ความรุ่งเรืองที่คิดต่าง

อ่าน: 1654

แล้วพวกเราก็ถูกนำไปเข้าห้องเรียนอีกแห่ง ที่นี่มีเบื้องหลังของคำเรียกขานที่ขึ้นต้นด้วยคำว่าอนุสรณ์สถาน

สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาว เมื่อเอ่ยถึงหินอ่อนลองนึกดูนะคะว่าสิ่งก่อสร้างที่ท่านรู้จักและสร้างด้วย หินอ่อนมีอยู่ที่ไหนบ้างทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ

ช่วงที่โกดังสินค้าของอังกฤษถูกตั้งขึ้นที่หมู่บ้านกาลีกัต เป็นเวลาที่สมเด็จพระเพทราชาเป็นกษัตริย์ของไทย ช่วงที่โกลกาตาเป็นเมืองหลวงของอินเดียตรงกับยุคสมัยที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานีของไทย  โกลกาตาถูกปลดจากการเป็นเมืองหลวงตรงกับช่วงที่รัชกาลที่ ๔ เป็นกษัตริย์ของไทย

ทิวทัศน์ในรถ ริมถนน และระหว่างเดินทางไปยังสถานที่สำคัญของโกลกาตา

สิ่งก่อสร้างที่พวกเรากำลังมาดูกันมีชื่อว่า “อนุสรณ์สถานวิคตอเรียเมมโมเรียล” มีฐานะเป็นพิพิธภัณฑ์ ไกด์เขาเล่าว่าหินอ่อนที่สร้างอังกฤษนำมาจากรัฐราชสถาน ขนาดยิ่งใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างที่เห็นมาจากความต้องการให้ผู้คนอินเดีย รำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของอังกฤษ จดจำไม่ลืมเหมือนดั่งเช่นจำทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานแห่งความรักขององค์กษัตริย์อินเดีย

สังเกตรูปแบบด้านสถาปัตยกรรมดูเถิด เขามีคำอธิบายว่าเป็นศิลปะสไตล์ยุโรปผสมอิสลาม ส่วนโดมเป็นสไตล์อิตาลี ส่วนที่บอกถึงความเป็นมุสลิมคือส่วนหออาซานค่ะ

หลายที่ที่รถวิ่งผ่านจะเห็นรูปปั้นคนสถาปนาไว้เป็นอนุสาวรีย์ในที่สาธารณะ  ไกด์อธิบายว่าเป็นรูปบุคคลสำคัญที่ช่วยสร้างประเทศอินเดียขึ้นมา

ที่นี่ก็มีรูปปั้นเช่นกัน รูปปั้นสิงสถิตย์อยู่ในบริเวณอาคารใหญ่ที่เห็นนั้นเอง รูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นของพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งอังกฤษ รูปปั้นที่อยู่กลางแจ้งเป็นรูปหล่อสำริด  ในอาคารมีข้อมูลประชาสัมพันธ์ว่ามีรูปปั้น รูปภาพ และอนุสรณ์ถึงพระนาง ซึ่งมีการเก็บค่าเข้าชมด้วย พวกเราไม่ได้เข้าชมเนื่องจากมีสถานที่หลายแห่งที่พวกเราต้องไปสัมผัสเก็บเกี่ยวความรู้อีก

บรรยากาศยามใกล้เที่ยงของพวกเราที่หน้าอนุสรณ์สถานวิคตอเรียเมมโมเรียล

เล่าให้ฟังไปแล้วว่าโบสถ์คริสต์สร้างปลายร.๓  เทียบอายุแล้วอาคารนี้ถือกำเนิดหลังโบสถ์คริสต์  ๖๗ ปี ใช้เวลาสร้าง ๑๕ ปี เริ่มสร้าง ค.ศ. ๑๙๐๖ (พ.ศ. ๒๔๔๙)

เทียบกับพระที่นั่งอนันตสมาคมบ้านเราซึ่งเป็นหินอ่อนเหมือนกัน อาคารรัฐสภาของไทยถือกำเนิดหลังอาคารหลังนี้ ๒ ปี (พระที่นั่งอนันตสมาคมใช้เวลาสร้าง ๗ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๑ - ๒๔๕๘)

มีคนเขาเล่าให้ฟังว่าแรงจูงใจที่ทำให้อังกฤษสร้างอาคารนี้ขึ้นมา มาจากขนาดและความสวยงามของปราสาททัชมาฮาลซึ่งกษัตริย์อินเดียได้สร้างขึ้นได้อย่างสวยงามและยิ่งใหญ่มาเกือบ ๓๐๐ ปีก่อนอังกฤษจะเข้ามาครอบครองอินเดีย

รูปปั้นที่เห็นหน้าอาคารต้องการสื่อความหมายว่า อังกฤษเป็นเจ้าโลก เหนืออำนาจ อาณานิคมแห่งจักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยอัสดง

อาคารที่เห็นข้างหลังนั้น มีอายุเท่าๆกับพระราชวังดุสิตของไทยซึ่งสร้างขึ้นในช่วงที่ ร.๕ ขึ้นครองราชย์แล้ว

พวกเรามาถึงที่นี่ใกล้เที่ยงแล้ว แดดร้อนเปรี้ยงอย่างไร ลองดูจากในภาพกันเองนะคะ ฉันเองในตอนแรกอวดดีว่าทนแดดร้อนได้ พาตัวเดินลงไปแบบขอสู้แดด ไม่มีร่ม ไม่มีหมวก ไม่ติดผ้าคลุมไหล่ติดตัวไปด้วย แถมใส่สูทเขียวเข้าให้อีก

ระยะแรกที่ลงไปเยี่ยมๆมองๆเล็งมุมกล้องก็พอทนได้อยู่หรอก แต่เดินเลยลึกเข้าไปก็เริ่มไม่ไหวแล้ว เหงื่อซึมในเสื้อจนระคายตัว แดดที่ร้อนแรงส่องหัวจนร้อน นึกขึ้นได้ว่าในกระเป๋ามีผ้าพันคอผืนเล็กซุกไว้

ค้นกระเป๋าได้มาก็คลุมหัวผูกคางไว้ ทำตามอย่างที่เคยเห็นรุ่นแม่ๆทำให้เห็นตอนยังเด็ก ซองใส่กล้องหล่นจากมือไม่รู้ตัว รู้ตัวเดินกลับมาหาก็ไม่เจอแล้ว คนเก็บไปไวจริงๆ

มองไปรอบๆอาคารจะเห็นสวนกว้างมีต้นไม้ปลูกเป็นหย่อมๆ มีบางต้นสูงไม่พ้นศีรษะ มีบางต้นสูงเลยศีรษะ มีบึงน้ำ ที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกเย็นขึ้นบ้าง แต่เพราะแดดยามใกล้เที่ยงเป็นเหตุ ความร้อนอ้าวจากเสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นอีกเหตุ พวกเราหลายคนจึงต่างคนต่างรีบจ้ำเดิน และในที่สุดก็มีกลุ่มที่ยอมแพ้เลี่ยงพาตัวไปแฝงตัวที่ใต้ต้นไม้รอเพื่อนๆ

มีบรรยากาศสีเขียวช่วยลดความร้อนแรงที่ระอุอยู่โดยรอบพื้นที่

บริเวณสวนที่เห็นกว้างสุดสายตา เมื่อเดินลึกเข้าไปไม่ได้ยินเสียงแตรรถจากถนนค่ะ มีผู้คนมาเที่ยวชมจำนวนหนึ่งเดินสวนทางย้อนมาถึงแม้ที่นี่จะมีต้นไม้ใหญ่และกว้าง แต่ก็แปลกค่ะที่ไม่เห็นเพื่อนเก่าสักกะตัว

สัมผัสที่ได้จาก “ความร้อนระอุ” ทำให้ฉันเริ่มเข้าใจว่าทำไมน้องจ๋าจึงห่วงใยจัดหาเสื้อผ้ามาเผื่อด้วย อากาศอย่างนี้ แดดร้อนอย่างนี้สร้างเหงื่อดีนักเชียว ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมคนภารตะจึงกลิ่นตัวแรงและนิยมใส่เสื้อผ้าแบบหลวมโคร่งเบาหรือบาง

ที่นอกรั้วของสถานที่แห่งนี้ มีทหารกลุ่มหนึ่งยืนจับกลุ่มกันอยู่ เพื่อนบางคนเดินเข้าไปขอถ่ายภาพด้วยเฉยเลย  เขาก็ปฏิเสธกลับมาเฉยเหมือนกัน  เมื่อถ่ายภาพกับทหารไม่ได้ก็หันไปชวนพรรคพวกถ่ายภาพกันเองระหว่างรอ

แล้วผู้ใหญ่ก็เริ่มสวมวิญญาณเด็กกันมากขึ้นๆ  สงสัยต้นไม้ที่นี่ทนความร้อนไม่ไหวเลยดันอิฐทางเท้าซะแตกโหม๊ดเลย

ไม่ได้สังเกตว่าแถวนี้มีขยะเกลื่อนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคือไม่เห็นถังขยะและห้องน้ำ แถมได้กลิ่นของแอมโมเนียระหว่างเดินบนฟุตบาทด้วยซึ่งมีคนบอกมาก่อนแล้วว่าเจอแล้วไม่ต้องแปลกใจ

๔ สิงหาคม ๒๕๕๓

« « Prev : ชะโงกทัวร์วิถีคริสต์

Next : พบกงสุลใหญ่โกลกาตา » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.10883092880249 sec
Sidebar: 0.54797196388245 sec