ครึ่งที่เหลือ….(1)
อ่าน: 7458รับปากกับน้องอึ่งไว้ว่าจะเขียนขยายความเรื่องที่พี่เปี๊ยกไปพูดที่สวนป่าเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา พี่เปี๊ยกพูดหลายเรื่องสั้นๆ ขอหยิบเอาเรื่อง 50/50 ก็แล้วกัน
ความหมายของ 50/50 นี้ไม่ใช่ “วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง” นะครับ แต่เป็นแนวคิดการจัดการศึกษาของประเทศสังคมนิยมเวียตนามที่ตัดสินใจจัดกระบวนการเรียนการสอนในห้องเรียนเพียง ครึ่งวัน อีกครึ่งวันให้ใช้ชีวิตแบบครอบครัว…
ผมได้ไปแลกเปลี่ยนกับพี่เปี๊ยกต่อเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่ารายละเอียดเรื่องนี้คืออะไร ก็ได้ความกระจ่างมากขึ้นว่า คำว่า “อีกครึ่งวันให้ใช้ชีวิตแบบครอบครัว” นั้นมิได้หมายความว่า ให้เด็กกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ เสมือนว่าโรงเรียนเรียนแค่ครึ่งวันเท่านั้น แล้วเด็กก็กลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ปกติ
มิใช่ครับ มิได้ครับ ความหมายที่แท้จริงคือ ให้จัดกระบวนการเรียนการสอนใหม่ที่อยู่นอกห้องเรียน ซึ่งหมายรวมไปถึงอาจให้เด็กกลับบ้านไปช่วยพ่อแม่ทำงานตามปกติที่พ่อแม่มีงานอยู่ก็ได้ โดยครูกับครอบครัวต้องคุยกัน ปรึกษาหารือกันว่างานที่จะให้เด็กทำนั้นแม้เป็นงานบ้าน งานอาชีพของครอบครัว เช่น ค้าขาย ก็ขอให้มีกระบวนการเรียนการสอนแบบธรรมชาติแฝงไว้ด้วย ส่วนแฝงอย่างไรนั้นคุณครูทั้งหลายคงเดาเรื่องนี้ออกนะครับ..
ผมจึงขอใช้คำว่า ครึ่งที่เหลือ…
ก่อนอื่นนั้นพี่เปี๊ยกตั้งคำถามว่า เรามีเป้าหมายในการศึกษาว่าอย่างไร ต้องตอบคำถามนี้ก่อน สมมติว่าเรามีเป้าหมายเพื่อ ให้เด็กเป็นคนดีของสังคม มีความรู้ความสามารถต่างๆเพียงพอในการออกไปประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ และมีความรู้ มีวิจารณญาณที่ดีที่เท่าทันการพัฒนาของโลก ดังนั้นรายละเอียดต่อไปก็คือทำอย่างไรจึงจะร่วมกันสร้างให้เด็กเดินเข้าสู่เป้าหมายนั้นๆ
สำหรับครึ่งแรกที่อยู่ในห้องเรียนนั้น เรียนอะไรบ้าง เรื่องนี้คุณครู หรือนักจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรย่อมทราบดี แต่มีมุมมองที่น่าสนใจที่ผมเรียนรู้มาจากฝรั่งต่างชาติที่เคยทำงานด้วย และเมื่อมาพิจารณาผมก็เห็นด้วยกับเขา กล่าวคือ หลักสูตรกระบวนการเรียนการสอนในห้องเรียนนั้นควรพิจารณา 3 ฐานความรู้สำหรับอนาคต
ประกอบด้วย พื้นฐานความรู้ในการนำไปเรียนต่อเป็นวิชาชีพ ตัวเลือกต่อไปคือภาษาอังกฤษ เพราะปัจจุบันและอนาคตนั้นเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับการประกอบอาชีพและการเรียนรู้ระดับสากลไปแล้ว ฐานความรู้สุดท้ายคือระบบการสื่อสารขั้นพื้นฐานคือคอมพิวเตอร์ หากเป็นเมื่อยี่สิบปีที่แล้วก็เป็นเครื่องพิมพ์ดีด แต่ปัจจุบันใครที่ไม่เป็นคอมพิวเตอร์ก็ตกรุ่นไปแล้ว.. แต่ทั้งนี้ให้พิจารณาตามความเหมาะสมกับเงื่อนไขต่างๆประกอบด้วย
ในห้องเรียนมิได้หมายถึงสิ่งกล่าวมาทั้งหมดเท่านั้น วิชาความรู้ต่างๆต้องสอดคล้องต่อความต้องการของเด็ก ครอบครัว ท้องถิ่น ทัศนคติ และพัฒนาการของสังคมที่เคลื่อนตัวไปด้วย
ส่วนครึ่งที่เหลือที่เรียกว่า “นอกห้องเรียน” นั้นแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวโดยตรงและส่วนที่เรียกว่า กิจกรรมโรงเรียนนอกห้องเรียน ส่วนนี้ให้พิจารณาตามเงื่อนไขที่เหมาะสมของพื้นที่ ท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งวัตถุประสงค์ใหญ่คือ การนำเด็กไปเรียนรู้เรื่องต่างๆนอกห้องเรียนที่สอดคล้องกับหลักสูตรและวิถีชีวิตท้องถิ่นนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เด็กได้ซึมซับ “ทุนทางสังคม” ของท้องถิ่น ภูมิภาค และของประเทศไทยเรา ซึ่งสาระหลักจะเป็นเรื่องคุณธรรม การอยู่ร่วมกันบนความหลากหลาย แตกต่าง วัฒนธรรม ประเพณี ทั้งการเข้าร่วมและความหมายด้านลึก การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความดี ความชั่ว กิริยามารยาท หลักศาสนา หลักแห่งการอยู่ร่วมกัน การรู้ตัวทั่วพร้อมไม่ไหลตามกระแสหลัก ฯลฯ
มีตัวแบบมากมายในการเรียนการสอนอิงครอบครัว เช่นการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆในวิถีชีวิตของครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น เผ่าพันธุ์ ฯลฯ โดยพ่อแม่เองเป็นครู หรือผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชนเอง หรือผู้รู้ต่างๆในชุมชน การเข้าร่วมงานบุญ ประเพณีของท้องถิ่นแบบเรียนรู้ มิใช่เพื่อสนุกเพียงอย่างเดียว… (ต่อตอนสอง)