การเมืองภาคประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 5:00 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1097

สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินจนจะอาเจียรแล้วคือ ที่ว่า “ระบอบประชาธิปไตยที่ดีนั้นภาคประชาชนต้องเข้มแข็ง” (ส่วนใหญ่มาจากปากของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์)

ซึ่งหมายความว่า ประชาชนตาดำๆ ทำมาหากินหลังขดหลังแข็ง เพื่อหาภาษีมาบำรุงประเทศ เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยมีกะเขา ยังไม่พอ ยังต้องมาออกแรงเย้วๆ อยู่ริมถนนรนแคม หามรุ่งหามค่ำ ปวดขี้ ปวดเยี่ยว ปวดตด หลบแก๊สน้ำตา กระสุนยาง (และจริง) ของตำรวจปราบจลาจล  เพื่อทำงานภาคประชาชน เพื่อคานอำนาจกับรัฐบาลชั่วๆอีก อย่างนั้นหรือ

 

ทำไม…เราไม่ยอมเหนื่อย (และฉลาด) เสียครั้งเดียว เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ประกันได้ว่า จะได้คนเก่งคนดีมีคุณธรรม ขึ้นไปบริหารบ้านเมืองเสียแต่แรก จะได้ไม่ต้องมางี่เง่า เหนื่อยหน่าย เสี่ยงภัย ทำการเมืองภาคประชาชน ให้ยุ่งยาก

 

ที่ผ่านมาผมได้พยายามคิดค้น ประชาธิปไตยทางเลือก ที่ยังคงเป็นปชต. เต็มรูป และประกันได้ว่าจะได้คนเก่งที่สุด ดีทีสุด เข้าไปบริหารประเทศ ไม่มีธุรกิจการเมือง ไม่มีการซื้อเสียง ซึ่งผมได้นำเสนอแบบย่นย่อไว้ไว้บ้างแล้ว เพียงแต่ว่ามันคิดโดยคนไทยโนเนมแบบผม ไม่ได้ตามก้นฝรั่ง มันคงเป็นไปได้ยากที่จะเกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทย

 

ช่วง คมช ครองอำนาจ ผมส่งอีเมล์ข้อเสนอปชต.ทางเลือกไปถึงผู้มีอำนาจและมีปัญญาหลายคน (ไม่รู้ถึงมือพวกท่านมากน้อยเพียงใด)  ในช่วงแรกๆ ได้ยินว่ามีการพูดถึง นายกคนนอก ตามแนวทางที่ผมเสนออยู่เหมือนกัน แต่พอพูดออกมาประดา “นักวิชาเกิน” ก็ค้านกันยกใหญ่ คงเป็นเพราะว่า มันแหวกแนวคิดฝรั่ง ที่พวกท่านบูชากันหนักหนา ซึ่งแน่นอนประดานักธุรกิจการเมืองก็ช่วยเสริมกันใหญ่ เพราะถ้านายกคนนอกเมือไร “พวกมัน” ก็หมดทางหากินกับธุรกิจการเมืองเมื่อนั้น

 

ใครจะว่าผมเต่าล้านปีก็ยอม แต่ใจผมอยากให้เกิดการปฏิวัติอีกสักครั้ง แล้ว เอ้า…จะว่ายกหางตัวเองก็ยอม  เอาผมไปเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดูที ผมรับรองว่าจะสร้างระบอบประชาธิปไตยภูมิปัญญาไทยแบบใหม่ แบบที่ภาคประชาชนหมดห่วง นอนคลุมโปงอยู่กับบ้านได้เลย ไม่เชื่อลองดู

 

..สองเกิด ใจเต็ม (๒๕๕๑)


ด้นไปในแผ่นดิน (๑)…ผักไทยที่หายไป

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 4:52 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1444

เพิ่งกลับมาจากเดินทางไกลรอบไทย มีเรื่องเล่าให้ฟังมากมาย (1)

 

ผมหายหน้าไป 8 วันเดินทางรอบประเทศตอนบนคือ อุบลฯ นครพนม แพร่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก นครสวรรค์ หลังจากไม่ได้ทำแบบนี้เสีย  1 ปี

 

ทุกคืนที่นอนตามหัวเมืองต่างจังหวัดผมจะถือเป็นกิจวัตรว่า ตอนเช้าตื่นขึ้นมาต้กบาตรพระ (ถวายปัจจัยเป็นหลักเพราะเห็นว่าท่านมีข้าวปลาอาหารเกินพอแล้ว) จากนั้นก็ไปชมตลาดเช้า ช่วงสิบปี่ที่ผ่านมา ผมเฝ้าสังเกตมาเป็นลำดับทุกครั้งที่ออกตะเวณรอบประเทศปีละครั้ง สภาพตลาดเช้าบ้านนอกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ที่เห็นชัดคือผักบ้านนอกหายไปมาก มีผักคนเมืองเข้ามาแทนที่

 

10 ปีก่อนยังเห็นผักพื้นบ้านแปลกๆ มากมายวางขายรายเรียงเต็มไปหมด แต่ พศ. ๒๕๕๑ นี้ แม้ผักพื้นบ้านพื้นๆ เช่น ผักตำลึง ผักบุ้งนา ติ้ว แต้ว ผักแว่น บัวบก ก็หาดูได้แสนยาก อย่าว่าแต่ ไข่ผำ หรือ สาหร่าย (เทา หรือ ไก) เลย ถามหาจนทั่ว ทั้งตลาดเช้าตลาดเย็น ก็หาไม่พบ มีแต่คะน้า ผักกาดขาว บอคคอลลี่ ผักบุ้งจีน กระหล่ำปี กวางตุ้ง เป็นหลัก

 

ส่วนผลไม้ก็เช่นกัน ผลไม้ท้องถิ่นที่เคยมาวางขายมากมายหลายหลาก ก็หาไม่ได้เลย มีผลไม้ชาวเมือง และ เมืองนอก ไม่กี่ประเภทมาแทนที่ (ส้ม องุ่น แอปเปิ้ล แก้วมังกร มีมากที่สุด)

 

ในภาพรวม ดูเหมือนว่าการดำรงชีวิตของคนไทย ทั้งในกรุง หัวเมืองและชนบท ในปัจจุบันนี้ก็มีความหลากหลายลดน้อยลงกว่าในอดีตเมื่อสัก 20 ปีมาก คนส่วนใหญ่เช้ามาก็ไปทำงานรับเงินเดือน หรือ ค่าจ้าง ตกเย็นย่ำค่ำมืดก็กลับเข้าบ้านดูโทรทัศน์ กินนอน ตื่น ทำงานหาเงิน(เดือนและค่าจ้าง) วนเวียนอยู่อย่างนี้ ชั่วตาปีสีตาชาติ

 

การดำรงชีวิตของคนไทยกับพืชผักผลไม้ไทยทำไมมันช่างพ้องจองกันเช่นนี้

 

…สองเกิด ใจเต็ม (๒๕๕๑)


บริษัทประเทศไทย (๒)…วันบาทวันโหวต

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 4:42 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1080

คนกรุงและคนเมืองหาเงิน 95% ไปให้พรรคการเมืองที่เขาไม่ได้เลือกใช้ในการสร้างโครงการซื้อเสียง

 

ลองวิเคราะห์เล่นๆว่าผลการเลือกตั้ง 23 ธค. 50 ที่ผ่านมามีนัยยะเชิงเศรษฐศาสตร์ภาคประชาชนอย่างไรบ้าง

 

ภาพกว้างที่เราเห็นชัดคือ ประชาธิปัตย์ได้เสียงจากคนรวยกว่า คือ กทม. ตะวันออก และใต้ ส่วนพลังประชาชนกุมเสียงคนจนกว่าคืออีสานและเหนือ แม้พปช.จะได้ สส. มากกว่า แต่ถ้าเอาเงินภาษีของคนที่ลงคะแนนเลือกพรรคแต่ละพรรคมารวมกันผมเชื่อเหลือเกินว่า ปชป. จะชนะ พปช. แบบ 5 ต่อ 1

 

เคยได้อ่านพบมาว่า คนกทม. มีเพียงประมาณ 10% ของประเทศ แต่กลับเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาคิดเป็น 80% ของประเทศ ถ้านับรวมตะวันออกและใต้เข้าไปด้วยคงจะเป็น 95% เพราะเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ของภาคเหนือและอีสานไม่เสียภาษีรายได้ เนื่องจากรายได้ไม่ถึงเพดานภาษี พวกส่วนน้อยที่เสียภาษีก็เป็นพวกคนเมืองในเขตเทศบาล ซึ่งส่วนใหญ่ก็เลือกปชป. อีกนั่นแหละ (ตามแนวโน้มปรากฏการณ์เขตหนึ่งคราวออกเสียงโนโหวตในการเลือกตั้งครั้งก่อน)

 

ผมไม่ได้นิยมชมชื่นอะไรกับปชป. และใช่ว่าผมนิยมคนรวยมากกว่าคนจน  เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นแนวโน้มของข้อเท็จจริงนี้ ที่เท่ากับว่าคนกรุงและคนเมืองที่เสียภาษีมากมายเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ กำลังหาเงินให้รัฐบาลที่พวกเขาไม่ได้เลือก เพื่อให้รัฐบาลนี้เอาไปหาหว่านหาเสียงกับคนจนๆ ตามโครงการประชานิยม  เพื่อให้พวกเขากลับมาจัดตั้งรัฐบาลแบบเดิมๆต่อไปอีกชั่วกาลปวสานอย่างนั้นหรือ

 

มันยุติธรรมไหมสำหรับระบบวันแมนวันโหวต (วันแมนวันโหวตบายอิ้ง :-) หรือควรปรับมาเป็นวันบาทวันโหวต (เอากันแบบภาษีนิยมสุดๆกันไปเลย)

 

ว่าไปแล้วเรื่องคะแนนเสียงตามจำนวนภาษีนี้ผมได้เสนอไว้นานหลายปีแล้ว (ประมาณ 5 ปีแล้วเห็นจะได้) คือ ทุกคนมีสิทธิ์ 1 เสียงเท่ากันในฐานะคนไทย แต่คนเสียภาษีมากกว่า ควรได้สัดส่วนเพิ่มตามจำนวนภาษีที่เสีย (เพราะเขามีส่วนลงขันสร้างประเทศมากกว่า) โดยให้มีคะแนนสูงสุดได้สัก 3 คะแนน เช่น ทุกๆ 2 หมื่นบาทที่เสียภาษีได้เพิ่มอีก 1 คะแนน เป็นต้น ที่ผมให้คะแนนสูงสุดแค่ 3 เพราะไม่อยากให้คะแนนคนรวยมากไป กลัวว่าจะไปหาเสียงเอาใจคนรวยจนลืมเสียงคนจน

 

ถ้าทำได้แบบนี้เชื่อว่าการซื้อเสียงจะหมดไปโดยปริยาย เพราะคุณซื้ออย่างไรก็ได้เสียงจากคนจนไม่กี่เสียง แต่เสียงจากคนที่เสียภาษี (ซึ่งอาจไม่รวย) มีน้ำหนักมากขึ้น และไปซื้อเขาก็ไม่ได้ ซึ่งจะคอยถ่วงดุลกันได้เป็นอย่างดี

 

..สองเกิด ใจเต็ม (พศ. ประมาณ ๒๕๕๑)

 


บริษัทประเทศไทยจำกัด

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 4:36 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1162

บริษัทประเทศไทยจำกัด

 

คนจำนวนมากอยากให้บริหารประเทศไทยแบบบริษัท ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย แต่เอาเถอะวันนี้ผมจะลองสวมวิญญาณทุนนิยมดูที ที่ต้องยอมสวมเพราะเห็นว่าในบางโอกาสและเวลาวิธีการบางอย่างของทุนนิยมก็อาจเหมาะสมก็เป็นได้ โดยเฉพาะเอามาใช้แก้ปัญหาการซื้อเสียงเลือกตั้ง ที่ผมและใครๆก็แสนหดหู่

 

วิธีหนึ่งที่จะแก้การซื้อเสียงคือ คือใช้ระบบปชต.แบบทุนนิยม โดยเลียนแบบการบริหารบริษัทขนาดใหญ่ที่มีบอร์ดบริหาร โดยบอร์ดต้องลงมติเสียงข้างมากในการกำหนดนโยบายบริษัท แล้ว CEO นำไปปฏิบัติ

 

แต่เสียงข้างมากของบอร์ดนั้นไม่ใช่ระบบวันแมนวันโหวต แต่ถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนการเป็นเจ้าของหรือสัดส่วนการถือหุ้นนั่นเอง แต่ทำไมบริษัทประเทศไทยเราจึงโหวตแบบวันแมนวันโหวตล่ะ ทำไมไม่โหวตกันตามสัดส่วนการเป็นเจ้าของ

 

ก็คงถามกันว่าจะเอาอะไรมาวัดสัดส่วนการเป็นเจ้าของประเทศ ผมขอเสนอว่าให้เอาปริมาณการเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเป็นหลัก โดยอาจใช้หลักการดังนี้

  • 1) คนไทยทุกคนที่มีอายุเกิน 18 ปีมีสิทธิลงคะแนนเสียง 1 เสียง (เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน)
  • 2) ผู้ที่เสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาได้เพิ่มอีก 1 คะแนนเสียงทุก 10,000 บาทที่เสียภาษี ทั้งนี้คะแนนเสียงรวมต้องไม่เกิน 10

 

(ว้า..แบบนี้ใครมีรายได้ 76,000 ล้านแต่ไม่เสียภาษีก็ได้คะแนนเสียงเพียง 1 น่ะซี่…:-)))

 

ข้อดีของระบบนี้คือ จะลดการซื้อเสียงลงไปได้มาก เพราะการซื้อเสียงเกิดในหมู่ผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น ซึ่งพวกนี้ไม่เสียภาษีอยู่แล้ว ซี้อไปก็ได้แค่ 1 แต้ม ส่วนพวกคนชั้นกลางแม้มีน้อย 20% แต่ถ้าเสียภาษีตีเสียว่าเฉลี่ย 50,000 ก็ได้คนละ 6  แต้ม ก็สามารถถ่วงดุลการซื้อเสียงรากหญ้าได้ทีเดียว ความสำคัญของการซื้อเสียงก็จะลดหรือหมดไปเลย

 

วิธีนี้แม้จะดูทุนนิยมแต่ก็ดูมีเหตุผลอยู่นะครับ เพราะภาษีทีเสียมากเกิดจากการทำงานหนักมากกว่า (ยกเว้นพวกทำนาบนหลังคนและพวกขี้โกงส่วนน้อย) ก็ย่อมหมายความว่าเขาเป็นเจ้าของประเทศมากกว่าเพราะส่งเงินเข้าไปช่วยพัฒนาประเทศมากกว่า และเงินจำนวนนี้ส่วนใหญ่ก็เอาไปเกื้อกูลคนจนที่ขายเสียงนั่นเองในรูปของการสร้างถนน การประกันราคาพืชผลเกษตรกร การรักษาพยาบาลฟรี ดังนั้นการให้สิทธิเท่ากันในการโหวตดูๆไปก็คล้ายระบบคอมมิวนิสต์นะครับ

 

จริงอยู่คนรวย มีเงินเสียภาษีมากก็ใช่ว่าจะมีความฉลาดทางการเมืองไปเสียหมด หรือมีคุณธรรมไปเสียหมด (ประเด็นหลังนี้อาจเป็นตรงข้ามด้วยซ้ำ) แต่ต้องยอมรับว่าพวกเขาโดยเฉลี่ยมีความรู้สูงกว่า มีความสนใจทางการเมืองสูงกว่าพวกคนรายได้น้อยโดยเฉลี่ย ก็น่าเชื่อว่าจะมีวิจารณญาณในการเลือกมากกว่า ได้ผู้แทนที่ดี มีความรู้มากกว่า

 

ส่วนพวกรายได้น้อย แม้คะแนนเลือกตั้งจะน้อย แต่ก็ยังมีเสียงจริงมากอยู่ ก็แสดงพลังได้มากมายตามระบอบปชต. เช่น การเข้าชื่อร้องเรียน ร้องทุกข์ ซึ่งคงนับตามหัวคน ไม่นับตามคะแนนเสียงเลือกตั้ง

 วิธีโหวตตามภาษีนี้เคยมีบางประเทศในยุโรปเอามาใช้ด้วยนะ


ผักบุ้ง…พืชมหัศจรรย์ที่เรามักมองข้าม

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 4:09 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3090

ผักบุ้ง…พืชมหัศจรรย์ที่เรามักมองข้าม

 

มันมีหลายสายพันธุ์มาก ใบใหญ่มน ถึงใบเล็กแหลม แต่ลักษณะทั่วไปจะคล้ายๆ กันคือชอบน้ำ แต่แม้ไม่มีน้ำผักบุ้งไทยก็อึด ทนแล้งได้ดี แม้ดินแตกระแหงก็อยู่ได้  กินกร่อย ไม่ว่าดิบ ลวก ผัด แกง ใส่ก๋วยเตี๋ยว ดอกก็สวย สารพัดประโยชน์จริงๆ

 

ที่คนไม่เคยศึกษากันเลยคือ ผลผลิตต่อไร่ของผักบุ้ง ผมว่าถ้าศึกษาอาจตกกะใจว่า ทำไมมันโตไวแบบนี้ สังเกตสิครับตัดปั๊บแตกปึ๊บสองสามวันเก็บได้อีกแล้ว  แล้วถ้าเราเอามาหมักเป็นแก๊สมันมิได้ผลระเบิดหรือ อีกหน่อยลดทำนาข้าวหันมาทำนาผักบุ้งอาจได้ผลตอบแทนสูงกว่าก็เป็นได้นะครับ 

 

เลี้ยงผักบุ้ง ไม่ต้องกลัววัชพืชอีกต่างหาก เพราะใบมันหนาคลุมหน้าดินทึบไปหมด หญ้าโตไม่ทันมันว่างั้นเถอะ

 

การเอาผักบุ้งมาหมัก ก็ย่อยง่าย  น่าได้ผลเร็ว เพราะเนื้ออ่อนกว่าผักอื่นๆอยู่แล้ว

 

เอ้า…ครูราม ได้อีกโปรเจคแล้ว  ลองดูที่ข้างๆคูน้ำนะครับ ทำพื้นที่สัก 5 ตร.ม. เก็บเกี่ยวทุกครั้งชั่งกิโลด้วยครับ จดสถิติไว้ ในหนึ่งปีเราจะคำนวณกลับได้ว่า ได้มวลเปียกเท่าไรต่อไร่ปี แต่ต้องเลือกพันธุ์ซะหน่อยนะครับ เช่นพันธุ์ที่ชูก้านในแนวตั้ง จะดีกว่าพันธุ์เลื้อยนอนนะผมว่า ใบเล็กน่าจะดีกว่าใบใหญ่

 

..คนถางทาง (๑๒…มิย. ๕๔)


เครื่องดักหนูนวัตกรรมหลุมโจน

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 12 June 2011 เวลา 3:45 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2703

ห้องทำงานผมนี้มันรกยังกะรังหนูจริงๆ มีหนูรอดขอบประตูเข้าอาศัยอยู่เนืองๆ ก็ดีเหมือนกันทำให้มีเพื่อนแก้เหงายามดึกๆ ที่ได้ยินเสียงมันเดินกุกกักๆ แหมแต่ตอนมันแพร่พันธุ์นี่สิส่งเสียงกันจี๊ดๆ

 

ห้องติดกัน (เป็นห้องเก็บของ และ ห้องกาแฟ ที่ไม่มีใครมาใช้เพราะอยู่ห้องริมสุด เลยเป็นห้องส่วนตัวผมไปเลย)  สองวันมานี้เขาไปต้มมาม่ากิน (ความจริงๆไวๆนะ ผมชอบมากกว่า..เหมือนไปซื้อแฟ็บยี่ห้อบรีส)  ได้กลิ่นเหม็นเน่าหนูตาย ค้นหาจบพบว่าตายอยู่ในถังน้ำพลาสติก (ที่แห้งไม่มีน้ำ) เป็นหนูเด็กสามตัว

 

เข้าใจว่าคงกระโดดลงไปเล่นหรืออะไรสักอย่าง (เพราะไม่มีอาหารมันจะโดดลงไปทำไม) แต่ก็ทำให้เกิดแนวคิดว่า เอาถังดักหนูถ้าจะดี โดยโยนอาหารไว้ก้นถังด้วย แล้วทำบันไดให้มันปีนไปปากถังได้เพื่ออำนวยความสะดวก

 

ถ้าใช้ไหได้คงยิ่งดี หนูตัวใหญ่ๆ ก็น่าจะดักได้ คงโดดไม่ขึ้น  ..เหมือนชาวบ้านนอกสมัยก่อนดักปลาด้วย หลุมโจน  สมัยเด็กผมก็ดักปลาด้วยวิธีนี้กะเขาด้วย มีเคล็ดว่าต้องไปเอาน้ำแหล่งอื่นมาลาดเป็นทาง ปลามันได้กลิ่นมันจะแถกไปหาน้ำใหม่ แล้วก็ไปตกหลุม  แสดงว่าปลาเนี่ย (โดยเฉพาะไอ้ช่อน ไอ้หมอ) มันเป็นนักบุกเบิกมากเลยนะครับ ต้องการไปเผชิญโชคยังที่แห่งใหม่เสมอ ไอ้คนเราก็เก่งนะ ไปรู้จักสังเกตพฤติกรรมปลา

 

สำหรับหนู พอจับได้แล้ว ผมก็จะเอาไปปล่อยป่า แต่ว่ากันว่ามันมีระยะหากินไกลมาก ถึง  5 กม. อยู่ป่ามันเหงาเดี๋ยวก็คงเข้าอาคารอีกและ

 

พูดถึงสัตว์แล้ว มีสัตว์ป่าหลายชนิดนะครับ ที่เราอยากให้สูญพันธุ์หมดโลกโดยไม่อยากอนุรักษ์ เช่น ยุง หนู  แมงวัน แมงหวี่


เสียงเตือนเห่าจากหมาเน่าริมถนน (๓)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 June 2011 เวลา 9:33 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1521

ติดไฟหลากสี มีหมดทุกเฉด

 

ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศเสรีที่สุดในโลกประเทศหนึ่งในการกระทำอะไรก็ได้ตามใจชอบเกี่ยวกับรถยนต์ โดยเฉพาะการประดับรถด้วยไฟหลากสี

 

ไฟท้ายรถยนต์นั้นกฎหมายสากลทั่วโลกเขาบอกว่าต้องเป็นสีแดงเท่านั้น ไฟเลี้ยวสีเหลือง ส่วนไฟถอยหลังสีขาว แต่คนไทยเรามีเสริมเติมให้เป็นหลากสีเช่นไฟท้ายมีทุกสีตั้งแต่ขาว เขียว เหลือง ฟ้า ม่วง และไฟกระพริบไปมา ซึ่งทำให้สับสนมากเวลาขับตอนกลางคืน และน่าจะเป็นต้นเหตุหนึ่งของอุบัติเหตุจราจร

 

ส่วนไฟหน้าเล่าก็มีทุกสีเช่นกันเหมือนไฟท้ายน่ะแหละ บางครั้งมองไม่ออกว่ามันกำลังสวนมาหรือกำลังวิ่งไปทางเดียวกะเรา ซึ่งบางครั้งทำให้ตัดสินใจแซงออกไปผิดๆ

 

บางคันติดพราวหมดทั้งคัน มีสีหลากหลายยังกะโอเกะริมทาง ยกเว้นไฟหน้ากะไฟท้ายปกติ ที่มันไม่ติด เพราะไส้มันขาดไปนานแล้ว

 

น่าแปลกที่ด่านตำขวดที่ดักจับไถเงินได้แล้ว ก็ไม่ว่ากล่าวตักเตือน หรือยึดรถไปเลย  ปล่อยไปหน้าตาเฉย สงสัยว่าจะได้ส่งต่อไปให้เพื่อนฝูงด่านข้างหนา รีดไถต่อไป

 

ส่วนด้านข้างรถก็แพราวพราวไม่แพ้กัน โดยเฉพาะพวกรถโดยสารและรถบรรทุก บางคันติดไฟราวยังกะงานวัด ที่นิยมที่สุดก็คือติดไฟเขียวไว้ในที่สูง ซึ่งไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร หรืออาจเป็นสัญญาณลับบอกด่านตำรวจว่ารถคันนี้มีสิทธิพิเศษก็ไม่ทราบได้

 

เจ้าแมงกะไซตัวน้อยก็พอกัน ที่เห็นบ่อยที่สุดคือไฟท้ายสีขาว ขับตามกลางคืนนึกว่ามันกำลังสวนมา

 

มันน่าจะกวดขันกันหรือรณรงค์กันหน่อยว่าห้ามเอาไฟอะไรมาติดเพิ่มเติมนอกจากที่วิศวกร (ฝรั่ง) เขาออกแบบไว้เพื่อความปลอดภัย ตั้งแต่ตอนซื้อมา  

 

คนขัยฝรั่งเน้นไปที่ความปลอดภัย ส่วนคนขัยไทยไทยเน้นไปที่ความโอ่อ่า

 

คนถางทาง


การเลือกตั้งของคนปัญญาอ่อน

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 June 2011 เวลา 6:52 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1072

 นายกสมาคมของคนปัญญาอ่อนไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของสมาชิกสมาคม…แล้วทำไมนายกรัฐมนตรีของคนไทยต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในสังคมด้วยเล่า


ครูไทย ไม่ต่างอะไรกับตำรวจไทย…เลวพอกัน

5 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 June 2011 เวลา 6:47 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1897

เวลาเราด่าว่าตำรวจเลว ฝ่ายค้านก็จะออกมาบอกว่า “อย่าด่ากราดแบบนี้สิ ตำรวจดีก็มีเยอะนะ” …จบ

(ถามว่าที่ว่าเยอะนะมีกี่ % …ผมว่าไม่น่าเกิน 3% นะ จากสถิติของผมเองที่มีเพื่อนเป็นตำรวจมากหลาย)

 

ครูไทย ไม่ต่างอะไรกับตำรวจไทย…เลวพอกัน

ครูที่ดีพอมี …แต่ที่เลวมีมากกว่า 10 เท่า

 

ครูไทยส่วนใหญ่มีหนี้สินเยอะ เพราะไม่รู้จักพอเพียง

เกินพอกันทั้งนั้น

 

ครูไทยส่วนใหญ่ค้าขาย และค้ากันแบบโกงๆเสียด้วย

ตั้งแต่นมโรงเรียน สมุด ดินสอ ไปจนถึงขายประกันฯ

และขยักวิชา เพื่อไปหาลำไพ่ในการกวดวิชา

ยังไม่นับขายศรัทธา หาเสียงให้นักการเมือง ที่กำลังเป็นขั้วอำนาจ

 

แบบนี้ถือว่าเลวกว่าตำรวจเสียอีก

 

ปัญหาประเทศไทยวันนี้คือ คนฉลาดไปเป็นทหารตำรวจหมด

กลางๆ เป็นหมอ วิศวกร นิเทศ

พอสอบเข้าอะไรไม่ได้ก็ไปเป็นครู

ไม่เชื่อไปดูสัดส่วนการสอบเข้า

รร. ทหาร รับ 100 สมัคร แสน

หมอรับร้อยสมัครหมื่น

ครู..รับร้อย สมัคร 100

 

ประเทศไทยจะเจริญได้ก็ต่อเมื่อ

คัดคนฉลาดไปเป็นครู ส่วนคนโง่ไปเป็นทหาร

 

ทหารที่ฉลาดเกินไป มันรบไม่เก่งหรอก ขี้ขลาด กลัวตาย

ส่วนครูที่โง่เกินไปก็สอนใครไม่ได้เกินสมองตัวหรอก

 

ผมอาจพูดตรง น่าตื้บ

แต่นี่คือความจริงที่ผมเห็นมา คิดมา ซึ่งคนอาชีพครูอาจรับไม่ได้

 

ที่น่าแปลกคือ ทหาร ตำรวจ มักมีเมียเป็นครู

ลูกออกมา ผู้ชายไปเป็นทหาร (เพระมีคะแนนช่วยมากหลายจากการที่พ่อเป็นทหาร)

ส่วนลูกหญิงส่วนใหญ่ก็ไปเป็นครู  (เพราะพ่อขี้เหล้า เจ้าชู้ จนลูกเรียนไม่เก่ง)

 

ครูคือเรือจ้าง

แต่แหม….เรือจ้างวันนี้มันราคาแพงจริงๆ

ว่ายน้ำไปเองอาจถึงฝั่งเร็วกว่า และถูกกว่าด้วยซ้ำ

 

ก่อนจะมาตื้บผม …ควรรู้ไว้ด้วยว่า

ผมก็เป็นครูนะ

มีอาชีพให้ผมเลือกมากมาย เงินเดือนดีกว่ามากโข

แต่ผมก็ตั้งใจเลือกอาชีพครู (ครูในประเทศไทย แดนอีสาน เสียอีกด้วย ทั้งที่จะเป็นครูในประเทศหรั่ง กลางกรุงศรีวิไลก็ย่อมได้)

 

…คนถางทาง (๒๕๕๑)


สาขาวิชาเปิดใหม่..การออกแบบประเทศไทย (รายได้ดี 30% หัวคิว รับจำนวนจำกัด..สมัครด่วน)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 June 2011 เวลา 6:32 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1606

คนที่จะไปรับผิดชอบการออกแบบตึกให้ปลอดภัย ต้องจบวิศวกรรมโยธา

คนที่จะไปรับผิดชอบการออกแบบรถยนต์ให้ปลอดภัย ต้องจบวิศวกรรมเครื่องกล

คนที่จะไปรับผิดชอบการออกแบบสายไฟให้ปลอดภัย ต้องจบวิศวกรรมไฟฟ้า

คนที่จะไปรับผิดชอบการออกแบบระบบการสื่อสารให้ดี ต้องจบนิเทศสาสตร์

คนที่จะไปรับผิดชอบการผ่าตัดมนุษย์แต่ละคน  ต้องจบแพทยศาสตร์

 

การออกแบบพวกนี้ หากผิดพลาด ก็เป็นอันตรายกับคนไม่กี่คน

 

แต่กลับต้องมีความรู้ดีเฉพาะทาง ต้องสอบผ่านข้อสอบวิชาชีพที่สมาคมวิชาชีพกำหนด

 

ที่สำคัญที่สุดคือการออกแบบ “ประเทศไทย” ให้ดีและปลอดภัย

เพราะถ้าออกแบบพลาด มันหมายถึงหายนะของคน 63 ล้านคน

แต่ น่าแปลกที่คนออกแบบ ประเทศไทย  ซึ่งคือ นักการเมืองทั้งหลาย

ไม่ต้องจบอะไรที่เกี่ยวข้องกับระบบประเทศไทยเลย..และไม่ต้องสอบผ่านจนได้ประกาศนียบัตรอะไรเลย

 

บรรดา ดารา นักร้อง อาเสี่ย นักเลงท้องถิ่น แม่บ้าน เมียและน้องเมียผู้มีอำนาจ ลูกสาวผู้มีวาสนา อดีตนักมวย นักเลียผู้มีอำนาจ นักจุดไฟแช็กให้นายสูบบุหรี  นักการพนัน  และนักหมูหมากาไก่ทั้งหลาย ที่มีอายุตั้งแต่ 25-150 ต่างก็มีสิทธิ์มาร่วมออกแบบประเทศไทยกันได้อย่างเสรี

 

ก็ในเมื่อประเทศเราถูกออกแบบมาด้วยคนพวกนี้มาแสนนาน ดังนั้น ถ้าประเทศไทยเราไม่ล้มถล่ม ไม่เบรกแตกชนตอหรือถูกโลกาภิวัฒน์ช็อตตาย หรือ ไม่ถูกผ่าตัดผิดๆจนเลือดประเทศไหลไม่หยุด  จนประเทศล่มสลายภายใน 20 ปีจากนี้ไป ก็ต้องถือเท่ากับว่า เราทุกคนโชคดีเทียบเท่ากับการถูกหวยบนดิน 111 ครั้งติดต่อกัน แล้วยังได้รับนิรโทษกรรมอีกด้วย

 

ไชโย..ประเทศไทย

ประเทศที่คนทำงานเป็นทีมไม่ได้ ยกเว้น โกงเป็นทีม

ที่พวกมันทำได้ดีทีสุด

แม้ปล้นประเทศเป็นทีมกว่า 111 คน ให้โจ๋งครึ่มอย่างไรมันก็ทำได้

และไม่มีใครจับมันได้ หรือ ลากคอเอาไปลงโทษได้

 

…คนถางทาง (๒๕๕๑)

 



Main: 0.098449945449829 sec
Sidebar: 0.14984202384949 sec