รัฐธรรมนูญที่มีรากวิญญาณแห่งวัฒนธรรมไทยเดิม

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 June 2011 เวลา 8:06 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1263

(เรื่องหนักๆ จิตอ่อนไม่ควรอ่าน)

 

โดยมากแล้วเรามองรธน.กันแต่ในแง่ของนิติศาสตร์ เช่นว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ อะไรขัดต่อนี้ถือเป็นโมฆะ นี่มันก็นิติศาสตร์ล้วนๆ แข็งเกินไป และจะไม่ค่อยเสถียร (อะไรที่ยืนขาเดียวมักไม่เสถียรอยู่แล้ว)

 

อีกพวกบอกว่าต้องการให้ภาครัฐอ่อนลง ภาคประชาชนแข็งขึ้น นี่ก็มองในแง่รัฐศาสตร์ โดยจะใช้หลักนิติศาสตร์ของกฎหมายนั่นแหละมากำหนดให้อำนาจภาคประชาชนสูงขึ้น เสร็จแล้วรัฐกับประชาชนก็จะขัดแย้งกัน คานอำนาจกัน ทั้งที่รัฐนั้นอีกด้านหนึ่งก็คือประชาชน และประชาชนนั้นอีกด้านหนึ่งก็คือรัฐ (นายก สส. ปลัดกระทรวง ก็ต้องมีพ่อแม่ลูกเมียญาติมิตรเพื่อนฝูงลูกศิษย์อีกโข มิใช่หรือ)

 

แต่ขาที่สามที่เรามักมองข้ามกันไปเลย (รวมทั้งรธน.ของอารยประเทศอื่นที่เราไปลอกเขามา) ก็คือหลักธรรมศาสตร์  ซึ่งคือหลักความถูกต้องที่จะเชื่อมโยงนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ให้สังคมศาสตร์ดำรงอยู่ได้อย่างมีสุขที่สุด (หรือมีความทุกข์น้อยที่สุด)

 

เราจะต้องทำให้รธน. เป็นรธน. ที่มีวิญญาณ ไม่ใช่เพียงเศษกระดาษที่บัญญัติความด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ไว้อย่างชาญฉลาดและรัดกุมเท่านั้น เพราะอย่างไรก็ไม่มีทางจะขจัดความขัดแย้งอันมากมายหยุมหยิมได้หมดสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรังแกคนกลุ่มน้อย (แม้เพียงคนเดียว) โดยคนกลุ่มใหญ่ที่มีเสียงมากกว่าตามที่นิติศาสตร์บัญญัติ (ภาคประชาชน อาจรังแกรัฐก็ยังได้เลย ถ้ามันเข็งแรงเกินไป)

 

การพึ่งอำนาจศาลอย่างเดียว (ซึ่งดูเหมือนเป็นขาที่สาม และขณะนี้ก็มีหลายศาลจนจำไม่หวาดไหว) ความจริงแล้วก็ยังคือหลักนิติศาสตร์นั่นเอง ถึงเวลาที่รัฐธรรมนูญไทยของเราต้องยกระดับเพื่อชักนำสังคมให้เข้าสู่ความเป็น “นิติธรรมรัฐ” ให้ได้ ต้องสมดุลทั้งสามขา เช่น อาจมีมาตราว่า “ในกรณีเกิดการขัดแย้งใด ระหว่าง รัฐ ประชาชน กลุ่มประชาชน หรือ องค์กรอิสระใด หากคู่กรณีพร้อมใจกันไม่ประสงค์จะพึ่งการตัดสินแห่งศาล ก็อาจจัดให้มีกลุ่มนักปราชญ์ราชบัณฑิตที่ทรงความรู้และคุณธรรมจำนวนเหมาะสมที่เป็นที่เคารพนับถือของทุกฝ่ายร่วมไกล่เกลี่ยปัญหา” 

 

ซึ่งนี่ก็คล้ายวิธีอนุญาโตตุลาการนั่นเอง เพียงแต่ว่าเป็นอนุญาโตโดยธรรม มิใช่โดยผลประโยชน์เชิงธุรกิจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้วมาประนีประนอมผลประโยชน์กันแบบพบกันครึ่งทาง  หรืออีกนัยหนึ่งเป็นศาลนอกระบบที่ไม่จำเป็นต้องยึดกฎหมายเป็นหลักเสมอไป แต่ยืดหยุ่นได้มากตามสภาพการณ์แห่ง “ธรรม”

 

หลักนี้ยังมีรากวัฒนธรรมไทยเดิมเราอีกด้วย มีอะไรก็ไม่ต้องขึ้นโรงศาล ผู้หลักผู้ใหญ่ประนีประนอมให้ แล้วเลิกแล้วกันไป ไม่ถือโกรธ จึงถือเป็นรธน. แบบภูมิปัญญาไทยอีกรูปแบบหนึ่ง

——–โดย ทวิช จิตรสมบูรณ์ พศ. ๒๕๔๙


ยี่ห้อไทย..บอกอะไรได้หลายอย่าง

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 June 2011 เวลา 7:44 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1128

สินค้ายี่ห้อไทย…บอกยี่ห้อคนไทยได้ดีที่สุด

 

ว่าคนไทยเราเห่อแต่ของนอก ของไทยเราเองดูถูก ดูตัวอย่างง่ายๆ เช่น การเกงผู้ชาย ไม่มียี่ห้อไทยสักตัว ถ้าใครขืนออกยี่ห้อเป็นไทยรับรองว่าเจ๊งในไม่ช้า ไม่มีใครซื้อ (อาจยกเว้นคนบ้าๆแบบผม ซึ่งมีน้อยมาก)  ชื่อร้าน ชื่อบริษัท แม้แต่ชื่อคน ชื่อหมา ก็เป็นหรั่ง เป็นยุ่นไปหมดแล้ว

 

เวลาไปซื้อเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรทัศน์ พัดลม เตารีด กาต้มน้ำ ผมมักเลือกเอายี่ห้อที่ไม่มีใครรู้จัก เช่น (sanko) (ชื่อสมมติ) เผื่อว่าจะเป็นของทำในไทย เพราะอยากอุดหนุนคนไทยด้วยกัน พลิกดูก็ไม่บอกว่าเมดอินอะไร ก็เลยเดาว่าเป็นของไทย แต่ไม่กล้าอ้างเพราะกลัวคนจะไม่ซื้อ

 

เพื่อให้แน่ใจจะถามคนขายว่า เครื่องนี้ทำในไทยใช่ไหม คนขายจะตอบทันควันว่า ไม่ใช่ เป็นของนอก เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์  ถามต่อไปว่ามีของทำในไทยบ้างไหมก็บอกว่าไม่มี ถ้าเช่นนั้นผมก็เลยไม่ซื้อ บอกว่าอยากอุดหนุนของไทย พร้อมสอนมันว่า ทีหลังซื้อของไทยมาขายบ้างซิ่ ขู่สำทับมันด้วยว่า คุณไม่รู้หรือเดี๋ยวนี้กระแสรักชาติ นิยมไทยกำลังมาแรง (เกทับบลัฟแหลก เพื่อชาติ)

 

พอเท่านั้นแหละ คนขายก็เปลี่ยนท่าที พูดใหม่ว่าความจริงไอ้ sanko น่ะประกอบในไทยแต่ใช้อุปกรณ์นอก ซึ่งผมไม่อยากเชื่อ เพราะเดี๋ยวนี้ของไทยก็ทำได้มากแล้ว เช่น TV ผมควานซื้อจนได้ยี่ห้อ DiStar มา คนขายบอกว่าเป็นของไทย (ไม่รู้โกหกผมหรือเปล่า มันเห็นว่าผมยืนยันจะเอาของไทยให้ได้)  นัยว่าเป็นเครื่องธานินทร์เก่า แต่ยี่ห้อธานินทร์มันเป็นภาษาไทย(ปนแขก)จึงไม่มีใครซื้อก็เลยเปลี่ยนมาเป็นภาษาประกิด

 

นี่แหละประเทศไทย นักการเมืองก็น้ำเน่า ประชาชนก็ดูถูกชาติตัวเอง อย่างนี้มันสูตรสำเร็จที่จะสิ้นชาติเชียวนะ ขอฝากเป็นโจทย์ให้กระทรวงวัฒนธรรมด้วย ต้องเร่งหาทางแก้นิสัยดูถูกตนเองเช่นนี้

 

ประเทศนี้ดีทุกอย่างยกเว้นมีคนไทยอยู่

 

…คนถางทาง (๒๕๕๒)


ไทยดำรำพัน (take II)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 June 2011 เวลา 6:20 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1455

ฟังเพลงนี้แล้ว น้ำตาไทยไหลจริง สงคราม ความตาย ความรัก ความโลภของมนุษย์

 

http://www.youtube.com/watch?v=3MrK7GaOe60&NR=1

สังเกต subtitle ไม่ใช่ภาษาลาว แต่คล้ายภาษาไทยมาก ๆ ถ้าภาษาเขียนดังกล่าวนี้เป็นภาษาโบราณของไทยดำ (ไม่ใช่แต่งขึ้นใหม่) ผมว่ายุ่งแน่ๆ เราต้องมาชำระประวัติศาสตร์กันอีกมากเลย

 

อีกทั้งในอีกโพสต์หนึ่ง ผมให้ฟังเพลงที่ระบุว่าเป็น 16 เจ้าไทย ไม่ใช่ 12 จุ(เจ้า)ไทยอย่างที่เราเชื่อกันมา

 

ในอีกโพสต์หนึ่งที่ผมถามว่า ภาษาไทยหรือเวียต นั้น ท่านที่ไม่เคยฟังภาษาเวียตคงไม่รู้ว่า สำเนียงเวียตเป็นดังที่ออกเสียงให้ได้ฟังกันนั่นแหละครับ ฟังเผินๆ จึงนึกว่าภาษาเวียต แต่ถ้าตั้งใจฟังจะเห็นว่าเป็นภาษาไทยทั้งนั้นเลย …สรุปว่าสำเนียงเวียตนามนี้ลอกไปจากไตดำ หรือว่าไตดำลอกสำเนียงนี้มาจากเวียต  หรือว่าลอกคนละครึ่ง

 

ผมขอสรุป(ของผมเองคนเดียว..ไม่เชื่อไม่ว่า) ว่าคนไทยทุกวันนี้ เป็นผสมผสานของ ไต ขอม (และจีนที่อพยพมาทีหลัง)   ไตในที่นี้รวม ลาวด้วยนะครับ

ส่วนเขมรนั้นผมสรุปและให้เหตุผลหลักฐานไปนานแล้วว่า ไม่ใช่ขอม แต่เป็นคนไล่ฆ่าขอมออกจากนครวัด จน เสียมเรียบ ต่างหาก (ขอมกับเสียม ผมก็สรุปแล้วว่าเป็นเผ่าเดียวกัน ที่เรียกชื่อต่างกันก็เพราะว่าเป็นชื่อที่เรียกจากฝ่ายต่างๆด้วยภาษาที่ต่างกัน)

จงฮักกันไว้ เหล่าไตเราเอ๋ย


นี่มันภาษาไทยหรือภาษาเวียตนามกันแน่

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 16 June 2011 เวลา 1:36 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1290

 

http://www.youtube.com/watch?v=VoTEbw7E-ko&feature=related

ประเทศเวียตนามเหนือนั้นสมัยโบราณเรียกชื่อว่า DaiViet (หรือ ไตเวียต) ..ฟังคลิปนี้ผมไม่แปลกใจเลย  เวียตนามใต้นั้นเมื่อ 1000 ปีก่อน เป็นอาณาจักรจำปา หามีคนเวียตไม่

 


ทำไมหญิงไทยสมัยนี้สวยกว่าโบราณ

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 June 2011 เวลา 11:26 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2142

 

ผมสังเกตว่าผู้หญิงไทยสมัยนี้ทำไมสวยกว่าสมัยก่อนมาก เช่น ส่วนใหญ่มักมีผิวขาว ระหง หน้าตาดีอีกต่างหาก (แม้ผิวคล้ำก็ยังสวยไปอีกแบบ)  ผิดกันลิบลับกับรูปถ่ายสมัยคุณปู่ โดยเฉพาะรูปสมัย ร ๕ จะเห็นว่าส่วนใหญ่มักเตี้ยอ้วนดำ

 

ไอ้ที่ไปแต่งเตริมเสริมขัดก็คงมีบ้างแต่ดูส่วนใหญ่ก็ธรรมชาติดีนะ หรือว่าเผ่าพันธุ์ไทยมันวิวัฒนาการรวดเร็วผิดปกติ จะว่าผสมกับจีนก็ไม่ได้เต็มปากเพราะจีนมีเพียงประมาณ 10% จะมาผสมอะไรกันแผ่กว้างมากปานนั้น อาจเป็นว่าผสมกับลาวด้วย เพราะลาวมักผิวขาว เช่น โซ่ง พวน ผู้ไทย (ส่วนลาวลุ่ม ลาวเวียงก็จะคล้ำๆแบบไทยนี่แหละ)

 

ปักษ์ใต้แท้ๆ เดี๋ยวนี้ขาวๆกันมากหลาย ไม่เว้นแม้สาวมุสลิม ส่วนหนุ่มมุสลิมหาขาวๆไม่ได้สักคน แปลกแต้ๆ

 

เคยได้ยินคำว่า คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่งไหมครับ  รวมทั้งสาวดำเนิน(สะดวก) ผมไปสืบมา พบว่าทั้งสามแหล่งนี้มีไทยโซ่ง ไทยพวน อยู่มาก (อพยพมาจากเดียนเบียนฟู หรือ เมืองแถน โน่น) พวกนี้จะผิวขาว ตาโต ผู้ชายก็งั้นๆแหละ ไม่เห็นจะหล่อเหลา แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะสวย (หรือเอ๊ะ ในสายตาผู้ชายมักเป็นแบบนี้ ส่วนในสายตาหญิงอาจจะเป็นอีกแบบ)  แถวนครนายก อ.ปากพลี แถวศรีมหาโพธิ์ ปราจีน และบ้านโพธิ์ แปดริ้ว ก็มีมาก

 

ว่าไปแล้วไทยพวน ไทยโซ่งกระจายอยู่ทุกภาค (รวมทั้งใต้)  ที่บ้านทุ่งโฮ้ง (จ.แพร่) ที่ดังทางด้านเสื้อม่อฮ่อมน่ะ นั่นก็ใช่ ว่าไปแล้วน่าจะมีการวิจัยว่าชาวพวนใช่ไหมที่เป็นต้นแบบเสื้อม่อฮ่อม 

 

ยังที่เพชรบุรี(เขาย้อย)  ลพบุรี (บ้านหมี่)  สุพรรณ (เก้าห้อง) สุโขทัย (หาดเสี้ยว) ก็มีมาก  ผมเดินทางรอบไทยหลายรอบ ถ้าไปหมู่บ้านไหนเห็นมีคนผิวขาวมาก ผมเข้าไปถามมักไม่พลาด ไม่โซ่ง ก็พวน มีมากจริงๆ แถวๆ ริมโขง ยังแถมผมแดงๆระเรื่อเข้าไปอีก คล้ายลูกครึ่ง แต่ถามแล้วเขาว่าพวนแต้ๆ เลย

 

เคยได้ยินเพลงไทยดำรำพันไหมครับ (ขับร้องโดย ก.วิเสส) สมัยผมเด็กๆ ดังก้องประเทศ

 http://www.youtube.com/watch?v=iJn9tdXD6qs&feature=related

ซิบฮาปี(ที่)ไทดำเฮาเสียแดนเมือง (เอ้า..เยอเข้าไป) เคยฮุงเฮืองแสนสบายสูเจ้าเปิ้นหล้า

เฮาคนไทยกระจายกันไปทุกถิ่นทุกฐาน

จงฮักกันเด๊อ..ไทยดำเฮาหนา

 

จำได้ลางๆ สงสัยจะไม่ถูกหมด แต่นึกแล้วหดหู่ พวกเขาเคยอยู่เดียนเบียนฟู (เดียน น่าจะเป็นเวีตนามเวอร์ชันของคำว่า แถน ซึ่งเป็นพระเจ้าสูงสุดที่ชนเผ่าไทยนี้นับถือ) แต่ต้องทิ้งบ้านเรือนหนีสงครามระหว่างเวียตนามกับฝรั่งเศสมาอยู่ไทย บ้างก็ถูกกวาดต้อนมาด้วยภัยสงครามอันหลากหลายครั้งระหว่างสยาม ล้านช้าง และอันนัม

 

ชื่อไทยดำ แต่ผิวขาวจั๊ว ที่เรียกไทยดำเพราะพวกนี้ชอบแต่งกายด้วยสีดำครับ

จากการสำรวจของผมเอง สามตระกูลเป็นพี่น้องกัน คือ โซ่ง พวน และผู้ไทย (หรือ ภูไท)  เนื่องจากประโยคที่ว่า “ไปไหนมา” เขาจะพูดคล้ายๆกันว่า “ไปกะเลอมา” หรือ “ไปกะหลำมา”

 

เผ่าไตเฮา..ฮักกันไว้มากๆเด๊อครับ

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์


ลูกขบไทยสู่สากล

7 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 June 2011 เวลา 8:51 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2196

นัทไทย

 

ผมยังไม่ทราบว่าจะตั้งศัพท์ไทยว่าอย่างไรดี ฝรั่งเรียก nut (เป็นแสลงแปลว่า บ้า ก็ได้)  ของไทยเรามันเรียก ลูก แต่พอบอกว่า ลูกไทย มันก็ไม่เข้ากัน อยากจะเสนอว่า “ลูกขบ” จะดีไหม

 

ลูกขบไทยมีหลากหลาย แต่ที่ผมชอบที่สุด คือ ลูกประ มีมากทางปักษ์ใต้ เอามาคั่วทราย อร่อยมาก

 

รองลงไปน่าจะเป็น ลูกก่อ ใต้จรดเหนือมีหมด  เป็นโอ๊คชนิดหนึ่ง ไม้เอามาเลี้ยงเห็ดหอมได้

 

เม็ดไม้แดง ก็แปลก เพิ่งรู้ว่ากินได้ อร่อยเสียด้วย

 

เม็ดกระบก  เม็ดบัว

 

เม็ดนุ่นอ่อน ใครเคยกินไหมครับ มัน หวาน ของโปรดเด็กบ้านนอกสมัยก่อน

 

เม็ดกวยจี๊ ฟักทอง ทานตะวัน

 

ถั่วต่างๆ โดยเฉพาะถั่วผี ที่หากินได้ยากขึ้นทุกวัน เห็นที่แม่ฮ่องสอนต้มขายเป็นฝักๆ สีเหลืองๆ มีขนนิดๆ

 

ที่แม่ฮ่องสอน และ บริเวณไทยใหญ่ยังมี ถั่วอะไรหนอ ลืมชื่อไปแล้ว แข็งมาก แต่ก็อร่อย และเก็บไว้ได้นานเป็นปีโดยถั่วไม่อ่อนเสียก่อน เหมือนเช่นถั่วลิงสง อ้อนึกออกแล้วขณะพิมพ์ คือ ถั่วแป๊ะหล่อ (ที่แม่สอดเม็ดใหญ่กว่าที่แม่ฮ่องสอน) ไปมฮส. ที่ไหล ซื๊อมาตุนหลายกิโลทุกที  เดี๋ยวนี้ถั่วนี้ถูกลดความนิยมลงไป หันไปหาถั่วเหลืองคั่วกันมาก คงเพราะว่ามันกินง่ายกว่า แต่สำหรับผม แป๊ะหล่อ หร่อยกว่า

 

 

หันมาดูตลาดลูกขบในไทยตอนนี้เห็นมีอยู่สามยี่ห้อหลักคือ ทองการ์เด็น โก๋แก่ และ เจดีย์คู่  ทองฯนั้นทำได้ดีที่สุด คุณภาพความอร่อยทะลุโลกไปแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ของคนไทย เป็นธุรกิจคนจีนในมาเลย์ ตอนหลังๆ ผมเลยซื้อน้อยลง หันมากินของไทยที่ไม่ค่อยอร่อยเท่า (ปิดทองหลังพระ เสียสละเพื่อชาตินะเนี่ย)

 

ผมคิดมานานว่า ทำไมคนพวกนี้เขาไม่รู้จักทำตลาดใหม่ๆบ้างเลย นอนทับความสำเร็จในอดีตอยู่นั่นแหละ เป็นผมนะ ป่านนี้ ลูกประสุดอร่อยมาคอยอยู่ริมแผงแล้ว ไม่ต้องให้ผมไปเที่ยวตระเวนหาตามตลาดทั่วประเทศ อีกทั้งเป๊ะหล่อ ลูกระบก ไม้แดง เม็ดบัว

 

กล่าวฝ่ายรัฐบาล ก็ไม่ยอมทำวิจัยด้านนี้ พร้อมวิจัยการคตลาดทั่วโลก  ดีแต่ประชานิยมซื้อเสียงอยู่นั่นแหละ

 

ในเมืองนอก เขานิยมกินลูกขบกันมาก ที่ยืนพื้นก็มี อัลมอนด์ เพลิแคน  hazel  brazilian และ pitacchio  ยังมีที่ว่างเหลือให้เราทำการตลาดอีกมาก   ไอ้บราซิลเลี่ยนนี่ดูเผินๆ เหมือนลูกประเรา แต่ของเราหร่อยกว่า 10 เท่า

 

…คนถางทาง (๑๕ มิย. ๕๔)

 

 

 

 

 

 


ลดการจราจรติดขัดในกทม.ด้วยการใช้รถยนต์ร่วมกันผ่านระบบจับคู่แบบมีปสภ.

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 June 2011 เวลา 6:42 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1530

ลดการจราจรติดขัดในกทม.ด้วยการใช้รถยนต์ร่วมกันผ่านระบบจับคู่แบบมีปสภ.

 

การจราจรติดขัดในกทม. เป็นปัญหาสำคัญที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และ สุขภาพกายและสุขภาพจิต วิธีหนึ่งที่น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้คือการใช้รถยนต์ส่วนตัวร่วมกัน (car pool)

 

อุปสรรคของวิธีนี้คือผู้ที่จะใช้รถร่วมกันไม่รู้ข้อมูลของกันและกัน เช่น ไม่รู้ว่ามีใครบ้างที่อยู่ใกล้บ้านเรา และที่ทำงานก็อยู่ใกล้เราด้วย  รวมทั้งมีเวลาเข้างานเลิกงานใกล้กัน  แต่ถึงแม้ว่าจะรู้ข้อมูลดังกล่าว ก็ยังกริ่งเกรงว่านิสัยจะไม่ตรงกัน ฐานะทางสังคม เพศ รสนิยม จะไม่ตรงกัน ก็ยิ่งทำให้ไม่กล้าที่จะร่วมรถด้วย

 

จึงขอเสนอวิธีการที่จะช่วย “จับคู่” ให้ร่วมรถกัน หรือ อาจจับกลุ่ม (ที่มากกว่าสองคน) ก็ยังได้ วิธีนี้ใช้ระบบอินเตอร์เน็ต เป็นสื่อกลาง

 

เราจะจัดตั้งระบบข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ให้ผู้สนใจจะใช้ระบบร่วมรถ ส่งข้อมูลของตนเข้ามาลงทะเบียน โดยอาจไม่จำเป็นต้องเผยชื่อนามสกุลจริงก็ได้ (แต่ต้องมีชื่อจริงในระบบลงทะเบียน) ที่เปิดเผยคือ อายุ เพศ บริเวณที่อยู่ บริเวณที่ทำงาน ระดับตำแหน่งหน้าที่การงาน ระดับรายได้  ซึ่งข้อมูลนี้ต้องได้รับการยืนยันตรวจสอบด้วยว่าเป็นข้อมูลจริง (เพื่อกันการล่อลวง)

 

เมื่อมีฐานข้อมูลแล้ว เราจะเปิดให้สมาชิกค้นหาเพื่อนเดินทางที่ตนต้องการร่วมรถด้วย โดยมีระบบค้นหาอัจฉริยะ ที่สามารถค้นด้วยข้อมูลอันหลากหลาย เช่น บริเวณที่อยู่ บริเวณที่ทำงาน  โดยให้มีการค้นหาแบบกรองละเอียดลงไปได้อีก เช่น กรองระดับตำแหน่ง  เพศ อายุ  ระดับรายได้  ไปจนถึงรสนิยมทางการเมือง (เสื้อเหลืองเสื้อแดง)

 

น่าเชื่อได้ว่าหากมีระบบ “หาคู่” เช่นนี้ จะทำให้เกิดการใช้รถร่วมกันอย่างกว้างขวาง เพราะสมาชิกสามารถ “เลือกคู่” ที่ตนชอบได้

 

วิธีร่วมรถนี้นอกจากจะประหยัดแล้วยังได้เพื่อนอีกด้วย บางคนอาจถึงกับได้คู่สมรสก็เป็นได้ แต่ที่สำคัญมันจะช่วยลดการติดขัดการจราจรลงได้มาก เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์ตน และประโยชน์สังคม พร้อมกันไป

 

การ “ส่งลูกไปโรงเรียน” ก็สามารถร่วมรถกันได้ด้วยวิธีนี้  หรือจะผสมทั้งร่วมส่งลูกไปโรงเรียน และร่วมรถกันไปทำงานด้วย ก็ยิ่งได้ประโยชน์หลายต่อมากยิ่งขึ้น

 

 

 

….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๕๕๒)


รถไฟขนาดเล็กเพื่อการขนส่งมวลชนในกทม.

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 June 2011 เวลา 6:37 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1243

รถไฟขนาดเล็กเพื่อการขนส่งมวลชนในกทม.

 

ผมใคร่ขอเสนอแนวคิดรถไฟขนาดเล็กเพื่อการขนส่งมวลชนในกทม. แนวคิดคือใช้รถไฟขนาดเล็ก กว้างประมาณ 1 เมตร วิ่งบนรางที่วางอยู่บนเกาะกลางถนนรถยนต์ ซึ่งมีข้อดีและหลักการทำงานดังนี้

 

  • 1. รถไฟจะสามารถแล่นได้โดยไม่ติดขัดการจราจร และไม่ทำให้การจราจรติดขัดมากขึ้นกว่าเดิม เพราะใช้พื้นที่ว่างแคบๆของเกาะกลางถนนให้เป็นประโยชน์ เชื่อว่ามีถนนหลายสายในกทม. ที่มีพื้นที่เกาะกลางถนนพอที่จะสร้างรางรถไฟได้

 

  • 2. ใช้ระบบคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมควบคุมการเดินทางของรถไฟให้สัมพันธ์กับไฟจราจรของรถยนต์ กล่าวคือ เมื่อถึงแยกที่กำหนด ไฟจราจรจะแดงพอดี ตรงจุดนี้ใช้เป็นสถานีขึ้นลงของผู้โดยสาร ก็ไม่ทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่บางแยกที่ไม่ต้องการหยุดก็ต้องควบคุมให้ตรงกับไฟเขียวพอดี ดังนั้นรถไฟจะแล่นได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีการติดขัดเลย และไม่ก่อให้เกิดการติดขัดของรถยนต์เพิ่มด้วย (ไม่ต้องกั้นด่านถนนเหมือนรถไฟหัวลำโพง) แต่ในทางปฏิบัติอาจต้องกั้นด่านก็เป็นได้ เพื่อบังคับไม่ให้รถยนต์มาหยุดไฟแดงคร่อมรางรถไฟ ซึ่งการกั้นด่านนี้จะไม่ทำให้รถยนต์ติดเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นช่วงที่รถจะต้องติดไฟแดงตามปกติอยู่แล้ว

 

  • 3. การวิ่งรถให้วิ่งทางเดียว แล้วยูเทิรนกลับไปยังถนนอีกสายที่คู่ขนานกัน ซึ่งก็ยูเทิร์นกลับมาบรรจบทางสายเดิม เป็นวงจร เหมือนวิ่งรอบสนามบอล รถไฟคันหนึ่งจะวิ่งหลายรอบต่อเนื่อง ก่อนหยุดพักที่สถานีพักรถ

 

  • 4. รถแบบนี้จะมีราคาถูกมาก เพราะว่าวิ่งบนดิน ไม่ได้ลงใต้ดินหรือลอยฟ้าแต่อย่างใด อีกทั้งการก่อสร้างก็ง่าย รวดเร็ว ไม่ก่อให้เกิดการจราจรติดขัดในขณะสร้าง เพราะคนงานสามารถทำงานบนเกาะกลางถนนได้

 

  • 5. จะมีการสร้างรถไฟขนาดเล็กจำนวนมาก ควรตั้งเป็นบริษัทของคนไทยเพื่อผลิตเสียเลย จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจชาติมหาศาล เพราะยังสามารถส่งขายไปยังเมืองต่างๆทั่วโลกได้อีกด้วย

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๕๕๒)


ฟ้องศาลโลกขอหินคืน

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 14 June 2011 เวลา 8:08 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1203

ฟ้องศาลโลกขอหินคืน

 

หินที่ใช้สร้างปราสาทพระวิหารนั้น มีหลักฐานแน่ชัดว่าขุดตัดมาจากดินแดนในฝั่งไทย

 

ดังนั้นเราน่าจะใช้เป็นประเด็นในการฟ้องศาลโลก เพื่อขอหินคืน  

 

จริงอยู่ศาลยกปราสาทให้เขมร แต่ต้องยกหินที่สร้างปราสาททั้งหมดคืนให้เรา อันนี้มีหลักฐานแน่ชัด ดิ้นไม่หลุด

 

ถ้าคนสร้างบ้านในที่ดินของเขา แต่ไม้ที่สร้างนั้นขโมยตัดมาจากป่าเรา ..แบบนี้เราฟ้องศาลขอไม้เราคืนได้ไหม ..พร้อมค่าปรับ เพื่อชดเชยความเสียหาย

 

 

….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๒๕๕๓)


ศรีสะเกษ ฟ้องศาลโลก กรณีเขาพระวิหาร

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 14 June 2011 เวลา 8:03 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1218

ศรีสะเกษ ฟ้องศาลโลก กรณีเขาพระวิหาร

 

ผมไม่ทราบว่าทำได้หรือเปล่า แต่เชื่อว่ากฎหมายมีช่องโหว่ให้ทำอะไรแปลกๆได้เสมอ โดยเฉพาะกฎหมายโลก มันคงเขียนขึ้นมาแบบหลวมๆ กว้างๆ ไม่ได้รอบคอบอะไรนักหรอก ย่อมมีช่องโหว่มากเป็นพิเศษ  

 

มูลเหตุที่ทำให้กำเนิดศาลนี้เดาว่าก็คงเพื่อตัดสินคดีอันเป็นผลพวงของการล่าอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสนั่นแหละ  เพราะสองชาตินี้มีอำนาจมากใน UN อีกทั้งได้ทำระยะตำบอนไว้มากในโลกนี้ ทำให้มีข้อพิพาทระหว่างกันมากในเรื่องของดินแดนที่ไปแด๊กซ์เขามา รวมทั้งในอินโดจีนที่ไทยเรารับกรรมมาเต็มๆ

 

ถ้าฝรั่งเศส ไม่เข้ามายึดดินแดนแบบหมาป่าลูกแกะ ป่านนี้ อย่าว่าแต่เขาพระวิหารเลย แม้แต่นครวัด ก็ยังเป็นของเรา

 

อีกทั้งคดีที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่มีอายุยาวนานนับพันปี มันยิ่งละเอียดอ่อน จะมาตัดสินกันด้วยเส้นเขตแดนที่รังวัดกันด้วยเวลาหนึ่งวันอย่างเดียวไม่ได้หรอก

 

 และถ้าวัดกันตามหลักสากลด้วยสันปันน้ำแล้วก็ยังน่าฉงนว่าจะเป็นของใครกันแน่ โดยเฉพาะเขตแดนดังกล่าวก็มีความอยุติธรรมอยู่มาก เนื่องจากเป็นผลพวงของการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจ ซึ่งเป็นลัทธิที่เลวร้ายที่สุดในตัวของมันเองอยู่แล้ว  ดูสิ..ฝั่งขวาแม่น้ำโขง   (จังหวัดไชยบุรีของสปป.ลาว)  มันควรต้องเป็นของไทยตามหลักสากลของการแบ่งด้วยแม่น้ำหลัก คือแม่น้ำโขง แต่ฝรั่งเศสก็ใช้อำนาจปืนเรือ “ลามอตปิเกร์” ขีดเว้าเข้ามาแบ่งไปเป็นของฝรั่งเศสได้อย่างสบายใจ

 

ขอให้ลืมเรื่องเขตแดน สันปันน้ำ และอำนาจปืนเรืองี่เง่าไปสักครู่  ขอให้หันมาพิเคราะห์มิติด้านจิตวิญญาณบ้าง ผมเชื่อว่าปราสาทฯนี้สร้างโดยชาวศรีสะเกษโบราณอย่างแน่นอน เพื่อใช้เป็นศูนย์ยึดเหนี่ยวด้านจิตวิญญาณ เพราะคนเสียมราฐ (ในเขมร) ไม่มีทางปีนเขาขนหินก้อนใหญ่ขึ้นมาสร้างได้ อีกทั้งบันไดทางขึ้น ก็หันมาทางศรีสะเกษ ซึ่งแสดงว่าชาวศรีสะเกษโบราณเป็นผู้ใช้วิหารนี้

 

ดังนั้นโดยหลักสากล คนศรีสะเกษปัจจุบัน ซึ่งเป็นลูกหลานของผู้สร้างและผู้ใช้ปราสาทนี้ย่อมต้องเป็นเจ้าของปราสาทนี้ ตามหลักการสากลแห่งการรับมรดก ที่ฝรั่งเศสเองก็ใช้เป็นเหตุผลในการอ้างเอาเขมร และลาวไปจากไทย โดยอ้างว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากเวียตนามซึ่งเคยปกครองลาวและเขมรมาก่อน

 

ตามมาตรา ๖๖ ของรธน.ไทย ได้ให้สิทธิท้องถิ่นในการพิทักษ์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหลักสากลอยู่แล้วด้วย เชื่อว่าศาลโลกจะฟังชาวศรีสะเกษในเรื่องนี้ โดยเฉพาะกรณีเขาพระวิหารเป็นความกันในสมัยรัฐบาลเผด็จการที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของชาวศรีสะเกษอย่างแท้จริง ก็ยิ่งเป็นประเด็นที่สามารถใช้อ้างได้ว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นตัวแทนอันชอบธรรมในกรณีพิพาทนั้น

 

หลายท่านอาจโต้ว่า เรื่องมันแล้วไปแล้วอย่าไปรื้อฟื้นเลย มันจะเสียความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกหลายท่านที่เป็นฝ่ายนกพิราบก็จะหาว่าผมเป็นเหยี่ยวที่น่ารังเกียจ ซึ่งมันไม่ใช่เลย ผมเป็นเพียงคนที่รักความถูกต้องยุติธรรมเท่านั้นเอง  เช่น

ผมคิดมานานนับ 30 ปีแล้วว่าเขตแดนประเทศในโลกนี้ไม่ควรจะมีด้วยซ้ำไป เพราะนกพิราบหรืออีเหยี่ยวจากฝั่งไทยหรือเขมรมันก็บินไปขี้รดปราสาทเขาพระวิหารได้เท่าเทียมกัน ไม่ว่าศาลโลกจะตัดสินคดีความได้งี่เง่าอะไรสักปานใดก็ตาม

 

เขาพระวิหารแห่งนี้            สร้างโดยคนศรี-

สะเกษในเขตแดนไทย

อีกทั้งทิศทางบันได           ก็ยังหันไป

สู่ในเขตแคว้นแดนเรา

ขะเหมนที่มาอ้างเอา          อยู่ต่ำตีนเขา

ไกลเงาเขาพระวิหาร

เผ่าไทยอยู่มานมนาน        บ้านเชียงโบราณ

สร้างบ้านแปงเมืองสืบมา

พิมายพนมรุ้งงามตา          นมนานหนักหนา

สร้างมาก่อนนะคอนวัด

คือเครื่องชี้เห็นชัดชัด         เป็นเครื่องผูกมัด

นครวัดนั้นสร้างตามเรา

บัดนี้รัฐไทยโง่เขลา            คิดแบบงี่เง่า

ยกเขาให้เป็นเจ้าของ

ตื่นเถิดเพื่อนไทยทั้งผอง    ตื่นมาเรียกร้อง

เอาของไทยเดิมคืนมาฯ

 

 

ทวิช จิตรสมบูรณ์



Main: 0.16865110397339 sec
Sidebar: 0.020724058151245 sec