หลักศาสนาที่กลับตาละปัตร

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 April 2012 เวลา 4:10 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2390

หลักศาสนาคริสต์มีหลักการสำคัญว่า มนุษย์ต้องพึ่งพระเจ้า จะทำอะไรก็ต้องสวดอ้อนวอนพระเจ้า ให้พระเจ้าช่วย และคุ้มครอง  แม้กระทั่งจะขึ้นสวรรค์ก็ต้องพึ่งพระเจ้า ให้พระเจ้าตัดสินว่าจะสอบได้หรือสอบตก

 

แต่แปลกที่คนฝรั่งที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นหลักนั้น ส่วนใหญ่มีนิสัย “อิงตน” หรือ “พึ่งตนเอง” ที่เรานิยมเรียกกันว่า ลัทธิปัจเจกนิยม (individualism) …ที่ซึ่งผมได้เสนอให้เป็นทฤษฎีใหม่ว่าลัทธินี้  เป็นปฐมเหตุแห่งระบอบประชาธิปไตย และ เสรีภาพ นั่นเอง  โดยผมปั้นวลีเสริมไว้ว่า “Democracy was created and has been maintained by Individualism.”

 

สำหรับไทยเรา..ตรงข้ามเลย เพราะศาสนาพุทธของเราสอนให้ “พึ่งตนเอง”  ดังพุทธภาษิตสำคัญที่ว่า อัตตาหิ อัตโน นาโถ นั่นแล   การจะหลุดพ้น (หรือเพียงแค่ขึ้น”สวรรค์”) ก็ต้องทำกรรมเอาเอง จะไปสวดอ้อนวอนใครไม่ได้

 

แต่แปลกที่คนไทยที่นับถือพุทธกันมานาน ส่วนใหญ่นั้นมักมีนิสัย  “อิงนาย”  หรือ “พึ่งนาย” ไม่ “พึ่งตนเอง” เหมือนฝรั่ง หลายคนก็ไปพึ่งพระพรหม พิฆเนศ ผีสาง นางไม้ กระทั่งต้นกล้วยออกปลีประหลาด  (ดังนั้น ผมจึงได้ตั้งทฤษฎีว่า คนไทยเราไม่เหมาะใช้ระบบปชต. แบบฝรั่ง เพราะเราไม่มีนิสัยปัจเจกแบบเขา)

 

มันแปลกมากๆ ว่า ทำไม ถึงเป็นอย่างนี้ ที่ทั้งไทยและทศ ต่างก็มีนิสัย “ตรงข้าม” กับที่ศาสนาแห่งตนสอนสั่ง  หรือว่ามันมีปัจจัยแย้งอื่นที่สำคัญกว่า รุนแรงกว่า

 

การอิงนายนั้น ถ้านายเก่ง นายดี  ก็เยี่ยม แต่ถ้านายโง่ และเลว ก็แย่  แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือเก่งและเลว   เหมือนดังที่ประเทศไทยเราโดนลักษณะสุดท้ายนี้เล่นงานกันมาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้   จนงอมพระรามกันมาจนวันนี้

 

…คนถางทาง (๑๒ เมษายน ๒๕๕๕)

 

 


ปฏิรูปแนวทางการสอนของครูไทยให้สอดคล้องกับพฤติกรรมสังคม

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 5 April 2012 เวลา 7:35 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2505

เด็กวัยรุ่นไทยในพศ. นี้เปลี่ยนไปมากอย่างรวดเร็วน่าตกใจ  เช่น เด็กวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร มีการเสพยาแพร่ระบาด พฤติกรรมไม่ชอบเรียนหนังสือ (อ่านแต่การ์ตูนญี่ปุ่น)  มั่วสุม ติดเกมส์  ความรุนแรง

 

ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าสาเหตุสำคัญของปัญหาดังกล่าวนี้มีรากมาจากครอบครัวที่ต้องปากกัดตีนถีบทำงานหาเงินกันเต็มเวลาทั้งพ่อและแม่ จนไม่มีเวลาดูแลอบรมลูกเหมือนสมัยก่อน  ทั้งที่มีลูกน้อยกว่าสมัยก่อน (เช่นสมัยก่อนนิยมมีลูก 5-6 คน เดี๋ยวนี้นิยมมี 1-2 คน)

 

สาเหตุซ้ำเติมคือ เมื่อพ่อแม่มีลูกน้อยคน แต่มีรายได้มากขึ้นกว่าสมัยก่อน  ก็ให้เงินลูกมากขึ้น ลูกก็ยิ่งเลย “เสียคน” ได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะสามารถเอาเงินนี้ไปซื้อความสนุกได้ง่ายๆในหลากหลายรูปแบบ จนพฤติกรรมการเรียนผิดเพี้ยนไปหมด

 

ซึ่งน่าเป็นห่วงอนาคตของชาติเป็นอย่างยิ่ง

 

ข้าพเจ้าได้สังเกตดูพวกลูกเจ้าของกิจการร้านค้าขนาดเล็กเช่น ร้านอาหาร ร้านโชว์ห่วย ร้านค้าขายทั่วไป มักมีพฤติกรรมดีกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า พ่อแม่ทำงานอยู่กับบ้านจึงได้มีโอกาสดูแลลูกพร้อมกับทำการค้าขาย อีกทั้งเด็กพวกนี้ช่วยงานกิจการร้านค้ามาแต่เด็ก ก็เลยมีจุดยึดโยงพฤติกรรมไม่ให้เตลิดเปิดเปิงเหมือนพวกลูกๆ นักมนุษย์เงินเดือน

 

เมื่อเป็นดังนี้แล้วข้าพเจ้าจึงเห็นว่า แนวทางการสอนของครูก็ต้องปรับใหญ่ตามพฤติกรรมสังคมด้วย คงต้องปรับระดับปฏิรูปเชียวแหละ เพราะครูจะทำหน้าที่เป็นพ่อแม่คนที่สองแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว ต้องทำหน้าที่เป็นพ่อแม่คนที่หนึ่งไปเลย

 

คือต้องอุทิศเวลากับเด็กให้มากขึ้น ให้ทั้งวิชาความรู้และสอดส่องดูแลพฤติกรรม อบรมบ่มนิสัยให้มากกว่าในสมัยก่อน (ที่พ่อแม่มีลูกหลายคน) เสียอีก

 

การจะทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เพราะขณะนี้เรามีครูสอนน้อย นักเรียนมาก   (ปัญหาซ้อนปัญหาคือเรามีครูบริหาร ที่ไม่สอนเสียก็มากด้วย)  ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำคือเพิ่มจำนวนครูสอน (ด้วยการลดครูบริหาร?) ให้มีสัดส่วนต่อหัวนักเรียนสัก 10 ต่อหนึ่ง ในระดับป 5  6 และ ม 1 2 ซึ่งเป็นช่วงปีที่เด็กจะเสียกันมาก ส่วนปีอื่นๆ อาจมีจำนวนต่อหัวสูงขึ้นได้ เช่น  25 ต่อหนึ่ง ที่ม. 5-6

 

มาตรการที่สองคือ ครูจะต้องทำงานครูเต็มเวลา ไม่ไปทำงานอื่น (แม้จะเป็นงานนอกเวลาก็ตาม) ซึ่งก็น่าเห็นใจครูที่ก็เป็นพ่อแม่กะเขาด้วย ก็ต้องขวนขวายหาเงินมาให้พอให้ลูกเผาผลาญเหมือนพ่อแม่คนอื่น ลำพังเงินเดือนก็ไม่พอกิน  ดังนั้นวิธีนี้รัฐต้องเพิ่มเงินเดือนให้ครูให้พอกินอีกด้วย

 

วิธีหาเงินมาให้ครูใช้นั้น ผมเคยเสนอไว้แล้วว่าแนวทางหนึ่งคือ ให้ลดกำลังข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจลงมา 2 ในสาม แล้วเพิ่มเงินเดือนให้ 1.5 เท่า ส่วนเงินที่เหลือเอามาโปะให้ครู  (ลดอัตราได้สบายๆ ด้วยการเพิ่มปสภ.การทำงาน)

 

ผู้ชายไทยที่เป็นครูให้พ้นการเกณฑ์ทหารโดยอัตโนมัติ เพราะถือว่าทำหน้าที่รับใช้ชาติแล้ว

 

แนวทางหาเงินเพื่อมา “ปฏิรูปครู” อีกแนวทางคือในรร.รัฐที่ดังๆ นั้นจะมีการแย่งกันเข้าเรียน ก็ให้จัดสรรโควตาส่วนหนึ่งสำหรับลูกคนรวยที่สอบเข้าไม่ได้    แล้วเก็บแป๊ะเจี้ย …ใช่ แป๊ะเจี๊ย

 

ปจ. นี้ให้เอามาลงขันกันทั้งประเทศ แล้วเอามาเฉลี่ยเป็นเงินเพิ่มให้ครูอีกต่อ

 

ใครจะด่าระบบ ปจ. แต่ผมว่าถ้าจัดการดีๆ มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศชาติ หนึ่งคือได้เงินงบประมาณเพิ่มดังว่าแล้ว สองคือช่วยให้ลูกคนรวยมีอนาคตที่ดี (เพราะได้เรียนรร.ดี)

 

อย่าลืมว่าอนาคตของชาติมักถูกกุมโดยลูกคนรวยมากกว่าลูกคนจน  แล้วถ้าลูกคนรวยมันโง่และเลวล่ะ อนาคตชาติจะเหลือหรือ ดังนั้นการให้ลูกคนรวยได้มีโอกาสเรียน รร. ดีๆ ด้วยการเอาเงินมาซื้อเอานี้ เป็นผลดีต่อชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาว

 

ส่วนพวกรร.ดังๆ ไม่ต้องเล่นแง่หรอกครับ ว่าบริหารงานจน.รร.ดังเด่นจนคนแย่งกันเข้า  แต่ต้องเอาปจ. ไปลงขันรวม เพราะท่านสามารถ “รีด” เงินจากพ่อแม่ของเด็กรวยๆ เหล่านี้ได้อีกนาน จากการขอรับบริจาคในโอกาสต่างๆ

 

ความจริงรร.ดังต้องขอบคุณรร.ห่วยๆ เขาด้วยซ้ำ ที่มารองฐานทำให้พวกคุณกลายเป็นรร.ดัง ถ้าพวกเขาพัฒนาเป็น รร.ดีเท่ารร.ของคุณกันหมด แล้วใครเขาจะมาแย่งกันเข้า รร.ของคุณให้เสียปจ.ให้ง่าวเล่า

 

อีกทางหนึ่งคือ เงินปจ.ที่ลงขันนี้อาจตั้งเป็นกองทุนพัฒนารร.บ้านนอก ให้มีมาตรฐานเทียบเท่า รร. ในกรุง หรือ หัวเมือง

 

…คนถางทาง (๕ เมย ๒๕๕๕)


วิธีดำนาให้ได้ผลผลิตสูง

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 5 April 2012 เวลา 7:31 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3393

การดำนานั้นมักนิยมดำกันทีละสามต้น โดยเอาสามต้นนั้นมาขยุ้มรวมกันแล้วกดรากลงไปในดิน

 

ผมจึงมีคำถามว่า ถ้าเรานำต้นทั้งสามมาแยกออกจากกัน เช่น ปักที่ละต้น สามต้นก็เป็นสามเหลี่ยม โคนต้นห่างกันสัก  3 นิ้ว  แบบนี้จะได้ผลผลิตข้าวมากขึ้นไหม

 

ผมคะเนว่าน่าจะได้มากขึ้นนะครับ เพราะรากข้าวไม่แออัด ไม่แย่งอาหารกันเอง มีห้องให้”หายใจ” มากขึ้น ก็น่าจะโตไว แข็งแรง (ต้านทานโรค) และให้รวงหนักขึ้น

 

เรื่องเหนื่อยนะ คงเหนื่อยมากขึ้นกว่าดำวิธีเก่าแน่ๆ แต่เรื่องนี้อย่าเพิ่งเอามาเป็นประเด็นครับ วันหลังเราอาจคิดเครื่องดำนาแบบนี้ก็เป็นได้ แต่แม้จะเหนื่อยก็ไม่มากขึ้นเท่าไหร่หรอก โดยเฉพาะท่านที่มีพื้นที่น้อยๆ ปลูกกินเองก็สามารถปลูกในพื้นทีที่น้อยลงได้ ที่เหลือก็เอาไปปลูกผัก ผลไม้ ไว้กินเล่นก็ยังได้

…คนถางทาง (๕ เมย. ๒๕๕๕)

ปล. ห้ามตอบว่าดำนาแบบต้นเดี่ยว  แบบ s r i นะครับ


ควรยัดอะไรให้เด็กประถม

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 20 March 2012 เวลา 6:10 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2368

ผมเห็นเด็กป. ๖ เรียนคณิตศาสตร์วันนี้แล้ว ส่ายหัว…โอว มันเรียนยากขนาดนี้แล้วหรือ  ยังวิทยาศาสตร์ และวิชาอะไรตอมิอะไร   …ยัดกันเข้าไป จนเด็กย่อยไม่ทัน ก็มีแต่ความรู้โดยไม่มีปัญญา หลายคนก็เบื่อ จนกระทั่งทำให้เกิดการต่อต้านการเรียนรู้

 

ถ้าผมมีอำนาจผมจะลดสาระการเรียนรู้ลงให้มาก อาจเพียงครึ่งเดียวของปัจจุบัน เวลาที่เหลือให้เอามาพัฒนาความเป็นมนุษย์ของเด็ก และเป็นมนุษย์สังคมที่ดี

 

สิ่งที่ต้องพัฒนาคือ จริยธรรม คุณธรรม  วินัย ความรับผิดชอบ  ความกล้า และความคิดสร้างสรรค์

 

จริยธรรมคือข้อห้ามเพื่อให้เกิดความสงบในสังคม  เช่น ศีลห้า

ข้อ 1 ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น  (ตัวใหญ่รังแกตัวเล็ก แย่งของเขาเป็นต้น)

ข้อ 2 ไม่ลักทรัพย์ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

ข้อ 3 ไม่ประพฤติผิดใน “กามทั้งหลาย”  เช่น บริโภคอาหารเกินพอดี ก็ผิดศีลข้อนี้แล้ว กินขนมหวานก็ผิด  เล่นเกมส์ต่างๆ ก็ผิดในกามเหมือนกันนะ  รร. ส่วนใหญ่ฝึกให้เด็กหลงในกามแต่เล็ก เช่น มีอาหารเสริมแสนอร่อย มีเพลงเพราะๆให้ฟัง (กามด้านโสตประสาท)

ข้อ 4 ไม่กล่าวเท็จ หรือ นินทา ว่าร้ายผู้อื่น

ข้อ 5 ไม่เสียสติ เช่น เล่นเกมส์จนขาดสติ หัวเราะ ร้องไห้ แบบขาดสติ โกรธ ต่อยกัน

 

จริยธรรมเอาแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว …ส่วนคุณธรรมนั้นคือ ความดีงาม เช่น ความซื่อสัตย์ ความโอบอ้อมอารีย์  ความกตัญญู  สันโดษ ประหยัด เป็นต้น

 

วินัย ซึ่งมีวินัยสังคม กับวินัยการทำงาน ที่ต้องปลูกฝัง เช่น การเข้าคิว การทำงานส่งให้ตรงเวลา การเคารพกฎระเบียบ

 

ความรับผิดชอบ…ความจริงแล้วเป็นวินัยอย่างหนึ่ง อาจสอนแบบบูรณาการกับวินัยได้

 

ความกล้า..ในที่นี้หมายถึง กล้าคิดนอกกรอบ  กล้าแสดงออกในทางที่ถูก กล้าถามครู

 

ความคิดสร้างสรรค์…พัฒนายากมาก  อาจฝึกให้แก้ปัญหาแปลกๆ แบบกลุ่ม และเดี่ยว

 

ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลามากมหาศาล แต่ดูเหมือนว่า รร. ไทยเราให้เวลาและความสำคัญน้อยมาก ไปเน้นที่การยัดความรู้ เพราะกลัวล้าหลังสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี  แบบหัวหดกันหมด กลัวจะไม่รวยเหมือนเขา

 

คุณลักษณะดังที่กล่าวมานี้ต้องฝึกฝนกันตั้งแต่เยาว์วัย เพราะถ้ารอถึงมัธยมต้นจะสายแล้ว จะ “ยัด” ไม่ลง เนื่องเพราะมันเริ่มต้นเข้าสู่ช่วงงวัยเจริญพันธุ์แล้ว  สารเคมีในสมองเปลี่ยน ซึ่งช่วงนั้นจะเน้นไปที่การสอนความรู้ได้แล้ว

 

ส่วนความรู้ในระดับประถมนั้น เน้น ที่อ่านออกเขียนได้ คณิตศาสตร์สูงสุดน่าจะคือ เทียบบัญญัติไตรยางศ์เป็นก็พอแล้วกระมัง วิทยาศาสตร์เน้นไปที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวรวมทั้งสุขศึกษาพื้นฐาน สอนแบบบูรณาการยิ่งดี  (จะทำให้ประหยัดเวลา) (ถ้าไม่รู้ทำอย่างไรให้มาถามผมสิ..อิอิ คิดไว้หมดแล้ว)

 

ผมเห็นว่าถ้าเราไม่ “ปฏิรูปการศึกษา” เสียใหม่ ชาติไทยเราคงไปไม่รอดในระยะยาว เพราะจะได้แต่พลเมืองที่ไร้จริยธรรม คุณธรรม และ ฯลฯ

 

…คนถางทาง (๒๒.๓.๒๕๕๕)


เด็กเชิงเดี่ยว..และบ่มแก๊ส อีกต่างหาก

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 19 March 2012 เวลา 5:19 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2321

ผมได้เขียนบทความแสดงความเห็นต่อผลเสียของการใช้แทบเล็ตของเด็กป.หนึ่ง โดยละ ผลดี ไว้..ไม่ได้พูดถึง เพราะผลดีนั้นก็รู้กันอยู่แล้วว่าจะทำให้เด็ก “เรียนความรู้ได้เร็ว” ยิ่งขึ้น   แต่แม้นี้ก็เป็นความรู้แบบจับยัดอัดเข้าสมองแบบพิมพ์เดียวกันหมดทั้งประเทศ ซึ่งจะมีข้อเสียอโดยตรงตามมาทันทีคือ

 

ความรู้เป็นพิมพ์เดียวกันหมด (เปรียบเสมือนปลูกพืชเชิงเดี่ยวทั่วประเทศ …น่ากลัวอันตรายมาก) …เด็กเชิงเดี่ยว

 

ถ้าเปรียบเป็นมะม่วงก็เท่ากับมะม่วงบ่มแก๊ส สุกไว แต่ไม่อร่อย …เด็กบ่มแก๊ส

 

นอกจากผลเสียโดยตรงนี้แล้ว ก็ยังมีข้อเสียโดยอ้อมอื่นๆ ที่ผมได้นำเสนอมาแล้วในบทก่อน

 

ผลดีที่ “ดูเหมือนว่า” จะได้นั้นเป็นเพียงผลระยะสั้น ซึ่งเห็นได้ง่าย แต่ผลเสียระยะยาวนั้นมันเห็นได้ยาก กว่าจะเห็นได้ก็สายเสียแล้ว

 

ผมจึงได้เขียนเสนอไว้นานแล้วว่า ผู้ใหญ่คืออนาคตของชาติที่แท้จริง เพราะเด็ก (อนาคตชาติตัวปลอม)ในวันหน้าคือผลพวงแห่งนโยบายของผู้ใหญ่ทั้งสิ้น หากผู้ใหญ่มันโง่ มองไม่เห็นผลเสียระยะยาวในนโยบายของตน จะหวังให้เด็กในอนาคตเป็นคนเก่ง คนดี นั้นคงยาก

 

เด็กแว้นเต็มประเทศไทยวันนี้ ลองคิดสิครับว่ามันเกิดจากนโยบายอะไร ของรัฐบาลไหน ในอดีตที่ผ่านมา  …แล้วถ้าเราเล็งเห็นผลเสียระยะยาวเสียแต่เนิ่นๆ มันจะเป็นอย่างไร

 

บทก่อน ผมได้เสนอผลเสียประการหนึ่งคือ  ”การบ่มเพาะความชุ่ย”  วันนี้ผมมาคิดเชื่อมต่อว่า ความชุ่ยกับความไร้วินัย น่าจะมีการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน  ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงมาก

 

คนญี่ปุ่นไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์เมื่อเทียบกับฝรั่ง แต่ด้วยความมี”วินัย”มาชดเชย ทำให้เขาสร้างชาติสู้ฝรั่งได้ แต่ไทยเราความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่มี และ วินัยก็มองไม่เห็น แล้วไอ้แทบเล็ตนี้มันจะนำเราไปสู่นรกขุมไหนในอนาตต… ผมคงโชคดีที่จะไม่ได้มีชีวิตอยู่จนแก่พอที่จะได้มีโอกาสรู้เห็น

 

…คนถางทาง


สูดติดยาหม่อง ระวังม่องเท่ง

8 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 March 2012 เวลา 8:57 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4679

ผมสังเกตว่าคนไทยเราติดการสูดดมยาหม่องกันมาก โดยเฉพาะพวก สว.   ทั้งที่เป็นน้ำและเป็นหนืด  เดี๋ยวนี้พัฒนามาเป็นสมุนไพรรูปแบบต่างๆ ก็ยิ่งน่าตกใจ  เพราะมันทำให้ได้ใจมากกว่าเดิม

 

ของพวกนี้ไม่เคยมีข้อมูลว่าผลข้างเคียงระยะยาวเป็นอย่างไร

 

“ยา” (หม่อง) พวกนี้ต่างโฆษณาสรรพคุณกันมากหลาย  ว่าแก้ได้สารพัดโรค เรียกว่า  ตั้งแต่ถูกสากกะเบือตำ ยันเรือรบชน นั่นแล

 

แต่ผลร้ายข้างเคียงระยะยาว คงโขอยู่ เพราะโดยสามัญสำนึก ถ้าเราสูดอะไรเข้าไปรมปอดเป็นเวลานานๆ เช่น บุหรี่ ไม่น่ามีผลดี เพราะธรรมชาติเราก็เพียงต้องการอากาศบริสุทธิ์

 

เอ้า..หมอทั้งหลายว่างัย หรือว่าก็ “สูดติด” กันเป็นส่วนมาก

 

แต่ถ้าวิจัยกันให้ดี แล้วเห็นว่ามันดีจริงก็ขออนุโมทนา  แล้วส่งไปตีตลาดโลกให้กระเจิง เว้นแต่ว่าวันนี้นักวิจัยไทยเราหันไปวิจัยแต่เรื่องเกินสาระ (ไม่ใช่ว่าไร้สาระนะ แต่มันเกินสาระอ่ะ อิอิ)

 

…คนถางทาง (๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕)


ที่มาของชื่อจังหวัดชัยนาท

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 14 March 2012 เวลา 12:31 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1367

นิสัยผมประการหนึ่งคือเป็นคนชอบสงสัยชื่อสถานที่  ผมได้คะเนคำว่า  ละโว้  (ลโวทัยปุระ) และ เชียงราย (เชียงรายา)  ไว้แล้ว คราวนี้ถึงคิวชัยนาทบ้าง

 

ไปค้นดูพบการให้ความว่า ชัยนาท แปลว่า ชัยชนะที่ดังกึกก้อง  ..เข้าใจว่าเอาไปเจือสมกับคำว่า ชัยชนะ + กัมปนาท  …ว้า แบบนี้ผมว่ามันง่ายไปหน่อยและไม่ค่อยสมเหตุผลด้วย (หดคำหายมากไป)

 

อันว่าชัยนาทนั้นเป็นเมืองเก่าแก่โบราณมาก ดูเหมือนว่าหลักจารึกที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนไทยก็เจอที่ชัยนาทนี่แหละ

 

หรือว่าคำว่า  ชัยนาท อาจมาจาก “ศรีจนาศะ”  ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่มีปรากฏในจารึกแห่งอื่นๆ เช่น จารึกบ่ออีกา ที่อ้างถึงเมืองนี้ ว่าเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่  นอกกัมโพชนคร นักโบราณคดีตีความกันไปสองทาง บ้างว่า ศรีจนาศะ  คือ ศรีเทพ เพชรบูรณ์   แต่บ้างก็ว่าคือเมืองเสมา (ที่อ.สูงเนิน จ. นครราชสีมา)

 

ทำไมผมจึงว่า ศรีจนาศะ คือ ชัยนาท 

 

คืองี้ครับ…ถ้าตัดศรี ซึ่งเป็นคำยอยศออก ก็เหลือ จนาศะ  ซึ่งคนไทยเราชอบหดคำให้สั้น ก็กลายเป็น จนาศ  ออกเสียงว่า จะนาด   จากนั้นภายหลังเพี้ยนมาเป็น ชัยนาท   เพื่อทำให้มันดู “แขก”

 โดยเฉพาะสระอะ อา เนี่ย เราชอบตัดมาก รายา ก็เป็น ราย นคราเป็นนคร เป็นต้น

ถ้าผมเดาถูกก็จะแก้ปัญาหาทางโบราณคดีได้อีกเปราะ อาจแก้ปมประวัติศาสตร์ต่างๆได้อีกมากด้วย

 

 

 

…คนถางทาง (๑๔.๓.๒๕๕๕)


โจรใส่รองเท้าส้นสูงและพอกหน้า

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 March 2012 เวลา 3:23 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1456

 วันนี้เราได้ยินคำว่า “โจรใส่เสื้อนอก”  กันมาก  ซึ่งมันร้ายกาจมาก ทำลายล้างได้มากกว่าโจรผ้าขาวม้าแดงมากนัก

 

 นักวิจารณ์ชำนาญการบางท่าน ให้การว่า คำคำนี้  มันเป็นคำบัญญัติมาจากนักวิชาการท่านโน้นท่านนี้ แต่สำหรับผมเห็นว่า เราน่าลอกมาจากคำศัพท์ฝรั่งที่ว่า “thief in a three-piece suit” ซึ่งพวกฝรั่งเขาบัญญัติศัพท์เสียดสีนี้กันมาน่าจะเกินกว่าร้อยปีแล้ว (เช่นในนิยายนักสืบของ Sherlock Holmes)

 

อันว่า “โจร” นั้นไม่ว่าโจร ณ เวลา หรือสถานที่ไหน มันมักจะทำท่าให้ดูดี น่าเชื่อถือด้วยกันทั้งนั้น เพื่อหลอกเหยื่อโง่ให้ตายใจ

 

ในสมัยก่อนที่เทคโนโลยนียังต่ำ พวกมันก็ต้องเน้นไปที่การเห็นเชิงประจักษ์แบบง่ายๆ  เช่น เสื้อผ้า  เครื่องประดับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถหามาได้ไม่ยากนัก เช่น โดยการเช่า การใช้ของปลอม..ก็สามารถสร้างความเชื่อถือต่อเหยื่อได้มาก..ในราคาที่ย่อมเยา

 

ในประเทศหนาวแบบฝรั่งการแต่งตัวของโจส่วนใหญ่ (ผู้ชาย) ด้วยอาภรณ์สามชิ้น ถือกันว่าเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับว่า “ดี” กล่าวคือ มีกางเกง เสื้อนอก และเสื้อคลุมเสื้อใน (ที่เรียกกันว่าเสื้อ vest) …คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจนหรือรวยนั้นส่วนใหญ่ก็มี กางเกง เสื้อนอก ..สองชิ้นเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว  จากนั้นมีคนคิดค้นชิ้นที่สาม คือเสื้อคลุมเสื้อใน (vest) ออกมา ซึ่งถือกันว่าใครใส่เสื้อนี้แล้วจะเป็นคนชั้นสูง

 

…ทั้งนี้โดยไม่นับกางเกงใน เสื้อซับใน อีกทั้งเสื้อเชิร์ต เนคไท ผ้าเช็ดหน้า ร่ม  และหมวก ก็ไม่นับด้วย   

 

(ไม่น่าเชื่อว่า เสื้อคลุมทับเสื้อเชิร์ตโง่ๆ เพียงแค่นี้ก็สามารถเพิ่มสถานะให้”ผู้ดี”ฝรั่งได้ปานนั้น…ซึ่งผู้ดีไทยก็เอาอย่างมากันมากหลาย ทั้งที่เป็นเมืองร้อนจนตับแทบจะแตกอยู่แล้ว..แม้ใส่เพียงสองชิ้น)

 

การ “สร้างภาพโจร” ให้ดูดีนั้น นอกจากการแต่งตัวดี ใส่แบรนด์เนมราคาแพงแล้ว ก็ยังมีการฝึกฝนคำพูด เช่นการใช้คำศัพท์ให้หรูหรา ให้มีภาษาแขกมากๆ (ถ้าใช้ภาษาไทยแล้วถือว่าระดับกากๆ)  ดังนั้นจึงกดดันให้ต้องการพูดแขกคำฝรั่งคำ (เพื่อบอกว่า กรูชั้นสูงนะเฟ้ย..ทั้งที่คำศัพท์ ไวยกรณ์ผิดระนาว)

 

 เช่นใช้คำหรู (แขก) ว่า  โลกาภิวัฒน์  ก็กลัวคนจะไม่เข้าใจ ดังนั้นต้องวงเล็บไว้ด้วยว่า (globalization) หรือ (global village)  ใช้คำว่า “บูรณการ” ก็ต้องวงเล็บว่า (integrated) ….บางคนแม้แต่ศัพท์พื้นบ้านแขกๆทั่วไป มันยังอุตส่าห์วงเล็บภาษาอังกฤษ เช่น “การเพ่งพินิจ”  มันก็ต้องวงเล็บว่า  (scrutinization)

 

…ไอ้ฮอสระเอี้ยพวกนี้มันทำกันแบบนี้จนกลายเป็นคนดีเด่นในสังคมได้แบบง่ายๆ โล่งๆ เช่นนั้นเอง  (จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมชาติไทยเราจึงยังด้อย พฒน. กันมาจนบัดนี้)

 

การเด่นดังของคนพวกนี้นั้น   จากนั้นก็ต้องตามด้วยบริบท (สิ่งแวดล้อม) เช่น ต้องขับรถราคาแพง นาฬิกาเรือนทอง แหวน น้ำหอม เน็คไทย ตรายี่ห้อถุงเท้า รองเท้า ผ้าเช็ดหน้า ยาอม ปากกา     

 

เพราะถ้าใช้ของราคาถูกคนไทยจะหาว่าไอ้หมอนี่มันยากจน ..ก็ไม่น่าเชื่อถือไป ๘๐ ส่วนจาก ๑๐๐ ส่วนแล้ว มิใยจะใส่สูต พูดหรั่งอย่างไรก็คงฟังไม่ขึ้น

 

ส่วนบางคนไม่มีเงิน และการศึกษาก็ไม่มี อีกทั้งรถหรูก็ไม่มี พูดหรั่งก็ไม่เป็นกะเขา  ทำไงดีหว่า ก็เลยตะแบงให้เป็นตรงข้ามเพื่อเรียกร้องความสนใจให้กระฉูด  เช่น ใส่กางเกงเล เสื้อม่อฮ่อม อยู่กระต๊อบ (แต่เรื่องพูดไทยคำหรั่งคำยังดจร.กระทำอยู่ แม้สำเนียงเสียงที่เปล่งออกมามันจะเพี้ยนจนน่าขำก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่จับไม่ได้ก็รอดตัวไป..ตามระบบประชาธิปไตยเสียงข้างมากแบบไทยไทย )

 

น่าตระหนกและสลดว่า ..เมืองไทยเราวันนี้ไม่ได้มีแต่เพียง “โจรใส่สูต” ที่เป็นเพศชายเท่านั้น แต่เกิดปรากฎการณ์ใหม่คือ “โจรหญิงที่ใส่กระโปรงดีไซเนอร์”  และทาหน้าด้วย “เอ็กเพนซ์สิฟคอสแมติก” (สังเกตสระอินะจ๊ะไม่ไช่สระอี)    รองส้นเท้าด้วย “ไฮฮีลแอนด์ไฮไพรซ์”   (แน่ะ..เดาะคำประกิดกะเขาด้วยแหละ)…

 

..ถามว่า เราจะบัญญัติศัพท์แบบ “เฟมินิน” โดยไม่ให้ได้รับข้อครหาว่า “เหยียดเพศหญิง” (gender discrimation)  ได้อย่างไรดี 

 

พลีซเฮลพ์มีทหิงค์

 

..คนถางทาง (๕ มีค. ๒๕๕๕)


เพศศึกษา..ด้านจริยธรรมการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 28 February 2012 เวลา 9:54 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1313

 

เมื่อก่อนพศ. ๒๕๕๕ (สอง..ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ) ประเทศไทยเรามีนรม. เป็นชาย (รวมทั้งชายนะจ๊ะ) มาตลอด ..ผมได้สังเกตว่าการสื่อสารทั้งในและนอกสภาจะมีภาษาที่ลำเอียงมาทางเพศชายหลายคำ ที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคม (โดยเพศหญิงก็ยอมรับไปกะเขาด้วยโดยปริยาย)

 

เช่น คำว่า “โสเภณีการเมือง” ..ที่พวกสื่อ และพรรคฝ่ายค้านชอบยกอ้างกันมากจริงๆ จนเกร่อ (ขนาดผมไม่ฟัง อ่าน มานานแล้วด้วยความสะอิดสะเอียนยังรับทราบ) 

 

ขืนถ้าใครนำวลีนี้ไปวิจารณ์รัฐบาลไทยในวันนี้ (ทั้งในและนอกสภา) ที่มีนายกฯหญิง สภาคงล่มแน่ๆ เพราะจะมีฝ่ายค้านกลุ่มต่างๆ ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ (ประจบ) กันระนาว ทั้งที่เมื่อก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่เดือน ก็ใช้คำนี้กันเกลื่อนสถา ทั้งจากปากของสส. ชาย และหญิง และเพศอื่น โดยไม่มีคำทักท้วงจากใคร

 

นักประวัติศาสตร์การเมืองน่าไปค้นกันว่า คำคำนี้มันมาได้อย่างไร ( หรือว่า เราลอกเลียนคำนี้มาจากฝรั่ง ที่มีคำว่า political whore? ) 

 

คนไทยเราฟังคำนี้แล้วก็พอนึกภาพออกโดยไม่ต้องอ้างที่มา (ที่อาจมาจากฝรั่ง หรือว่าฝรั่งลอกเราไปก็ไม่รุ)   … คือเรานึกออกว่า เรามันมีกำลังน้อย แต่มีความโลภมาก ดังนั้น เพื่อ “ความอยู่รอด” เราต้องยอมเสีย “ความบริสุทธิ์”  แลกกับเงินทองที่เขาให้  นั่นเอง …ซึ่งกิริยาอาการนี้ มันเป็น “สากล” ไปแล้ว ที่ข้ามพ้นเส้นแบ่งแห่งภาษาไปแล้ว..ไม่ต่างอะไรกับ โล “ภา” ภิวัฒน์ ที่ไทยเรา “ถ่างขาอ้ารับ” ยังกะโสเภณีระดับสากล

 

ยังมีอีกหลายคำ ที่ “ลำเอียงทางเพศ” ที่ไม่อาจพูดได้

 

ในสภาฝรั่ง.. พวก สส. สว.  ก็นิยมสบถ (swear) กันว่า  ”oh..man”     ซึ่งลึกๆแล้วน่าจะถือได้ว่าเป็นการลำเอียงทางเพศประการหนึ่ง ดังนั้นทางที่ดีเพื่อป้องกันการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง และเพื่อความเสมอภาคทางเพศ กฎหมายรัฐธรรมนูยควรกำหนดไปเลยว่า การสบถทำนองนี้ควรสบถว่า… oh..lady and gentleman

 

ชักยาวแล้ว…โปรดอ่านต่อตอน ๒

 

___คนถางทาง (๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕)


โอยเสียว..ไม่อยากคิดต่อ (ควายเซ็นเตอร์๑)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 28 February 2012 เวลา 6:46 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1567

 

“การปฏิรูปการศึกษา” ที่เริ่มเมื่อต้นทศวรรษที่ 2540 นั้น ได้นำสู่รูปแบบการศึกษาแบบ  ”เด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลาง” ดังที่นิยมเรียกเป็นภาษาต่างด้าวกันโก้หรูว่า child-centered learning   

 

มันเป็นระบบที่ “นักการศึกษาไทย” เราไปลอกฝรั่งเขามา เหมือนกับที่นักวิชาการการเมืองไทยไปลอกปชต.ฝรั่งมายังไงยั้งงั้น

 

ที่ลอกเขานั้นลอกได้แต่ชื่อ  ส่วนการนำสู่การปฏิบัตินั้น ทำไม่ได้ เลยกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่ง (นอกเหนือจากปชต.) ที่กำลังกัดกร่อนชาติไทยอย่างรุนแรงที่สุด (หลักฐานดูได้จาก….http://www.gotoknow.org/blogs/posts/479293)

 

คนระดับล่างแบบเราๆที่พอจับสำเนียงภาษาต่างด้าวออกก็เหน็บแนมเอาแบบคมคายด้วยความคล้องจองทางภาษาว่าเป็นการศึกษาแบบ “ควายเซ็นเตอร์” หรือ เอา”ควายเป็นศูนย์กลาง”นั่นเอง

 

แต่ยังกำกวมอยู่ว่า “ควาย” ในที่นี้หมายถึงใครกันแน่..ระหว่างผู้วางนโยบาย ผู้สอน กับผู้รับการสอน

 

ก่อนหน้านี้ (ท่าน) ว่ากันว่า เราสอนกันแบบ “ครูเป็นศูนย์กลาง”  (teacher-centered learning)  ที่ครูยัดเยียดความรู้ให้นักเรียน ทำให้ไม่ตรงกับความต้องการของนักเรียน ทำให้ไม่พัฒนาความคิด โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์  

 

(ธ่อ…ขนาดไม่ให้พวกมันคิดสร้างสรรค์นะเนี่ย..มันยังคิดหาวิธีทำลายโลกได้มากหลายร้อยแปด จนจะวายวอดกันหมดโลกอยู่รอมร่อแล้ว  แล้วถ้าสอนให้มันสร้างสรรค์กว่านี้ โอย..ไม่อยากคิดต่อ)

 

ผมขอสะกิดนิดนึงว่า ทุกวันนี้เนื้อหาวิชาการได้มีปริมาณสั่งสมมานานนับพันปีและมีความลุ่มลึกมากขึ้นเป็นลำดับ  ขนาดเรียนกันในห้องแบบครูบอกความรู้ให้แบบเร็วๆ  (ครูเป็นศูนย์กลาง) ยังเรียนกันไม่หวาดไหว แล้วจะใช้วิธีให้ “เด็กโง่” มานั่งลองผิดลองถูกแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง แล้วมันจะมีเวลาทั้งชั่วชีวิตนี้เพียงพอต่อการเรียนรู้หรือ

 

โดยเฉพาะเรียนรู้ว่า โลกร้อนมากแล้วนะ ต้องรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด แต่ถ้ามัวรอให้เด็กโง่พวกนี่ไปเรียนรู้ด้วยตนเอง กว่าที่จะลงมือแก้ไข ผมว่า โลกมันจะพังเสียก่อน

 

..เอาไว้อ่านต่อตอน๒ นะครับ

 

…คนถางทาง (๒๘ กพ. ๒๕๕๕)



Main: 1.1782071590424 sec
Sidebar: 0.012586832046509 sec