เห็นแล้ว..ขอซูฮกให้
เช้านี้อากาศแห้ง มองออกไปนอกหน้าต่างห้องพักก็เห็นตึกรามในเมืองหนาแน่นไปหมด บริเวณหน้าโรงแรมยังมีที่ว่างดูโปร่งตา เติมท้องกันอิ่มแล้ว ก็รวมพลขึ้นรถไปชมวังเก่าบนเขากัน ตามหาพี่อวบจัดการเรื่องยาและดูอาการแล้ว เมื่อพี่อวบบอกว่าไปด้วยไหว พวกเราก็พากันออกเดินทาง
บรรยากาศของตัวเมืองตอนเช้า มีอะไรหลากหลายให้ได้มองดูและเรียนรู้ เส้นทางที่รถพาวิ่งผ่านเป็นเส้นเดียวกับเมื่อวาน รถวิ่งผ่านวังสายน้ำเลยขึ้นไปบนเขา ทิวทัศน์ที่เห็นมีกำแพงเป็นแนวเลื้อยขึ้นเขา เป็นกำแพงแขกที่มีหน้าตาไปคล้ายกำแพงเมืองจีนอย่างไรอย่างนั้น เหลียวมองกลับลงมาที่พื้นล่างก็เห็นตึกรามในเมืองหนาแน่นสมเป็นที่อยู่ของคน ๒ ล้านคน
แถวบนทิวทัศน์ของเมืองที่มองลงมาจากหน้าต่างโรงแรม ขวาสุด-อาคารโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งในเมืองนี้
วังนี้ในอดีตเขาว่าผู้ชายขึ้นไปไม่ได้ ขึ้นได้แต่ผู้ปกครองรัฐ ครอบครัวและผู้หญิง อยู่บนเขาสูงชันประเภทต้องแหงนคอมองทะลุฟ้านั่นเลยจึงเห็นยอดหลังคาวังและยอดเขา
ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง ๑๑ กม. มีทะเลสาบอยู่ใกล้แห่งหนึ่ง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๑๓๕ ใช้เวลาสร้างผ่านยุคของ ๒ พระราชา ปีที่สร้างบ้านเรามีศึกยุทธหัตถีพอดี อายุวัง ณ วันนี้ก็เกือบ ๕๐๐ ปีแล้ว
กำแพงเมืองที่เห็นเหมือนกระดูกงูเลื้อยยาว ๑๓ กม. สูงเท่ากำแพงเมืองจีนหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าสร้างในช่วงเดียวกับการสร้างกำแพงเมืองจีนระยะที่ ๔ และแล้วเสร็จก่อนกำแพงเมืองจีนจะแล้วเสร็จทั้งหมด เมืองจีนมีราชวงศ์หมิงปกครองอยู่
ในยุคซึ่งที่นี่ปราศจากการสงคราม บ้านเราก็สงบจากสงครามด้วยเช่นกัน
ทิวทัศน์และสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนที่ตลาดจูรี เมืองชัยปุระ
เพิ่งรู้ว่าพระญาติผู้ใหญ่ของพระราชาผู้สร้างวังนี้ปกครองแผ่นดินในยุคเดียวกับพระเจ้าอัคบาร์มหาราชและเป็นเืพื่อนสนิทกัน
มิน่าละพระเจ้าอัคบาร์จึงทรงเข้าใจความเป็นฮินดูและพยายามลดความขัดแย้งระหว่างฮินดูและมุสลิมด้วยการผสมผสานขึ้นเป็นศาสนาใหม่ มิน่าละศิลปะของเมืองชัยปุระผสมผสานระหว่างฮินดูและอิสลาม
เข้าใจแล้วละว่าสันติสุขของแผ่นดินในยุคของพระเจ้าอัคบาร์เกิดขึ้นเพราะน้ำมิตรของผู้นำที่มีต่อกันจนเกิดความเข้าใจกันนี่เอง
ยามเช้า…การค้าริมถนนของเมือง ซ้ายที่ ๒-ตลาดขายส่งนมจากเต้า กลาง-ร้านขายสมุนไพร ร้านเหล่านี้อยู่ชั้นล่างของตัวตึกข้างบน
ขึ้นสูงไปจนใกล้ยอดเขา เหลือบตามองลงมาที่พื้นต่ำจะเห็นแอ่งน้ำขังคล้ายๆบึง ฉันเดาว่าแอ่งนี้ทำหน้าที่แก้มลิงรับน้ำที่ไหลจากที่สูงไว้ และน้ำเหล่านี้แหละที่ถูกนำไปใช้ต่อทำระบบชลประทานในพื้นที่
มองไปไกลก็เห็นช้างตัวหนึ่งเล่นน้ำอยู่ในบึงนั้น น้ำที่เห็นไม่ลึกมาก ระดับความลึกแค่ล้นท้องช้างขึ้นมาข้างตัวหน่อยเท่านั้นเอง
ช้างลงไปอาบน้ำเล่นได้อย่างนี้ สงสัยจริงว่าทั้งคนทั้งช้างใช้น้ำจากแหล่งเดียวกันหรือเปล่า
ภาพยามเช้า….๒ ภาพซ้าย-ที่ทำงานตำรวจจราจร กลาง-โรงหนัง ๒ ภาพขวา บรรยากาศอีกมุมหนึ่งของตลาด
ซ้ายและกลาง-บรรยากาศตรงตีนเขา ขวา-เจดีย์ในถิ่นกลางเมือง หน้าตาคล้ายๆเจดีย์บ้านเรา
ตรงยอดเขาที่รถปล่อยให้เราลงรอกันนั้น มีคนกลุ่มหนึ่งยืนกันอยู่แล้วจำนวนไม่น้อย บ้างยืนอยู่บนพื้นหิน บ้างนั่งอยู่บนคอช้าง
พวกเราเพิ่งรู้ว่าจะขึ้นไปวัง ต้องให้ช้างพาขึ้นไปก็ตอนนี้เอง
ลืมบอกไปว่าวังนี้ชื่อว่า “พระราชวังแอมเปอร์” สร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของเจ้าชายจากัต ซิงห์ เขยประเทศไทยชาวอินเดีย เจ้าของมรดก ๘ พันล้านที่เคยเล่าให้ฟัง
ทิวทัศน์วังบนเขาถ่ายเมื่อเวลา ๘.๓๐ น. วันจันทร์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๓
วังแห่งนี้มีรูปแบบเป็นป้อม น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ ๙ บล็อกที่เมืองชัยปุระถูกวางผังเมืองไว้
พระราชาผู้สร้างเมืองทรงรอบรู้เรื่องดาราศาสตร์ คณิตศาสตรื และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ จึงทรงนำวิชาเหล่านี้มาผสมผสานกันแล้ววางผังเมือง
ในผังจัดสรรพื้นที่ไว้ ๙ บล็อก ๒ บล็อกสำหรับราชการใช้เป็นพระราชวังและอาคารรัฐ อีก ๗ บล็อกกระจายแบ่งให้ประชาชนใช้ มีกำแพงเมืองเป็นป้อมปราการซึ่งมีประตูทั้งหมด ๗ ประตู
อ่างเก็บน้ำของวังมุสลิมอยู่ในวังแต่วังฮินดูอยู่ล้อมรอบตัววัง อะไรทำให้ ๒ พระราชาคิดต่างกัน…น่าสนใจ
ซูฮกให้กับวิธีคิดของผู้นำที่ให้ใจแบ่งปันให้ผู้คนสามารถมีที่อยู่ที่ทำกินได้ กลับมาดูผู้นำบ้านเราแล้ว ไม่รู้ใครโบราณกว่าใครในเรื่องนี้
อิทธิพลของวิธีคิดเรื่องการยอมรับความต่างในการนับถือศาสนาของพระราชา ๒ พระองค์ที่ส่งทอดต่อไปจนถึงทายาทรุ่นที่ ๒ พระบิดาของพระเจ้าชาห์จาฮันและทายาทรุ่นที่ ๓ คือพระเจ้าชาห์จาฮันด้วย
แผ่นดินในยุคของพระราชาทั้ง ๔ พระองค์ จึงมีสันติสุขตลอดมา ต่างจากแผ่นดินของทายาทรุ่นที่ ๔ คือ พระเจ้าออรังเซป มุสลิมผู้เคร่งซึ่งหวนหยิบวิธีคิดเรื่อง “ต้องเหมือนจนเป็นหนึ่งเดียว” เข้ามาใช้ปกครองแผ่นดิน สงครามกลางเมืองจึงเกิดขึ้น มุสลิมนิกายสุหนี่รุ่งเรืองขึ้น และสืบทอดทายาทมาจนถึงวันนี้
ขอบันทึกก่อนจบไว้ก่อน ว่า ภาษาอูรดูมาจากการผสมกันของภาษาเปอร์เซียกับฮินดู ภาษานี้เกิดขึ้นในยุคเดียวกับเมืองชัยปุระนี้แหละ
๙ สิงหาคม ๒๕๕๓
ความคิดเห็นสำหรับ "เห็นแล้ว..ขอซูฮกให้"