ระวังตาเข

โดย สาวตา เมื่อ 5 มิถุนายน 2010 เวลา 12:28 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สสสส.๒, สังคม, เล่าสู่กันฟัง #
อ่าน: 1251

เมื่อครั้งที่น้องฑูรและพ่อครูไปเป็นนักเรียนโข่งรุ่น ๑  น้องฑูรเคยเล่าเรื่องของวิทยากรผู้หนึ่่งเอาไว้และบอกว่าท่านมีอะไรที่ชวนให้นั่งเรียนด้วยอย่างสนุกด้วยลูกฮาที่ท่านมี

วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๓ นักเรียนโข่งรุ่นฉันก็ได้ประจักษ์กับหูประจักษ์ตาในความสามารถเรียกเสียงฮาของวิทยากรที่เอ่ยถึงข้างบน  ชั่วโมงที่เรียนกับท่านเป็นชั่วโมงต่อเนื่องจากอาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร ท่านคือผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ค่ะ

บรรยากาศของวันที่เรียนกับอาจารย์เปลี่ยนไปจากเดิมๆตรงที่ อาจารย์ให้ย้ายห้องเรียนไปนั่งเรียนกันอีกห้อง ไม่มีโต๊ะนั่งเรียน มีแต่เก้าอี้ล้อมเป็นวงกลมไว้สองวง

คนที่เข้าห้องก่อนต่างเลือกที่นั่งในวงกลมวงนอก ปล่อยให้วงในว่างไว้ สังเกตดูเหอะดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นวัฒนธรรมไปแล้วกับการหาที่นั่งเรียนตามจริตของคนวัยทำงานเนอะ

และแล้วเมื่อถึงเวลาเรียน เหอๆๆๆ…..หลายคนก็แป่วเมื่ออาจารย์ไม่ยอมให้วงหน้าว่าง เรียกให้แต่ละคนพิจารณาการเข้ามานั่งวงในใกล้ๆอาจารย์….ฉันว่าที่อาจารย์ไม่ยอมให้นั่งวงนอกกันก็เพราะว่า ชั่วโมงเรียนนี้มีชื่อว่า “การใช้ประชาเสวนา” ในพื้นที่ความขัดแย้ง ก็เป็นได้นะคะ

แล้วอาจารย์ก็เริ่มสร้างสัมพันธภาพเพื่อให้พวกเราเปิดใจเรียนร่วมกัน  ความเป็นกันเองของอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง ดูได้จากภาษากายของเพื่อนๆพี่ๆค่ะ

อาจารย์ตกลงกติกากับพวกเราด้วยว่า อาจารย์จะทำอย่างไรหากพวกเราคนใดคนหนึ่งกำลังรับโทรศัพท์ แล้วอาจารย์ก็ทำจริงๆค่ะ

อ๊ะๆ รู้นะคิดอะไรยู้ เดาผิดแล้วค่ะ อาจารย์แค่ลดเสียงคุยกับคนที่เหลือเบาๆจนแทบไม่ได้ยินแบบเกรงใจคนรับโทรศัพท์เท่านั้นเอง แค่ทริกที่อาจารย์ทำอย่างนี้ก็ทำให้คนมีความสุขแล้วค่ะ  ไม่เชื่อดูกับตาเองได้เลยค่ะ

อาจารย์เริ่มต้นด้วยชวนทำความรู้จักกับความหมายของภาษาที่ใช้กันในแวดวงสันติวิธีอีกนั่นแหละค่ะ คำแรกที่นำมาคุยกันก็เป็นคำที่ฮิตคำนี้ค่ะ “การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม”  มีความหมายว่าอย่างไร อ่านกันเองแล้วกัน  ต่อด้วยคำอีกคำที่คุ้นหูค่ะ

อาจารย์เล่าเรื่องการทำประชาพิจารณ์ให้ฟังสั้นๆว่าอเมริกาเลิกทำไปนานแล้ว  แล้วตบท้ายด้วยการแลกเปลี่ยนมุมมองไว้ว่า ถ้าต้องการให้เกิดความขัดแย้งให้ทำประชาพิจารณ์ เพราะประชาพิจารณ์เป็นเวทีของการโต้วาทีกัน (debate) ใครไม่เชื่อก็นำไปวิเคราะห์เปรียบเทียบกับความรู้ของตัวเองแล้วกันค่ะ

แล้วอาจารย์ก็พูดต่อเรื่องมุมมองต่อการเจรจาประวัติศาสตร์ ๒ ครั้งที่เกิดขึ้นที่สถาบันพระปกเกล้าแห่งนี้ อาจารย์ออกความเห็นว่าถ้ามีการแบ่งแยกขั้ว แบ่งข้าง การเจรจาก็ต้องมีคนกลาง

ส่วนเวลาคุยกันแล้วมีการขอใช้สิทธิพาดพิง ให้รอ ไม่ควรใช้สิทธิทันที เพราะใช้สิทธิทันทีเมื่อไร ก็พาตัวก้าวเข้าสู่การโต้วาทีทันทีเมื่อนั้น

อาจารย์แนะให้เห็นมุมใหม่ว่าที่โต้กันนั้นส่วนใหญ่เกิดเพราะอารมณ์  และที่อาจารย์ให้รอก็เพื่อให้สิ่งที่ควรเกิดขึ้น เกิดขึ้นมา สิ่งนั้นคือ dialogue ค่ะ

แล้วอาจารย์ก็ชวนให้รู้จักคำเพิ่มขึ้นอีก เป็นคำเหล่านี้ค่ะ

อาจารย์แบ่งปันว่า dialogue ไม่สามารถนำไปถึงการประชาเสวนาเพื่อหาทางออก ยังเป็นแค่การฟังๆๆๆๆ  ที่อาจารย์บอกว่า dialogue ยังเป็นแค่ฟังๆๆๆ เพราะอาจารย์แบ่งระดับการฟังไว้ดังนี้

ระดับที่ ๑  รับรู้ รวบรวมข้อมูล download data

ระดับที่ ๒  ฟังแบบศาล คือ ฟังแล้วโต้หรือแย้ง ( debate)

ระัดับที่ ๓  สานเสวนา ( dialogue) ฟังแบบตั้งใจ ได้ยินแบบมองตาก็รู้ใจ เข้าใจแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา (deep listening)

ระดับที่ ๔  ฟังแล้วจึงเห็นทางเลือก เห็นทางเลือกแล้วจึงตัดสินใจ (deliberate)

มีคำพูดหนึ่งที่อาจารย์เล่าออกมาสั้นๆ “นักเจรจาไกล่เกลี่ยต้องไม่ตาเข” ตรงนี้ทำให้เอะใจมั๊ยค่ะว่าอาจารย์กำลังสื่อเรื่องอะไร เมื่อฉันกลับไปทวนที่อาจารย์เล่ามาเรื่อยๆ  ฉันเอะใจค่ะว่า อาจารย์กำลังบอกนัยยะเตือนการฟังของนักเจรจาด้วยหรือเปล่า??????????????….. ใครก็ได้ช่วยสรุปหน่อยค่ะ

ถ้าใช่ก็แปลว่าผู้จะทำหน้าที่เจรจาพึงฝึกฝนตนให้ระดับการฟังถึงระดับที่ ๔ ไปด้วยซิน่า

เมื่ออาจารย์แบ่งปันต่อว่า นักเจรจาไกล่เกลี่ยควรแสดงออกด้วยภาษากายว่าฟังอยู่ ซึ่งอาจารย์ก็มีลูกเล่นทำให้ดูค่ะด้วยการ ฟังไป พยักหน้าไปแล้วทำเสียง อือ ฮึ..ฮึ..อือม์…….ก็ทำให้บรรยากาศการเรียนชวนฮาหมือนที่อัยการชาวเกาะเคยเล่าให้ฟังไม่มีผิดเลย…มีภาพยืนยันความฮาด้วยค่ะ….อิอิ

« « Prev : ไม่สนความต่าง

Next : เพิ่มความเข้าใจ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 มิถุนายน 2010 เวลา 14:14

    ดูจะเรียนสนุกนะคะ

  • #2 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 มิถุนายน 2010 เวลา 17:22

    อาจารย์หมอวันชัย เคยเป็นกรรมการ RDI ที่คนข้างกายทำงานอยู่ ผมเองก็เคยเป็นกรรมการคู่กับท่านในนาม NGO แต่ก่อนสำนักสันติศึกษาที่ มข.ก็อยู่ที่ตึก RDI ลูกสาวท่านก็เปิดโรงเรียน HUG school ที่น้องออตเป็นครูสอนศิลปกับเด็กอยู่ ศรีภรรยาท่านก็เปิดโรงเรียน Bilingual school ที่ชื่อ KKVS หรือขอนแก่นวิเทศศึกษา เอาฝรั่งจาก NZ มาสอนเด็กไทยที่ขอนแก่น ลูกสาวผมก็เคยเรียนที่นี่ 1 ปีก่อนไปต่อ NZ วันเสาร์-อาทิตย์ ท่านก็จัดรายการวิทยุ เราก็ฟังท่านอยู่

    ท่านเป็นคุณหมอที่มาโดดเด่นเรื่องกระบวนการเรียนการสอน หลักคิดต่างๆ โดยเฉพาะแนวทางสันติศึกษา ครับ ช่วงหลังไม่ได้ติดตามงานของท่านเลยครับ

  • #3 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 6 มิถุนายน 2010 เวลา 10:20

    บรรยากาศเรียนสนุก ลุกนั่งสบายจังค่ะ

    เรื่อง “ไม่ตาเข” นี้ น่าจะหมายถึง นอกจากต้องพัฒนาระดับการฟังจนถึงระดับที่ 4 แล้ว ยังต้องพัฒนาการรับรู้ (มอง-เห็น) ให้ถูกต้องเที่ยงตรง ไม่มีอคติ (bias) อีกด้วย

    จะแอบตามพี่เข้าห้องเรียนบ่อย ๆ นะคะ

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 มิถุนายน 2010 เวลา 23:57

    น้องสร้อยจ๊ะ ชั่วโมงนี้ฟังเพลินเลยค่ะ อาจารย์มีมุกเยอะจริงๆ  อ่านหนังสือที่เขียนกับฟังจากเจ้าตัวนี่อารมณ์คนละเรื่องเลยเชียว

  • #5 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 มิถุนายน 2010 เวลา 0:04

    พี่บู๊ทค่ะ จำได้ว่าตอนที่เจออาจารย์โสรีช์ และได้คุยถึงอาจารย์หมอ อาจารย์โสรีช์ท่านบอกว่า แนวทางของอาจารย์หมอ อาจารย์ยังไม่เรียกว่าเป็นสันติวิธีที่แท้จริงค่ะ น้องก็น้อมรับมาแบบฟังหูไว้หู ฟันธงแค่ว่าเป็นการบอกเล่าจากการมองต่างมุมที่ช่วยสะกิดว่า มีมุมต่างและมุมเหมือนอยู่ในหลักคิดของอาจารย์ ๒ ท่าน ส่วนอะไรต่าง อะไรเหมือนนั้น น้องก็คงต้องตามเรียนรู้ต่อไปค่ะพี่  โชคดีที่อาจารย์ไม่ใช้คำว่า “…เฮงซวย” ……อิอิ

  • #6 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 มิถุนายน 2010 เวลา 0:08

    น้องจ๋า บรรยากาศอย่างนี้ถูกจริตคนเป็นผู้ใหญ่เน้อ แต่ทำไม๊ทำไม ผู้ใหญ่ไม่ยอมจัดห้องให้อย่างนี้มั่งเลย 

    อืม ตามมาแล้วได้คุยกันด้วยอย่างนี้ ตามมาเลยค่ะ

    ที่แลกเปลี่ยนมานั้นใช่เลยค่ะ  หากการฟังของผู้คนถึงระดับ ๔ ได้ สิ่งที่น้องเอ่ยถึงมันออกมาเองจากคนๆนั้นค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.046835899353027 sec
Sidebar: 0.13090395927429 sec