โอยเสียว..ไม่อยากคิดต่อ (ควายเซ็นเตอร์๑)
“การปฏิรูปการศึกษา” ที่เริ่มเมื่อต้นทศวรรษที่ 2540 นั้น ได้นำสู่รูปแบบการศึกษาแบบ ”เด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลาง” ดังที่นิยมเรียกเป็นภาษาต่างด้าวกันโก้หรูว่า child-centered learning
มันเป็นระบบที่ “นักการศึกษาไทย” เราไปลอกฝรั่งเขามา เหมือนกับที่นักวิชาการการเมืองไทยไปลอกปชต.ฝรั่งมายังไงยั้งงั้น
ที่ลอกเขานั้นลอกได้แต่ชื่อ ส่วนการนำสู่การปฏิบัตินั้น ทำไม่ได้ เลยกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่ง (นอกเหนือจากปชต.) ที่กำลังกัดกร่อนชาติไทยอย่างรุนแรงที่สุด (หลักฐานดูได้จาก….http://www.gotoknow.org/blogs/posts/479293)
คนระดับล่างแบบเราๆที่พอจับสำเนียงภาษาต่างด้าวออกก็เหน็บแนมเอาแบบคมคายด้วยความคล้องจองทางภาษาว่าเป็นการศึกษาแบบ “ควายเซ็นเตอร์” หรือ เอา”ควายเป็นศูนย์กลาง”นั่นเอง
แต่ยังกำกวมอยู่ว่า “ควาย” ในที่นี้หมายถึงใครกันแน่..ระหว่างผู้วางนโยบาย ผู้สอน กับผู้รับการสอน
ก่อนหน้านี้ (ท่าน) ว่ากันว่า เราสอนกันแบบ “ครูเป็นศูนย์กลาง” (teacher-centered learning) ที่ครูยัดเยียดความรู้ให้นักเรียน ทำให้ไม่ตรงกับความต้องการของนักเรียน ทำให้ไม่พัฒนาความคิด โดยเฉพาะความคิดสร้างสรรค์
(ธ่อ…ขนาดไม่ให้พวกมันคิดสร้างสรรค์นะเนี่ย..มันยังคิดหาวิธีทำลายโลกได้มากหลายร้อยแปด จนจะวายวอดกันหมดโลกอยู่รอมร่อแล้ว แล้วถ้าสอนให้มันสร้างสรรค์กว่านี้ โอย..ไม่อยากคิดต่อ)
ผมขอสะกิดนิดนึงว่า ทุกวันนี้เนื้อหาวิชาการได้มีปริมาณสั่งสมมานานนับพันปีและมีความลุ่มลึกมากขึ้นเป็นลำดับ ขนาดเรียนกันในห้องแบบครูบอกความรู้ให้แบบเร็วๆ (ครูเป็นศูนย์กลาง) ยังเรียนกันไม่หวาดไหว แล้วจะใช้วิธีให้ “เด็กโง่” มานั่งลองผิดลองถูกแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง แล้วมันจะมีเวลาทั้งชั่วชีวิตนี้เพียงพอต่อการเรียนรู้หรือ
โดยเฉพาะเรียนรู้ว่า โลกร้อนมากแล้วนะ ต้องรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด แต่ถ้ามัวรอให้เด็กโง่พวกนี่ไปเรียนรู้ด้วยตนเอง กว่าที่จะลงมือแก้ไข ผมว่า โลกมันจะพังเสียก่อน
..เอาไว้อ่านต่อตอน๒ นะครับ
…คนถางทาง (๒๘ กพ. ๒๕๕๕)
« « Prev : กรณีฟอร์บจัดอันดับความร่ำรวยในหลวงของเรา
Next : เพศศึกษา..ด้านจริยธรรมการเมือง » »
2 ความคิดเห็น
ผมได้ยินและเห็นสัมนากันทั้งประเทศในเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2518 ปีที่ผมเข้าเรียนที่เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยก็เชิญนักวิชาการด้านต่างๆมาคุยให้ฟังต้องอย่างนั้นอย่างนี้ กระทรวงศึกษาก็จ้างฝรั่งต่างชาติมาเป็นผู้เชี่ยวชาญนั่งประจำในกระทรวง แล้วก็เขียนหนังสือเรื่องการปฏิรูปมาตั้งแต่สมัยนั้น สมัยนั้นทำให้ผมรู้จัก นักการศึกษาที่โลกยกย่องหลายคน หาหนังสือมาอ่าน เพราะดันออกข้อสอบด้วย
มีการวิภาคหลักสูตรมากมาย มีการยกตัวอย่างการเรียนการสอนในต่างประเทศที่เขาว่าก้าวหน้ากันมากมาย แต่กระทรวงก็ยังไม่กระดิก จนเอกชนทนไม่ไหว คนที่สนใจการศึกษาจึงไปตั้งโรงเรียนเอง เอาปรัชญาฝรั่งมังค่าเข้ามาดัดแปลงใช้ เช่น แนวคิด summer hill คุณพิภบ ธงชัย ญาติห่างๆผมก็เอาไปตั้งโรงเรียนเด็กที่กาญจนบุรี ต่อมาก็ โรงเรียนของท่าน ดร.อาจอง ชุมสาย ปัจจุบันก็มีโรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนไม้ไผ่ของมีชัยที่ลำปลายมาศ และที่ไม่ประชาสัมพันธ์ก็มี ที่เป็นอาศรมก็มี เพราะไม่เชื่อระบบกระบวนการเรียนการสอนแบบของกระทรวงอีกต่อไป
ผมเองก็เอาลูกสาวออกกลางคันที่โรงเรียนดังของขอนแก่น เพราะครูสั่งให้ลูกเอากิ่งมะม่วงตอนไปส่งเพื่อเอาคะแนนในเวลา 1 สัปดาห์ บ้าฉิบ…..ตอนกิ่งมะม่วงประเทศไหนมันออกรากใน 1 สัปดาห์ ผมไปอาละวาดที่โรงเรียนแล้วเอาลูกสาวออกเลย ส่งไปเรียนสองภาษาของหมอวันชัย เจ้าพ่อสันติศึกษา 1 เทอม แล้วเลยไปเรียน high school ที่ NZ
ผมอยากบอกว่า ผมสนใจโรงเรียน โรงเรียนที่แหวกระบบออกมานั่น ทฤษฏีการศึกษาเรามีมากมาย มีดร.จบด้านนี้จะชนกันตาย แต่เด็กไม่ไหวเลย
๕๕ ..พี่บางทรายแว้นได้เข้าที
“นักการศึกษา” ไทย ไม่ต่างอะไรกับ “นักการเมืองไทย” คือ คิดได้แต่ลอกฝรั่งมา “ทั้งดุ้น” โดยไม่มองบริบทประเทศไทยบ้างเลย
เรืองการเรียนการสอนนี้ผมยังมีอีกหลายตอนครับ ท่านใดสนใจ มาแว้นต่อท้ายกันได้ครับ