ก็แค่อยากแถม

โดย สาวตา เมื่อ 1 พฤษภาคม 2010 เวลา 1:03 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สวนป่า, สังคม, เล่าสู่กันฟัง, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 1443

หลักสูตรการฝึกนักศึกษาแพทย์ในครั้งนี้ หมู่เฮาชาวเฮยกหน้าที่ครูใหญ่ให้น้องสุชาดาค่ะ มีอะไรจะให้ทำบ้างก็แล้วแต่ครูใหญ่จะส่งไมค์ให้ แล้วในระหว่างวันก็คุยกันเป็นระยะๆว่า ต่อไปจะทำอะไรร่วมกันไป

กิจกรรมช่วงค่ำ เด็กๆได้เรียนผ่านบทเรียนเส้นทางชีวิต โดยมีครูหมอทุกคนเว้นอาจารย์ที่อาวุโสคนเดียวเข้าร่วมวงเรียนไปด้วย

ก่อนที่อาจารย์จะลงร่วมวงมีความไม่ลงตัวเกิดขึ้นเล็กน้อย  เมื่อชาวเฮ ๒ คนเปิดประด็นความเห็นเรื่องการหล่อเลี้ยงที่เรามองเห็นว่ามีช่องว่างอยู่และควรเติมเต็มให้แล้วน้องสุชาดาและหมู่อาจารย์ตามมุมมองของเราไม่ทัน

เด็กๆรุ่นนี้บอกว่า หนูพับกระดาษให้ได้อย่างนี้ไม่เป็น ผู้ใหญ่อย่างฉันก็บอกเธอว่า “จำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าพับอย่างไร”  คำสนทนานี้ก็บอกถึงการหล่อหลอมที่ได้เกิดขึ้นกับตัวของคน ๒ วัยที่เหมือนกันบ้างมั๊ยนะ

ในช่วงเวลานี้น้องสุชาดาจึงขอเวลานอกตั้งวงสนทนาระหว่างอาจารย์และกระบวนกรเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน  สลับกิจกรรมให้น้องตฤณชวนเด็กๆไปเรียนรู้กับการเล่นถ่ายภาพไฟกันก่อน

การสนทนายืนยันว่าที่ฉันรู้สึกว่ามีช่องว่างที่ควรเติมเต็มผ่านอาจารย์นั้นใช่เลย  เมื่ออาจารย์อาวุโสเล่าถึงความคาดหวังต่อการอยู่ในกรอบของนักเรียนแพทย์ของตน ยิ่งได้ฟังฉันก็ยิ่งเป็นห่วง เด็กๆนั้นไม่ห่วงมากมายเท่าห่วงอาจารย์เลยค่ะ  ห่วงพลังของอาจารย์ที่ต้องการใช้หล่อเลี้ยงตน ห่วงพลังของอาจารย์ที่จะเหนื่อยเพราะใช้ไปกับการพยายามต้านกับการเป็นวัยนอกกรอบของเด็กๆ ห่วงกับความเข้าใจที่อาจารย์มีต่อเด็กๆที่สามารถกลายเป็นกดดันเด็กมากกว่าช่วยเด็กค่ะ

นั่งกันไปๆ ไม่นานจากที่มีเสียงจุ๊กจิ๊กๆก็เปลี่ยนผ่านไปสู่ความเงียบ

ความไม่ลงตัวเกิดจากความบังเอิญของการใช้ภาษาค่ะ เมื่อคำที่ใช้ขอให้ร่วมกิจกรรมกับเด็กๆในวง ใช้คำว่า “ชวนเล่นเป็นเด็กๆกับเด็กๆ”  ได้ยินคำนี้ อาจารย์อาวุโสปฏิเสธทันทีขอไม่ร่วมวง ถึงแม้ฉันแลกเปลี่ยนชวนให้ลองหน่อย ถึงแม้ฉันบอกไปว่า อยากให้ลองเพราะตัวฉันเองเมื่อได้ลงมือลองทำกิจกรรมนี้ครั้งแรก ฉันพบกับความเอะใจตัวเองบางอย่าง ด้วยเป็นคนวัยเดียวกันนี่แหละจึงอยากให้ลอง  คำตอบก็เหมือนเดิม

จนกระทั่งรู้สึกว่าการชวนเริ่มทำให้คนถูกชวนรู้สึกกดดัน คำว่าไม่เป็นไรก็ผุดขึ้นมาให้ฉันหยุดตัวเอง พร้อมจบลงด้วยคำบอกว่า แล้วแต่อาจารย์ท่านไหนจะลองร่วมวงดูก็แล้วกัน ไม่ร่วมวงจะคอยสังเกตอยู่รอบนอกก็ไม่เป็นไร

คุยกันจบก็พอดี น้องตฤณปล่อยเด็กๆกลับมา คืนนี้เราตกลงกันว่าจะทำกิจกรรมภายใต้แสงเทียน เมื่อเด็กๆเข้ามานั่งพร้อมกันแล้ว  ฉันโยนไมค์ให้น้องเพ็ญรับบทนำพา ตอนมอบหน้าที่ให้ทำน้องเพ็ญนิ่งมาก และไม่กล้าปฏิเสธ และฉันเห็นเธอลงมือทำอย่างมั่นใจ

เมื่อกิจกรรมภายใต้แสงเทียน สะกิดให้เอ๊ะ ก็เริ่มชวนให้เดินสงบอยู่กับตัวเองช้าๆ ชวนฝึกใคร่ครวญด้วยการนำพาย้อนอดีต

เมื่อนำพาไปได้สักครู่ สังเกตว่าน้องจิ๋มลงมือนำพาด้วยเป็นครู่แล้วค่อยถอนตัวออกมา มารู้ทีหลังเมื่อคุยกัน น้องเพ็ญบอกว่า “กลัวจนใจสั่นไปหมด” จึงขอให้น้องจิ๋มแทรกตัวลงไปช่วยเพื่อให้เธอได้ตั้งหลัก

เมื่อใช้เทียนก็ต้องปิดพัดลม ก่อนที่ความร้อนของอากาศจะทำลายบรรยากาศดีๆที่ช่วยนำพาให้เด็กๆดำดิ่งลงไปสัมผัสจิตใต้สำนึก ข้อตัดสินใจใช้แสงสว่างจากไฟฟ้าแทนแสงเทียนก็บังเกิดขึ้น พัดลมและไฟฟ้าถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ความร้อนค่อยๆหายไป กระบวนการทำงานกับจิตใต้สำนึกบนเส้นทางชีวิตของเด็กๆยังคงดำเนินไป

เมื่อให้นึกย้อนวัยไปทีละ ๕ ปี จนกระทั่งถึงช่วง ๕ ปีแรกของชีวิต คนเป็นผู้ใหญ่ได้พบกับอะไรบ้าง เด็กได้พบกับอะไรบ้าง ล้วนเป็นสิ่งที่มีความหมายโยงใยกับท่าทียามเผลอและคุ้นชินของเจ้าตัวทั้งสิ้น เชื่อหรือเปล่า

บรรยากาศของวงในตอนนี้มีแต่ความเงียบ ทุกคนอยู่ในภวังค์ดังต้องมนตราที่ตัวเองร่ายขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ครูหมอแต่ละคน

แล้วน้องสุชาดาก็รับไมค์ต่อไปเมื่อเห็นผู้คนทั้งหมดปล่อยวางสีจากมือ ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรกันต่อ แค่บอกให้รู้เวลานัดหมายของพรุ่งนี้เช้า แล้วสลายวง

เด็กผู้หญิงนั่งเชียร์น้องกัน เดอะสตาร์กับหมอสุต่อไปจนรายการจบ เด็กผู้ชายชวนกันกลับที่พักไปดูบอลล์

การฝืนความคุ้นชินเล็กๆที่ช่วยให้ผู้คนได้พบสิ่งที่ตัวเองโหยหาอยู่และไม่รู้ตัว เป็นการเยียวยาที่สร้างกุศลอย่างยิ่ง

ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้านอน น้องเพ็ญกับน้องจิ๋มนั่งถอดบทเรียนอยู่ด้วยกัน ฉันได้อยู่นั่งฟังด้วย คุยกันอยู่นานจนพี่ตึ๋งสงสัยเดินเข้ามาถาม จึงบอกไปว่าน้องเพ็ญกำลังถอดบทเรียนรู้  การนั่งฟังอยู่ด้วยนี่แหละที่ทำให้ฉันรู้ว่า น้องเพ็ญกำลังค้นหาตัวเองอยู่

อาจารย์ ๓ ท่านที่ร่วมวงทำกิจกรรมไปกับเด็กๆด้วย ค้นพบอะไรที่ทำให้อึ้ง-เอ๊ะบ้าง เสียดายที่ไม่ได้รู้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันเชื่อว่าเจ้าตัวพบมันแล้วละ

ต่างคนต่างปลีกตัวกันไปอาบน้ำแล้วก็กลับมานั่งคุยกันต่อ คืนนี้ไม่ได้คุยกับน้องสุชาดาจนกระทั่งเข้านอน มาสวนป่าคราวนี้ นอนที่ลานบ้านชั้นล่างที่น้าชอบนอนนั่นแหละ หลบมุมไม่นอนแช่ใต้พัดลมก็เย็นสบายดี หลับรวดเดียวถึงเช้าเช่นเคย

๒๔ เมษายน ๒๕๕๓

« « Prev : ฝึกวิชาเปิดประตูใจ

Next : รับปากแล้วก็ต้องลงมือ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2010 เวลา 14:26

    รูปในแสงเทียน สวยมากค่ะ ได้เงา โรแมนติกดี แต่นึกถึงสภาพห้องโถงที่สวนป่า..คงร้อนน่าดู..อิอิ

    อ่านที่พี่เขียนแล้ว ย้อนคิดต่อไปถึงสิ่งที่เคยให้นักศึกษาทำ คือการสะท้อนคิด..คนที่เขามีอะไรในใจมาก เขียนหรือเปิดตัวเองได้น้อยและไม่ค่อยมีความสุขกับการมองกลับไปที่ตัวเอง ..แต่จะมีนักศึกษาประเภทที่เรียนไม่ค่อยเก่งผ่านประสบการณ์ผิดหวังมาก่อนมั่ง เหมือนเขาเคยมีภูมิคุ้มกันยอมรับได้ทั้งสำเร็จและล้มเหลว กลับบอกว่ามีความสุขมากที่ได้สะท้อนคิดผ่านการเขียน การวาดรูปฯลฯ …เคยมีหนึ่งราย เธอเปลี่ยนวิธีคิดว่าเธอไม่เก่งทำอะไรก็คงไม่ได้ มาเป็นคนอยากรู้อยากเรียน แถมรับฟังการให้ข้อคิดเห็นจากอาจารย์ได้ดีหลังจากที่ได้เขียนๆๆ สะท้อนคิดมาช่วงหนึ่ง..เธอบอกว่ามีความสุขมากขึ้น..ถึงทุกวันนี้เรียนผ่านไปแล้วเธอก็ยังมีอะไรก็มาเล่ามาบอก ทั้งสุขทุกข์ สาระพัด…เออก็เป็นตัวอย่างเหมือนกันค่ะ

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2010 เวลา 16:52

    อุ๊ยจ๋า ใช่เลยจ๊า วิธีการสะท้อนคิดด้วยการเขียนเป็นเครื่องมือที่เหมาะกับคนที่มีประสบการณ์แบบสุดๆที่ยอมรับตัวเองว่ามีทั้งความสำเร็จและล้มเหลวได้อย่างที่อุ๊ยว่า 

    ใช้ได้กับคนที่มีโลกส่วนตัวสูงที่มองโลกในแง่บวกด้วยนะน้องเอ๋ย

    แต่เครื่องมือนี้ใช้กับคนที่ยังมีอัตตายึดความกลัวไว้แน่น แถมยังมีพฤติกรรมแสดงออกแบบโทษคนอื่นไว้ก่อน ไม่ได้ผลเท่าไรหรอกอุ๊ย

    จะนำไปชวนให้คนประเภทหลังใช้ ก็คงใช้วิธีแค่ทิ้งไว้แบบท้าทายให้ “ลองของ” ด้วยตัวเองแหละอุ๊ย เมื่อเขาเริ่มหันมารับรู้ตัวเอง มันก็สะกิดต่อมเอ๊ะเขาได้บ้างเหมือนกัน


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.1654679775238 sec
Sidebar: 0.21494388580322 sec