รากหญ้าไทยกับสังคมโลก

โดย สาวตา เมื่อ 8 เมษายน 2010 เวลา 0:30 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต, สสสส.๒, สังคม, เล่าสู่กันฟัง, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 1888

เช้าของวันนี้ มีผู้คนพากันมาร่วมเรียนอุ่นหนาฝาคั่ง มีผู้ที่มาใหม่เพิ่มขึ้นอีกซึ่งมีหลายคนที่ไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมปฐมนิเทศที่อยุธยา มีหลายคนที่พาตัวกลับก่อนที่กิจกรรมเรียนรู้โลกภายในของอาจารย์ไร้กรอบจะเริ่มขึ้น

เมื่อวานระหว่างรอเวลาเริ่มเรียนประจำวันกันอยู่นั้น ก็มีการแลกเปลี่ยนว่ามีใครไปทำอะไรมาบ้างหลังแยกจากกันที่อยุธยา มีบางคนบอกว่าหลังจากกลับจากอยุธยาก็ไปร้านหนังสือหาหนังสือมาอ่าน เล่าพลางหยิบหนังสือพลางนำออกมาให้อ่าน เป็นหนังสือ “ฉลาดได้อีก” ของอาจารย์ไร้กรอบนั่นเอง

เห็นภาพนี้แล้วคิดได้อะไร สิ้นคิดอะไรบ้างมั๊ยหนอ

ในห้องเรียนระหว่างรอวิทยากรกันอยู่นั้น น้องปอก็ชวนให้ทำ AAR กับกิจกรรมที่อยุธยา บ้างให้ความเห็นว่ากิจกรรมที่ดำเนินให้นั้นดีแล้ว บ้างให้ความเห็นว่ายังเบาๆไปสำหรับการสลายพฤติกรรม บ้างให้ความเห็นว่ากิจกรรมแบบค่ายลูกเสือก็ดีนะ บ้างก็ออกปากเรื่องความตรงเวลาของวิทยากร บ้างก็ออกปากเรื่องการใช้คำพูดของวิทยากร คุยกันไปคุยกันมาจนวิทยากรของชั่วโมงเช้าพาตัวมาถึงเรื่องคุยกันจึงจบลงโดยปริยาย

เช้าวันนี้ไม่ต้องรอวิทยากรแล้ว ด้วยลุงเอกมาถึงห้องเรียนเช้าพอๆกับนักเรียนโข่ง หลังจากที่เมื่อวานได้หนังสือคู่มือหลักสูตรที่มีประวัติส่วนตัวของทุกคน วันนี้แอบรู้มาว่ามีคนจัดการรายการเซอไพร๊ท์ไว้ด้วย

เมื่อถึงเวลาเรียนตามกำหนดการแล้ว ลุงเอกก็แสดงตัวว่าวันนี้ได้รับมอบหมายให้แสดงบทวิทยากร เริ่มต้นเลยลุงเอกก็เกริ่นนำเรื่องความเห็นที่มีอดีตประธานธนาคารโลกวิเคราะห์การเมืองโลกเอาไว้ จำไม่ได้แล้วค่ะว่าชื่ออะไร รู้แต่ว่าไปพูดที่ซิดนีย์ แล้วจากนั้นก็นำเข้าสู่เรื่องที่จะเรียน หัวข้อที่ลุงเอกสอนเป็นเรื่อง “สถานการณ์ความขัดแย้งจากสังคมโลกสู่รากหญ้าไทย” ค่ะ

ใครเคยว่าลุงเอกขี่ไก่สวมไม้เอก+”แ”….ถอนคำพูดซะนะคะ

มีหลายความเห็นที่ลุงเอกแลกเปลี่ยน ได้ฟังแล้วขอออกปากบอกว่าเป็นมุมมองสังคมไทยที่ไม่ใคร่มีใครพูดให้ได้ยินเลยหละ มุมมองที่ลุงเอกนำมาแลกเปลี่ยนลุงเอกว่าเป็นความรู้ที่มาจากปัจจัตตังแล้วเทียบกับตำราแล้วนำความรู้ที่ตำรามีเกินกว่ามาเติมและต่อยอดค่ะ

ลุงเอกมองเห็นว่าสังคมไทยไม่ธรรมดา ไม่เหมือนสังคมไหนในโลก ส่วนเส้นทางของการพัฒนาประเทศไทย หรือนำพาประเทศ ไม่น่าทำอย่างที่ทำๆกันมา มีหลายเรื่องหลายราวที่ดำเนินการมาแล้วที่ลุงเอกนำมาโยนโจทย์ให้กระตุกคิด ว่าถ้าย้อนเวลาไปเพื่อทำใหม่ ควรทำอย่างเดิมหรือเปล่า เช่น กรณีตากใบกับการตีความด้านยุติธรรม

ลุงเอกเล่าให้ฟังเรื่อง “ทฤษฎีใจโลก” รวมไปถึงวิธีคิดยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตลอดกับการคุกคามประเทศอื่นที่ตั้งหมายไว้ที่ “ใจโลก”

ลุงเอกได้เล่าให้ฟังเรื่องยุทธศาสตร์ของการขยายอำนาจที่ดำเนินมาในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นว่าประเทศในโลกได้เลือกใช้กำลังอำนาจอย่างไรมาตามลำดับ ฟังแล้วร้อง อือหือ เลยค่ะ

ฟังไป จดไปเพลินไปเลย

การใช้กำลังอำนาจได้ถูกกำหนดรูปแบบการทำสงครามแบบใช้ปัญญามาตลอด นับแต่การใช้อำนาจทางการทหารที่มีอัตลักษณ์ด้านปัญญาผ่านการเมืองเป็นสื่อแสดงความมีอำนาจ ลุงเอกชี้ว่าการสร้างรถไฟความเร็วสูง เครื่องบิน เรือบรรทุกเครื่องบิน แล้วเปลี่ยนผ่านมาใช้กำลังอำนาจทางการเมืองที่กำหนดรูปแบบผ่านสงครามลัทธิ(สังคมนิยม คอมมิวนิสต์)  แล้วเปลี่ยนผ่านต่อมาเป็นการใช้กำลังอำนาจทางเศรษฐกิจผ่านสงครามเศรษฐกิจ(ทุนนิยมเสรี) และ ณ วันนี้ได้เปลี่ยนผ่านมาเป็นการใช้กำลังอำนาจทางสังคมจิตวิทยา (ศาสนา/วัฒนธรรม) ซึ่งลุงเอกใช้คำว่าสงครามปาก/หู  เหล่านี้เป็นยุทธศาสตร์ของการทำสงครามปัญญาที่มีมหาอำนาจเกี่ยวข้องอยู่ทั้งสิ้น

ลองใคร่ครวญกันดูหน่อยดิ กำลังอำนาจของชาติขณะนี้มีอะไรฟื้นฟูได้บ้างหนอ แล้วใคร?คือคนที่จะฟื้นฟูได้สำเร็จ

จำได้ใช่ไหมค่ะว่าที่ได้เรียนผ่านกันมาแล้วอาจารย์ชัยวัฒน์ ถาอานันท์ได้บอกว่าอำนาจจะเกิดขึ้นต้องมีคู่เผชิญ  ลองทบทวนความรู้ตัวเองเรื่องโลกกว้างดูหน่อยนะว่า คู่เผชิญของมหาอำนาจในแต่ละยุคเป็นใครบ้างทั้งเรื่องรถไฟความเร็วสูง เครื่องบิน ลัทธิ ทุนเสรีนิยม เพื่อแกะรอยความนัยเรื่องการขยายอำนาจของมหาอำนาจ ฉันขอไม่เฉลยค่ะ  สำหรับอำนาจทางสังคมวิทยา ลุงเอกฟันธงว่า คู่เผชิญเป็นมุสลิมและท้องถิ่นนิยมค่ะ

หลายๆมุมลุงเอกได้ชี้มุมให้มองด้านยุทธศาสตร์ ฉันฟังแล้วฉันว่ามหาอำนาจใช้สงครามจิตวิทยาแทรกซึมเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วยยุทธศาสตร์การตลาดนะคะ ลุงเอกแลกเปลี่ยนว่าอยากรู้ว่ายุทธศาสตร์ของมหาอำนาจเป็นอย่างไร ให้ดูตลาดบริโภค ภาพยนต์ อาหารจานด่วน วิชาการที่สั่งสอนโดยกูรู แหล่งเรียนรู้และภาษาที่มีวัฒนธรรมของมหาอำนาจนั้นๆอยู่

หน้าตาของพื้นที่สังคมที่เปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคต

เมื่อลุงเอกเปรียบเทียบว่า คนอเมริกันเรียนวิชา Americanization คนไทยเรียนวิชาทิ้งถิ่น คนอื่นใช้ชาติเป็นตัวตั้ง คนไทยใช้ตัวเองเป็นตัวตั้ง ชาตินิยมใช้เผด็จการสร้างคนให้มีวินัย คนไทยเลี้ยงลูกแบบไร้รูปแบบ เลี้ยงลูกให้ร้องไม่เป็นเวลา บ้างฟังแล้วยิ้ม บ้างฟังแล้วหัวเราะอยู่กับตัวเอง แบบว่าฟังเพลิน

ลุงเอกเล่าต่อว่าความเป็น Americanization ทำให้อเมริกาแบ่งกลุ่มประเทศในโลกเป็น ๔ กลุ่ม คือ กลุ่มประเทศ G7 ประเทศกำลังพัฒนา ประเทศเกิดใหม่และรัฐเอกราช และ ประเทศอักษะแห่งความชั่วร้าย

ใครเคยรู้จักวิชานี้บ้างค่ะ ฉันเพิ่งได้ยินชื่อวันนี้เองค่ะ วิชาที่เรียกว่า “ทฤษฎีภูมิรัฐศาสตร์” ลุงเอกบอกว่าเป็นวิชาที่นักยุทธศาสตร์ควรเรียนในยุคที่การขยายอำนาจของประเทศมหาอำนาจใช้อำนาจทางการเมืองเป็นสำคัญค่ะ

ทฤษฎีภูมิรัฐศาสตร์สอนอะไรที่น่าสนใจมากๆ

วิชานี้มีความเชื่อมกับภูมิศาสตร์ ที่ตั้ง และการกำหนดนโยบายของรัฐนั้นๆ มีลักษณะเฉพาะ ๔ ประการ มีภูมิศาสตร์การเมือง ประวัติศาสตร์ การใช้สิทธิอำนาจนิยม และยุทธศาสตร์ทางบก ทางเรือ ทางอากาศค่ะ

เพิ่งได้มุมมองใหม่จากลุงเอกวันนี้เองว่า ปัจจัยที่บอกว่าชาติมีพลัง ( National Power Factors) ดูจากอะไรบ้าง ดูจากภูมิศาสตร์ ภาวะประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ ความเชื่อ ศาสนา ความจงรักภักดี ลักษณะประจำชาติ กำลังทหาร วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การศึกษา อุดมการณ์ของชาติและภาวะผู้นำค่ะ

ท่านรู้ข้อมูลข้างบนแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ฉันนะร้องโอ้โหเลยเชียวแหละ งานของฉันมันยุ่งเกี่ยวส่งผลให้กับหลายปัจจัยที่ว่าเลยนะนี่และที่สำคัญที่เกี่ยวกับตัวเองจังๆก็อีตรง “ภาวะผู้นำ” นี่เองแหละเนอะ

พลังที่ใช้ป้องกันชาติมีอะไรบ้าง…มาดูกันเร้ว

ลุงเอกได้เล่าถึง Model National Security Assessment ซึ่งมีตัวย่อว่า EKMODEL ด้วย เสียดายที่ฟังตามไม่ทันว่าย่อมาจากอะไรบ้าง มัวแต่นะจังงังกับความรู้สึกบางอย่างที่แวบเรื่องที่เคยรู้สึกสังหรณ์ระหว่างการทำงานประจำของฉันเองขึ้นมาอยู่ค่ะ

แล้วลุงเอกก็วิเคราะห์สถานการณ์โลกให้เห็น สิ่งที่รับฟังมาทำให้ฉันมองเห็นแนวโน้มบางอย่างว่าสถานการณ์ของความยุ่งเหยิงในหลายๆพื้นที่อันเป็นเรื่องของความขัดแย้งตามที่นักวิชาการมาบอกว่าให้ถือเป็นเรื่องธรรมดาๆไปเลยนั้น มีเหตุผลอะไรให้เชื่อตาม

คู่กัดที่ทำให้ความขัดแย้งพบได้ทั่วไปทั้งโลก ทำความรู้จักเองเหอะ

สำหรับสถานการณ์ในเมืองไทย ลุงเอกมองว่าเรื่องยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นยังจะเกิดต่อไป และจะมีพื้นที่ที่ขยายตัวให้เกิดขึ้นหลายพื้นที่ด้วย ซึ่งลุงเอกมองว่า เรื่องราวก็ยุติของมันเองได้โดยไม่ต้องทำอะไร ด้วยนิสัยของคนไทยที่ได้ศึกษามาก่อนหน้า และที่ลุงเอกเชื่อว่ามองไม่ผิดจากตัวอย่างเหตุการณ์อีกหลายๆเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

การลงมือทำอะไรซะอีกที่อาจจะทำให้เกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้น นี่ก็เป็นนัยๆที่ลุงเอกสื่อบอกให้ผู้คนในห้องที่มีหน้าที่ด้านความมั่นคงให้คิดก่อนทำ

มีนิสัยของใครไม่อยู่ในนี้บ้าง เถียงได้เลยเน้อ

ในระหว่างที่มีกิจกรรมที่อยุธยามีการแลกเปลี่ยนเรื่องคำเรียกที่ใช้ต่างในแต่ละศาสนา สำหรับศาสนาคริสต์นั้นเคยบันทึกไว้แล้ว วันนี้ขอบันทึกเรื่องของคนมุสลิมที่ลุงเอกนำมาเล่าไว้สักหน่อย

ในความรู้ที่ลุงเอกรวบรวมมาได้ มีมุสลิมที่แบ่งได้เป็นสายต่างๆ ๖ กลุ่ม

กลุ่ม ๑  ปกครองแบบกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองแคว้น

กลุ่ม ๒ ประชาธิปไตยใหม่ (อินโดนีเซีย, มาเลเซีย,ตุรกี)

กลุ่ม ๓ กึ่งประชาธิปไตย (ปากีสถาน,แอลจีเรีย,อียิปต์,ตูนีเซีย,เลบานอน)

กลุ่ม ๔ ปฏิวัติ (อิรัก, ซีเรีย, ลิเบีย)

กลุ่ม ๕ สายเคร่ง (อัฟกานิสถาน,อิหร่าน)

กลุ่ม ๖ สายสลาฟ ( รัสเซียและมุสลิมที่เคยอยู่ในรัสเซีย, อุสเบกิสถาน, เติร์กเมนิสถาน,คาซัคสถาน, ทิคิริเซีย, และ อาเซอร์ไบจาน)

หลังจากลุงเอกจบการบรรยาย ก็มีคนลุกขึ้นมาแลกเปลี่ยนเรื่องของ food security ว่าเวลานี้ต่างประเทศ เขามีการทำระบบ food print ขึ้นทะเบียนพืชกันไว้แล้ว แหล่งพืชที่มีคุณค่าอยู่ที่ไหน พื้นที่ใด จำนวนเท่าไร ไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว  และแลกเปลี่ยนเรื่องเกี่ยวกับกฏหมายระหว่างประเทศเรื่องของเรือสินค้าที่มีการบังคับให้ทำผนังเรือ ๒ ชั้น ชั้นในไว้กันน้ำ ชั้นนอกไว้กันน้ำมันรั่วออกทะเลและจะต้องขึ้นทะเบียนไว้กับประเทศที่จะพาเรือเข้าไปจอดท่าเรือของเขาจึงสามารถนำเรือผ่านน่านน้ำของเขาเข้าไปได้

แล้วลุงเอกก็โชว์ภาพเรือรบที่ลำใหญ่มากกกกกกกกกก ทั้งลำสามารถเป็นสนามบินได้ เก็บเครื่องบินได้ ลำเดียวมีเครื่องบินร่วม ๒๐๐ ลำ และขณะนี้ไม่รู้ว่าเรืออย่างนี้มีอยู่กี่ลำแล้ว เห็นแล้วก็อึ้งค่ะ แล้วท่านละอึ้งมั๊ย

เรือ ๓ ชั้นที่เก็บเครื่องบินได้ ๒๐๐ ลำ มีองค์ประกอบของสนามบินครบถ้วนหมด แค่ลำเดียวก็มีเครื่องบินมากกว่าทั้งประเทศไทยแล้ว?????

จบการเรียนกันแล้ว ทีมงานของพี่จุกก็ขอเวลานอกก่อนไปกินข้าว ขอให้ทุกคนอยู่กันในช่วงเซอไพร๊ท์ เซอไพร๊ท์แรกคือชวนกันถ่ายรูปร่วมกัน แล้วมอบเค๊กของขวัญให้คนที่เกิดในเดือนมีนาคม ฉันได้เสนอไปว่า ไหนๆก็ไหนแล้ว ให้รวมคนที่เกิดตั้งแต่ต้นปีเข้ามาซะเลย คุณติ๋วซึ่งเป็นคนหนึ่งและอีกหลายคนที่เกิดก่อนเดือนมีนาคมดีใจมากๆที่ได้มีเซอไพร๊ท์ด้วย  ลุงเอกเป็นคนกล่าวอวยพรให้กับทุกคนขอให้สามารถทำงานกลุ่มสำเร็จลงด้วยดี  เฮรับพรกันแล้ว บรรดาเจ้าของวันเกิดก็ช่วยกันเป่าเทียนและตัดเค๊ก ถ่ายรูปด้วยกันเป็นที่สนุกสนาน

แล้วกลุ่มก็สลายพากันมาเติมท้องให้อิ่มกันที่ห้องกินอาหาร อาหารวันนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำหมูค่ะ อย่าแปลกใจที่มีหมู  ก็ผู้ร่วมห้องเรียนที่เป็นมุสลิมพากันกลับตั้งแต่แยกตัวกันออกจากห้องแล้วค่ะ

อิ่มท้องแล้ว ฉันก็ขอติดรถผู้ร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งไปลงที่ท่าน้ำแถวศรีย่าน แล้วพาตัวไปเตร็ดเตร่แถวสถาบันที่สอนวิชาหมอให้กับฉันอยู่ค่อนวันจึงกลับที่พัก วันนี้ฉันยังพำนักอยู่ในเมืองกรุงอีกวันด้วยมีนัดกับครูณาแห่งโรงเรียนพ่อแม่นครสวรรค์ว่าจะไปช่วยทำโรงเรียนพ่อแม่ที่ครูณานัดไว้ในวันเสาร์นี้

๒ เมษายน ๒๕๕๓

« « Prev : งงๆแล้วดีหรือเปล่า

Next : เก็บตกนอกรอบวันแรก » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 เมษายน 2010 เวลา 15:40

    ….“เพิ่งได้มุมมองใหม่จากลุงเอกวันนี้เองว่า ปัจจัยที่บอกว่าชาติมีพลัง ( National Power Factors) ดูจากอะไรบ้าง ดูจากภูมิศาสตร์ ภาวะประชากร ทรัพยากรธรรมชาติ ความเชื่อ ศาสนา ความจงรักภักดี ลักษณะประจำชาติ กำลังทหาร วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การศึกษา อุดมการณ์ของชาติและภาวะผู้นำค่ะ ท่านรู้ข้อมูลข้างบนแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง……

    เรื่องอื่นๆไม่รู้ครับ แต่เรื่องลักษณะประจำชาตินี่ซิ …..สมัยที่พี่ทำงานกับ USAID ที่สำนักงานเกษตรท่าพระ ขอนแก่น ช่วงนั้นมีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้ ของอเมริกา มาประจำหลายคน บางคนก็แต่งงานกับสาวไทยและวนเวียนทำงานในแถบนี้ตลอด

    คนหนึ่งที่เคยคุยด้วยท่านเป็นนักมานุษยวิทยา สมมุติ ชื่อ เจ มีภรรยาหลายคน อิอิ

    เพื่อนอีกคนเล่าให้ฟังว่า สมัยปลายสงครามเวียตนามนั้น อเมริการู้ตัวว่าไม่มีทางชนะสงครามเวียตนามได้ ทั้งที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์เหนือชั้นมากมาย แต่ไม่มีทางชนะเวียตนามได้ ยกเว้นระเบิดนิวเคียร์ แต่ทำเช่นนั้นไม่ได้ อเมริกาจึงส่งคนหนึ่งไปแทนที่จะเป็นทหารกล้า ที่เพียบพร้อมด้วยสรรพวุธ อันวิเศษเลิสเลอ แต่กลับส่งนักมานุษยวิทยา เจ เข้าไป เพื่อศึกษาว่าทำไมเวียตนามจึงสามารถสู้ศึกกับอเมริกาได้ รายละเอียดผมไม่สามารถกล่าวได้ แต่สรุปได้ว่า เพราะ “ลักษณะประจำชาติ” ที่แข็งแกร่งมาก ภาพนี้สะท้อนให้เราเห็นหากเราคลุกคลีกับชนชาติเวียต ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม

    นักมานุษยวิทยา เจ ท่านนั้นวนเวียนในไทย ลาว เขมร และแน่นอนเขาคือผู้ให้คำปรึกษาต่อรัฐบาลอเมริกาถึงนโยบายที่เขาจะมีต่อประเทศในภูมิภาคนี้…. 


    เอ……แล้ว..ลักษณะประจำชาติของไทยคืออะไร…?????!!!!

  • #2 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 เมษายน 2010 เวลา 22:22

    #1 ข้อมูลนิสัยข้างบนนั่นแหละค่ะพี่ เป็นคำตอบที่พี่ถามค่ะ แหล่งที่มาได้มาจากสภาวิจัยแห่งชาติเขารวมรวมบันทึกไว้ค่ะพี่

    ถ้าคนไทยเข้าใจความเป็นตัวเองแล้วนำมาใช้ดูแลกันและกันเพื่อเสริมและสร้างความแข็งแรงให้กับ “ชาติ” ก็จะนำพาประเทศไทยให้หลุดจากบ่วงกรรมที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้แบบร่วมด้วยช่วยกันคนละไม้คนละมือ “สร้างชาติ” ได้เจ๋งเลยค่ะ

  • #3 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 เมษายน 2010 เวลา 5:39

    ท่านบางทราบครับ
    ลักษณะชนชาติไทยคือ เอาไหนเอาด้วย ช่วยมองห่างๆ ตาปริบๆ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.05356502532959 sec
Sidebar: 0.19895386695862 sec