พระก็ไม่ลืมที่จะกราบอาราธนาขอบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่คุ้มครองประเทศไทยและในสากลโลกได้โปรดคุ้มครองคนดีทุกๆคนด้วยค่ะ
ขอให้ท่านอัยการและครอบครัวมีแต่ความสุขความเจริญในชีวิตค่ะ
สวัสดีค่ะ
อ่านสนุกเหมือนคดีของเชอร์ล็อกโฮมเลย
ขอบคุณสำหรับความรู้พื้นฐานทางกฎหมายด้วยค่ะ
จำได้ว่า รุ่นพี่คนหนึ่ง (จบนิติ ฯ มธ.) บอกพวกเราว่า “อย่าอ้างกฎหมายกันนักเลย กฎหมายน่ะมันเป็นเกณฑ์ต่ำที่สุดของกฎการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์ เราจะอ้างกฎหมายก็ต่อเมื่อคุณธรรมสามัญสำนึกของคนมันใช้ไม่ได้เท่านั้นหรอก”
รออ่านต่อค่ะ
ขอบคุณป้าจุ๋มมากครับ การทำงานในกระบวนการยุติธรรม ถ้าคนในกระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งของความยุติธรรมไม่ได้ สังคมเราก็ล้มเหลวจะเรียกว่าระบบนิติรัฐก็คงจะยาก คนที่เรียนกฎหมายในยุคปัจจุบันควรจะต้องเรียนคุณธรรมจริยธรรมของนักกฎหมายการสอบเข้ารับราชการของคนที่จะเป็นนิติกร พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ผู้พิพากษา ต้องมีข้อสอบที่สอบคุณธรรมจริยธรรม แถมด้วยข้อสอบจิตวิทยาเพื่อจะดูว่าเขาปกติหรือเปล่า เป็นคนชอบใช้อำนาจบังคับคนอื่นหรือไม่
ป้าจุ๋มครับ ผมไม่ใช่คนดีที่เรียกว่าเป็นผ้าขาวได้หรอกครับ เพราะผมเป็นปุถุชน เพียงแต่ผมไม่คิดเพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นเองแหละครับ
ป.ล.ขมิ้นชันดีจังครับ ตอนนี้ผมแทบไม่มีอาการเลยครับ ขอบคุณป้าจุ๋มมากๆครับ
สวัสดีครับคุณ freemind
สามตอนน่าจะจบครับ แฮ่ะๆ
เห็นด้วยที่ไม่ต้องมาอ้างกฎหมาย เพราะกฎหมายก็คือศีลธรรมที่มันพัฒนาแล้ว ลองหันกลับไปดูศีล ๕ แต่ละข้อดูสิ มันเกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาทั้งสิ้น
ละเอียดแบบนี้ สมกับเป็นท่านอัยการแล้วครับ ถ้าเป็นผมคงเขียนแค่ “คดีหกลัง” โดยไม่มีคำว่า “แม่โขง” เพราะผมอาจจะไม่สังเกตว่าเป็นลังแม่โขง ฮาๆๆๆๆ
ฮ่าๆท่านรอกอด มันเป็นคดีที่ประทับใจจึงจำได้ว่าเขาใส่ลังแม่โขงมา ๖ ลังจริงๆ เอิ้กๆ
โห จบแบบหนังขาดสมัยก่อนเลยอ่ะ…รอร้อรอค่า (ว่าแต่พิมพ์ด้วยมือ แต่ไหงปวดหลังล่ะคะพี่ฑูร ฮี่ฮี่ฮี่)
ฮ่าๆน้องเบิร์ด
ต้องให้คนสนใจติดตามน่ะ..อิอิ ไม่ให้รอนานเตรียมอ่านตอนต่อไปได้เลย เมื่อวานเขียนเสร็จไปสองตอน แต่จะให้อ่านตอนละวัน อิอิ รู้สึกเรตติ้งดี
แบบนี้น่ามาทำเรื่องการศึกษาต๊อกต๋อย อิอิ