วันที่สามของกิจกรรม
อ่าน: 1071เช้าวันนี้เริ่มต้นกันสายหน่อย ตื่นสายกันอีกตามเคย เราถึงที่ห้องนั่งเล่นก่อนคนอื่นๆอีกตามเคย เริ่มต้นกิจกรรมภาคเช้าก็มีการนั่งอยู่กับตัวเองอยู่เป็นครู่ แล้วใหญ่ก็นำพาให้เข้าสู่บทเรียนเกี่ยวกับผู้พิทักษ์และคำถามที่ติดข้อง ฉันสังเกตเห็นว่ามีคนหลายคนเปลี่ยนบุคลิกไป วิน โอ ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น โอนั้นนุ่มนวลมากขึ้น อ้อ ลืมบอกไปว่า เมื่อคืนนี้ ฉันแอบขอกอดโอด้วยสัมผัสว่า โอนั้นมีความต้องการความรักและสัมผัสอยู่ลึกๆ ก่อนกลับก็กอดเต็มอ้อมแขนอีกที เช้านี้เจอกันก็แหย่วินและนกด้วยการกอดค่ะ
หลังคำถามหมดลง ใหญ่ก็เริ่มนำพาเข้าสู่บทเรียนเด็กน้อย เป็นการนำพาเพื่อให้ได้เรียนรู้ว่าจุดเปราะบางหรือความอ่อนแอที่ปรากฏออกมาด้วยปฎิกิริยาน้ำไหลออกตานั้นมันมีเหตุที่มาอย่างไรรวมทั้งต้องการให้เรื่องราวของมันเร้าพลังออกมาให้
พลังที่ว่าก็คือพลังแห่งความมีชีวิตชีวาค่ะ คำนำพาที่ใหญ่เอ่ยก็คือ ให้เลือกจับคู่กับใครก็ได้ที่หัวใจเรียกร้องแล้วนั่งคุยกัน โอเขาเรียกหาให้ฉันจับคู่กับเขาค่ะ เรากอดกันก่อนที่จะนั่งลงคุยกัน โอเป็นเด็กใสๆที่มีความรักอยู่ในใจมากมาย และเป็นเด็กที่โชคดีมากที่พ่อแม่ไม่เคยลงโทษด้วยความรุนแรง พ่อแม่โอไม่เคยตีโอเลยค่ะ จนกระทั่งเมื่อเขาเข้าโรงเรียนเขาจึงรู้จักรสชาติของการถูกตีด้วยการกระทำอย่างเด็กๆที่ครูถือว่าต้องโทษ แต่เขาก็บอกว่าตอนนั้นเขามีความสุข และความสุขของเขาหดหายไปเมื่อเขาเข้าเรียนปวช. ความสุขที่หายไปนั้นก็คือ การไม่มีเพื่อน เพราะสาขาที่เขาเรียนนั้นเป็นสาขาเปิดใหม่ เขาขาดความรักตรงที่เมื่อเขาต้องการอะไรจากพ่อแม่เขาต้องใช้วิธีอ้อน เขาไม่เคยมีสิ่งที่พ่อแม่ได้ให้เขาเองโดยไม่ต้องอ้อนเลย แต่พี่สาวเขาได้มันมาตลอด
จบกิจกรรมใหญ่ก็ให้ตั้งวงและให้เล่าสู่กันฟัง ภายใต้คำบอกเล่าของแต่ละคนมีบางสิ่งบางเรื่องที่ได้รับการใคร่ครวญแล้วบอกออกมาในเรื่องที่ได้เรียนรู้ตัวเองค่ะ
พักกลางวันกันแล้ว ก็มีการทำ Body scan เช่นเคย แล้วต่อกันด้วยการเต้น Body wave ซึ่งก็เป็นอะไรที่สนุกสนานทีเดียว ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน ใครมาเห็นคงต้องกรี๊ด ฉันเป็นไปได้ยังไง
หลังจากนั้นก็ต่อกันด้วย วาดภาพเล่าเรื่องที่สนุกที่สุดของวัยเด็ก แล้วให้แต่งนิทานเล่าเรื่องคนสองคนคุยกันโดยใช้ภาพนั้นเป็นพื้นเรื่อง เรื่องราวของบางคนฟังแล้วสนุกไปด้วย เรื่องราวของบางคนทำให้รู้ว่าบางส่วนของวัยเด็กที่สนุกและเป็นสุขขาดหายไป และบางคนก็เก็บกดมันไว้จนจำอะไรไม่ได้ เป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่องจริงค่ะ จบกิจกรรมนี้แล้วก็พักกันรอมาต่อกันใหม่หนึ่งทุมเช่นเคย
ทุ่มหนึ่งของวันนี้ เริ่มกันด้วยการนั่งสงบอีกครั้ง หลังจากนั้นใหญ่นำพาให้เล่าความฝันให้กันและกันฟัง แล้วก็จบลงด้วยการ check out ฉัน check out ด้วยการบอกว่า ฉันว่าชีวิตของคนมีชะตาชักนำ โลกไซเบอร์ชักนำให้ฉันได้พบพื้นที่ที่เป็นโลกเฉพาะ เป็นพื้นที่ที่มีเพื่อนให้ฉันได้สัมผัส เป็นสังฆะที่โลกได้มอบให้ฉัน ขอบคุณสำหรับความรู้ที่ได้จากใหญ่ น้องสองคนแห่งวงน้ำชา และทุกๆคน
มีความเห็นจากเก่งออกมาว่า เขาติดกับกับความรู้เดิมทำให้การนำพาของเขามันไม่สดใหม่ เมื่อเขาปล่อยทิ้งประสบการณ์เดิมๆ เขาก็พบว่า เขาได้เรียนรู้
ฉันจึงได้บอกออกไปด้วยว่าในเรื่องของข้อเท็จจริง ฉันบอกเขาไปว่าข้อเท็จของการเรียนรู้คือการคิดว่ามีความรู้เดิมอยู่แล้วมาเติมความรู้ ข้อจริงของการเรียนรู้คือการปลดปล่อยเรื่องที่คิดว่ารู้ทั้งหมดไว้ที่ไหนซักแห่งแล้วมาเรียน ฉันเปรียบเทียบกับน้ำครึ่งแก้วไปว่า ให้เทน้ำในแก้วทิ้งให้หมด แล้วรินน้ำใหม่ลงไปให้เต็ม
ที่ฉันมาเรียนรู้ในครั้งนี้ก็ใช้หลักนี้แหละค่ะ คือไม่คิดว่ารู้อะไรมาก่อนในเรื่องของกระบวนการ เมื่อถึงบทเรียนใดก็เรียนตามไปตามบทที่กระบวนกรให้ทำ ฉันจึงได้ความรู้ที่ไม่ซ้ำกัน มันมีอะไรที่พิเศษในผู้เข้าร่วมแต่ละคนที่ให้ความรู้เหล่านั้น
เป็นความพิเศษที่แสดงออกมา มีคำที่ถือว่าเป็นเคล็ดลับของกระบวนกรที่นี่ที่ถือว่ามันสำคัญสำหรับผู้เป็นกระบวนกรระหว่างทำหน้าที่ค่ะ คำๆนั้นคือ “การนำพาเป็นวาระของกระบวนกร ให้พื้นที่เป็นวาระของผู้เข้าร่วม”
« « Prev : ความในใจถึงผู้พิทักษ์
Next : แล้ววันที่สี่ของกิจกรรมก็มาถึง » »
4 ความคิดเห็น
กอดด้วยสัมผัสอันอบอุ่น
รีบกลับมาอ่าน รออ่านต่อค่ะ
#1 เฮียเหลียงจ๋า กอดดดดดดดดดดค่ะ
#2 เจ้าอิ่มเอ๊ย พี่เพิ่งเข้าใจคำว่า “วาระของเขา” ที่อิ่มพูดที่เวทีทำงานกับเหล่าพะยาบาลลึกขึ้นในวันนี้เองจ๊า
กอดดดดดดดดดดดดดดดดดอุ่นๆจากใจเด้อน้องเด้อ