อยู่ร่วมในความหลากหลาย
หลังจากอินเดียเป็นอิสระจากอังกฤษ การปรับตัวหลายเรื่องได้เกิดขึ้น เรื่องหนึ่งที่หนีไม่พ้นก็คือปรับไม่ให้ประเทศตนกลับไปสู่สถานภาพความไม่เป็นเอกราชอีกครั้ง ฉันเชื่อว่าคนอินเดียยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขมขื่นกับการตกเป็นอาณานิคมอยู่มากทีเดียว
ท่านทูตกรุณาเล่าให้ฟังว่า เมื่อได้รับเอกราชแล้ว หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อินเดียครองตนแบบไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และเป็นผู้หนึ่งที่ก่อตั้ง NAM อเมริกามีความสัมพันธ์กับจีนและปากีสถาน อินเดียก็ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียต เมื่อโซเวียตล่มสลายจึงปรับตัวหันมาใกล้ชิดโลกตะวันตกมากขึ้น จนเมื่อปี ๒๕๓๔ ประสบวิกฤตเศรษฐกิจ อินเดียจึงเปิดประเทศมากขึ้นและใช้นโยบายการเมืองหลายทิศทาง (multidirectional diplomacy) เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
อยู่ตรงไหนก็คุยกันไป ชมกันไปได้เรื่อยๆ นี่แหละ สสสส.รุ่น ๒ หละ
การดำเนินทิศทางของประเทศเพื่อให้อยู่รอดและอยู่ร่วมในโลกได้อย่างภูมิใจในตัวเอง ทำให้อินเดียติดอันดับกลุ่ม “ที่สุดในโลก” และ “มหาอำนาจ”อยู่หลายประการ ประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก มหาอำนาจทางทหาร มหาอำนาจนิวเคลียร์ และมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เหล่านี้อินเดียคว้ามาติดยศให้ตัวเองได้หมดแล้ว ผลลัพธ์ชั้นเลิศอย่างนี้จะเกิด วิสัยทัศน์การบริหารประเทศต้องชัดเจน นี่แหละที่ฉันว่าน่าอิจฉาอินเดียละ
ที่น่าอิจฉากว่าอีกก็คือ ค่านิยมที่เขาใช้นำประเทศ ยึดวิถีประชาธิปไตยบนหลักการที่ไม่ใช้ความรุนแรง ให้ความเคารพต่อทุกศาสนา (secularism) สนับสนุนสังคมเปิด อยู่ร่วมกันในความหลากหลาย (Unity in diversity) ของจริงเหล่านี้สัมผัสได้เมื่อมาเยือน เขายึดค่านิยมนี้นำประเทศให้ถึงฝั่งฝันจริงๆ ไม่โม้เอามันอย่างเดียว
เรื่องนิวเคลียร์ของอินเดียก็มีอะไรน่าสนใจ ขณะที่เมืองเรากำลังสนใจเรื่องนิวเคลียร์ในแง่พลังงาน อินเดียไปไกลหลายเรื่องแล้ว เขามีทั้งนิวเคลียร์ทางทหารและพลเรือน หัวรบนิวเคลียร์ที่มีก็ไม่น้อยเลย ๕๐-๙๐ หัวรบ ทัพบก เรือ อากาศสามารถใช้หัวรบนิวเคลียร์ได้หมด มีขีปนาวุธอัคนี ขีปนาวุธปฐวี ขีปนาวุธสุริยาที่ชื่อน่ารักเชียวแต่พอไปติดหัวรบนิวเคลียร์เข้าให้…ฮือ…ฮือ…น่ากลัว
เศรษฐกิจอินเดียอยู่แถวหน้าของโลกตั้งแต่เปิดตัวเองเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจตลาดในปี ๒๕๓๔ จุดเปลี่ยนสำคัญคือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำให้มีนักลงทุนต่างชาติในกิจการไฟฟ้า พลังงานและอุตสาหกรรมต่างๆที่นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ
บรรยากาศที่ปราณีตอย่างนี้ ไม่ใคร่เห็นในอินเดียหรอก…ขอบอกไว้
ภายหลังปี ๒๕๔๗ เศรษฐกิจเติบโตสูงสุดเฉลี่ย ๘-๙ % และเมื่อปี ๒๕๕๑-๒๕๕๒ วิกฤตเศรษฐกิจโลกทำให้เขากระเทือนไม่มาก เขายังรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ได้ที่ ๖-๗ %
ฟังท่านทูตเล่าแล้ว ฉันว่าคนอินเดียนี่มุ่งมั่นใช้ฝีมือช่วยพัฒนาประเทศของเขามากเลย ไม่น่าแปลกใจที่เมื่อพลิกโฉม IT แล้ว ภายในไม่กี่ปีเขาก็สามารถทะยานขึ้นเป็นมหาอำนาจในด้านนี้
ฉันนึกขำตัวเองเวลาเดินไปตามแหล่งการค้า งงกับตัวเองที่เหลียวมองหา accessory และ Hardware (HW) และงงที่ไม่ใคร่เห็นคนอินเดียตามร้านค้าใช้คอมพิวเตอร์เกลื่อนตาเหมือนบ้านเราเล๊ย
ลืมไปว่า IT มีองค์ประกอบ ๓ ส่วน - เครื่อง โปรแกรม และ คน หายงงก็ตอนที่ท่านทูตเล่าเรื่องความเป็นมหาอำนาจทาง IT ให้ฟัง
เดินบ้านเราเพื่อหาซื้อ HW และ accessory ง่ายกว่าหาเข็มเย็บผ้าซะอีก ได้มาแล้วไม่มีความหมายเลยหากไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้เรื่องโปรแกรม คนใช้เป็นไม่มี ไม่รู้ ไม่ชำนาญ
หายสงสัยแล้วว่าทำไมอินเดียเป็นมหาอำนาจทาง IT ได้ ก็เขามี ๒ อย่างที่สำคัญของ IT อยู่เยอะแยะไปหมด นั่น ก็คือ คนรู้ คนชำนาญ แถมยังชำนาญการคิดโปรแกรมซะอีกน่านนนเลย คนอินเดียเก่งเขียนโปรแกรมค่ะ
ฝีมือของผู้นำชาย-หญิงที่เห็นในภาพขนาดไหน พิสูจน์ได้จากผลลัพธ์ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ปรากฏใช่หรือเปล่า
ท่านทูตเล่าว่า ที่เขาเก่งเขียนโปรแกรมก็เพราะเขาเรียนภาษาสันกฤต ท่านเล่าว่าพื้นฐานของภาษานี้สามารถเชื่อมโยงไปสู่การเรียนคณิตศาสตรได้ง่าย มีจินตนาการได้เร็ว เสียดายที่บ้านเราสอนบาลี ไม่สอนสันสกฤตเนอะ
เพราะเขามีคนเก่งซอฟแวร์ เขาจึงเป็นแหล่งรวมศูนย์ของอุตสาหกรรมซอฟแวร์อันดับ ๔ ของโลก เห็นทุนคนของอินเดียหรือยังค่ะ
ในหมู่คนของเขาที่มีถึงพันล้านคน เขามีคนชั้นกลางอยู่ ๔๐๐ ล้านคน มีคนวัยทำงานอยู่ ๕๐% เยอะมั๊ยค่ะ แถมยังมีคนอินเดียโพ้นทะเลอยู่อีกกว่า ๒๕ ล้านคน เห็นทุนมนุษย์ของเขาหรือยัง
ลองเทียบทุนมนุษย์บ้านเราแล้ว ฉันว่ายังไงๆเราก็ไม่ทันเขาหรอก คนบ้านเราทั้งประเทศมีเพียงแค่ ๑๐ กว่าเปอร์เซ็นต์เทียบกับคนชั้นกลางของเขาแล้วทิ้งห่างกันมากเกินไป คนชั้นกลางมีน้อยกว่าอยู่แค่ไหนไม่ต้องพูดถึงเลย แล้วยังมีแถมจิกตีกันไม่เลิกซ๊ากที
อมอะไรมาพูดก็ไม่เชื่อว่าคนที่จิกกัน ตีกัน มีฝันร่วมอยากช่วยนำไทยให้เป็นประเทศแถวหน้าของโลก อ้าว..เอ๊ะ…ไม่ใช่เหรอ
๖ สิงหาคม ๒๕๕๓
« « Prev : มหาวิทยาลัยสร้างชาติ
2 ความคิดเห็น
ทุนมนุษย์คือความสำคัญอันดับแรกนะคะ มีทุนมนุษย์แล้วอย่างอื่นก็จะตามมา
ของประเทศเราการพัฒนาทุนมนุษย์มันเบ้ไม่ทันการณ์ แถมที่อุตส่าห์ส่งไปเรียนจากประเทศที่พัฒนาแล้วยังมัวมาทะเลาะกันว่า school of thought ของใครดีกว่ากัน …แทนที่จะให้อิสระกับความคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เชื่อมั่นบ้างว่าคนอื่นก็คิดดีและทำดีเหมือนกัน….กลับนิยมให้อิสระทางกายไปไหนมาไหนสะดวกแต่จำกัดความคิด ใครคิดไม่เหมือนแม้แต่ใช้คำพูดที่แตกต่างก็ต้องควบคุม
ประเทศที่น่าสนใจอีกประเทศในการให้ต่างวัฒนธรรมอยู่ร่วมอย่างสันติ คือแคนาดาค่ะพี่สาวตา ถือเป็นวาระแห่งชาติเขาเลย คือการมีสัปดาห์ชื่นชมวัฒนธรรมรากเหง้าของตัวเองและของคนอื่น ทั้งประเทศ…และมีกฎหมายเรื่องการไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น รวมทั้งการทำตามกฎหมายเรื่องการอยู่ร่วมนี้ด้วย
ทุกองค์กรเขาจะมีตำแหน่งที่ทำหน้าที่เป็น mediator ความขัดแย้ง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ป้องกันก่อนแล้วค่ะ
ในอีกมุมหนึ่งของการทะเลาะเรื่อง school นั้นก็มีมุมบวกนะน้องสร้อย มุมนั้นก็เป็นมุมดีของคนไทยเรา นั่นคือความกตัญญูที่มีต่อครูบาอาจารย์ เพียงแต่การนำมาแสดงออกไม่เข้ากับกาละเทศะเท่านั้นเอง มันเลยเป็นเรื่อง เรื่องบวกๆอย่างนี้มันเลยนำพาไปสู่การเอาชนะกันเพื่อครู ความรักความกตัญญูที่บริสุทธิ์ที่เป็นความดีความงาม มันก็เลยไม่ให้ผลบวกอย่างที่มันเป็น น่าเสียดายค่ะ
แคนาดามีอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องการจัดการประชากรในสังคมพหุวัฒนธรรม มุมดีของเขานั้นมีตรงที่น้องสร้อยว่านั่นแหละคือ เราสัมผัสเรื่องการอยู่ร่วมอย่างสันติได้ แต่มีคลื่นใต้น้ำนะ อินเดียก็มีคลื่นใต้น้ำนี้ เรื่องของจัมมูร์แคชเมียร์คือปรากฏการณ์คลื่นใต้น้ำค่ะ
ความคิดเรื่องการสร้าง mediator เริ่มแพร่หลายในเมืองไทยแล้วนะน้องสร้อย โดยเฉพาะวงการสาธารณสุขไทย ตั้งแต่มีการทำ HA และเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ก็เริ่มตื่นตัวและสร้าง mediator ขึ้นมา
head และ subhead ward ร.พ.พี่ล้วนผ่านหลักสูตรนี้กันไปแล้ว และเวลานี้ก็อยู่ในช่วงรอให้ประสบการณ์สร้างเขาให้เชี่ยวชาญและเข้าใจบทบาทของตัวเองว่า บทบาทหลักคือ “ป้องกัน” ไม่ใช่ “ตามแก้” ความขัดแย้ง ซึ่งกว่าคนจะเข้าใจความสำคัญของการป้องกันคงอีกนานค่ะ