บทเรียนจากเด็กๆ
วันนี้ได้ดูหนังจอเล็กร่วมกัน 3 คนแม่ลูก ดูได้อยู่ช่วงหนึ่ง เจ้าลูกสาวแยกตัวไปเที่ยวกับเพื่อน หนังจบลงแล้วอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้งและทิ้งปริศนาธรรมไว้ให้ครุ่นคิดอีกละ
หนังจบลงแล้ว เจ้าลูกชายก็ผละไปทำอะไรตามประสา แล้วสักครู่ก็มีเสียงเรียกว่า มาๆมาพิมพ์ๆต่อได้แล้วแม่ เป็นอันว่าวันนี้ฉันแวะมาเข้า G2K อีกละทั้งๆที่ตั้งใจว่าวันนี้จะขอบายสักวัน
ในเมื่อเข้ามาแล้วก็ไปแวะเยี่ยมอ่านบันทึกของใครหลายคนแบบไม่ทิ้งร่องรอย จบลงที่การแวะเยี่ยมและอ่านบันทึกครูต้อย ด้วยตอนที่ไปแวะนั้น คุณสัญญาที่ชื่อ “คุณจำ”มาสะกิดให้เอ๊ะวันนี้เรียนรู้อะไรจากบันทึกนี้บ้างมั๊ย จึงเอาคำตอบของคำว่าเอ๊ะ มาเขียนเก็บเอาไว้ตามประสาฉันค่ะ
เมื่ออ่านและรับรู้ข้อความในบันทึกครูต้อยแล้ว ความรู้สึกของฉันแวบโยงไปถึงบันทึกเรื่อง….เสื้อผ้าแห่งความสุข..ที่คนมองไม่เห็น….ที่เคยเขียนเก็บไว้ และแล้วก็มีคำฟันธงเกิดขึ้นในใจว่า ให้ขอบคุณนักเรียนที่ครูต้อยเล่าเรื่องของเขาไว้ในบันทึกด้วย ที่ขอบคุณเพราะว่าเด็กๆเขาได้ตัดเสื้อที่สวยงามที่เขาก็มองไม่เห็นมอบให้ฉันค่ะ ตามมาดูซิค่ะว่า เสื้อที่เด็กๆตัดให้หน้าตามันเป็นอย่างไร
เฮ้ยมันแน่นไปหมด เด็กน๊ะ ไม่ใช่คอม ดูซิมันนั่งกัน บนเก้าอี้ตัวเดียวปาเข้าไป 3 คน คนหนึ่งนั่งตรงกลางเก้าอี้ คนหนึ่งนั่งครึ่งก้น อีกคนนั่นมันนั่งบนขาข้างซ้าย ของเพื่อน ไอ้คนที่ถูกนั่งบนขาซ้ายน๊ะ มันร้องเสียงดัง “เฮ้ย เอ็งอย่าขยับซิวะ ข้าเจ็บนะโว้…ไอ้…เดี๋ยวไม่ให้เล่นเลย” ไอ้คนที่นั่งบนขาเขามันโวยเสียงดังกว่า “ถ้าเอ็งไม่ให้ข้าเล่นนะ ข้าจะฟ้องครู”
เอ้าไอ้กลุ่มนั้น คนหนึ่งนั่งท่าทางสง่า มันคงมีภูมิ เพื่อนๆจึงเกรงใจให้มันนั่งคนเดียว อีกคนก้มๆเงยๆแล้วก็บ่น “เฮ้ย มึง..ช้าๆหน่อยซิ กูตามไม่ทันฉิบ” เพื่อนตอบ“เออน่า เดี๋ยวกูเลี้ยงขนมมึง”
อ้าว….แล้วนั่นอีกคนทำไมไม่นั่งหว่า….ยืนเกาะโต๊ะคอมทำไม อ้อ มันเข้าไม่ได้ เพราะไอ้ตัวก้มๆเงยๆนั่นมันหนักตั้ง 70 กว่ากิโล ปิดหน้าจอเลยไม๊นี่ จริงซิ บังมิดเลย”
“ได้ยินมันบ่นว่า เหม็นชิบหา…..อ้อ….น่าจะเป็น….เห็นยืนอยู่ห่างๆแม้แต่โต๊ะยังไม่มีโอกาสเกาะเลย” ไอ้หมอนี่ใส่เสื้อมาโรเงรียนประหยัดสุดๆ 2 วันต่อหนึ่งตัว วันพุธใส่ชุดลูกเสือที่ครูประจำชั้นซื้อให้ วันพฤหัสก็ใส่เสื้อเมื่อวันอังคารที่ผึ่งแดดเรียบร้อยแล้ว ”
……… วันศุกร์ใส่เสื้อสีเหลืองที่ใหม่กว่าเพื่อน ตอบคำถามธรรมะของพระอาจารย์ได้ พระอาจารย์ก็เลยให้รางวัลมัน ตัวนี้ไม่มี……… วันเสาร์ใส่เสื้อนักเรียนมารับจ้างแกะหมึก…….วันจันทร์มาโรงเรียน ยืนคุยกับเพื่อน เฮ้ย วันนี้ตอนโรงเรียนเลิก ข้าว่าจะไปเล่นคอมที่ร้านหว่ะ”
อ่านแล้ว ฉันรู้สึกเลยว่า เสื้อที่เขาตัดขึ้นมาให้ฉันมันเป็นเสื้อพื้นขาวที่มีสีสันแต้มอยู่หลายโทน หลายหย่อม บ้างเป็นโทนสดใสหลากหลายสีสันอยู่ร่วมกันอยู่ บ้างเป็นสีโทนธรรมดาๆแต่ดูดีปะปนอยู่ บ้างเป็นสีโทนเดียวที่ป้ายอยู่เป็นเนื้อที่กว้างบ้างเป็นสีโทนมืดๆที่คนโตกว่าไม่ใคร่ชอบ แล้วที่แปลกก็คือในพื้นที่สีโทนมืดๆนั้นกลับมีสีอันสดใสไม่เร่าร้อนแต่ทรงพลังแต้มอยู่คู่กันอย่างสวยงาม
ฉันรับเสื้อตัวนี้มาใส่ระหว่างที่อ่านเรื่องราวของเขา ใส่แล้วมีความสุข และสนุกไปกับเรื่องราวของเขา อ่านแล้วมันมีความสุข และสนุกกับการระลึกถึงเรื่องราวของตัวเองสมัยที่เป็นนักเรียนเหมือนๆพวกเขาค่ะ
การที่ใส่เสื้อนี้เข้าไปแล้วมีความสุข มันเกิดคำถามกับตัวเองว่า เด็กๆเขาจะรู้มั๊ยว่า เขามีความสามารถที่จะตัดเสื้อแห่งความสุขของตัวเองอยู่นา และทุกเวลาในวิถีของเขา เขาก็ได้ทำหน้าที่ออกแบบและตัดเย็บมันขึ้นมาเสมอ
ในเมื่อเขาเก่งออกอย่างนี้ ความสามารถที่จะตัดเสื้อผ้าที่มองไม่เห็นให้สวยงามอย่างที่ผู้ใหญ่อยากให้ใส่ก็น่าจะมีอยู่นะเออ แล้วก็มีคำถามต่อมาเกิดขึ้น โอกาสอะไรที่จะทำให้เด็กๆมีโอกาสออกแบบตัดเสื้อที่มองไม่เห็นเองเล่า ฉันไม่มีคำตอบหรอกค่ะ ตอนคำถามมันเกิดขึ้นมา ใจมันตื่นเต้นว่า หากทำให้เด็กพบโอกาสออกแบบตัดเสื้อด้วยตัวเขาเองภายใต้สังฆะที่เขาอยู่กันได้ มันน่าลองดูน่ะ น่าสนุก น่าสนุก น่าสนุกที่จะเรียนรู้ว่า เด็กๆรู้สึกยังไงกับแบบและวิธีที่เขาตัดเย็บมันออกมาด้วยตัวเองค่ะ
แล้วนอกจากเสื้อตัวที่ฉันได้รับมา ฉันยังมองเห็นเสื้อที่มองไม่เห็นอีกหลายตัวที่เด็กๆเขาหยิบมันมาสวมใส่ เสื้อที่เห็นก็คือ เสื้อแห่งการตัดสินใจซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นลงตัว เสื้อของความสนุก เสื้อของความภาคภูมิใจ เสื้อที่ทำให้รับรู้รสชาดแห่งสังฆะระหว่างพวกเขากันเอง และเสื้อที่ไม่ใส่ใจกับความสุขและความทุกข์ค่ะ
เจ้าเสื้อตัวสุดท้ายที่เห็นมันทำให้ฉันเอ๊ะอีกแล้ว เด็กมีอาวุธวิเศษอะไรในตัวหนอเขาจึงไม่ใส่ใจกับความสุขกับความทุกข์มากเท่าเราผู้ใหญ่ อะไรหนอที่เป็นอาวุธทำลายความวิเศษของอาวุธนี้จนหมดไปเมื่อเขาจำเริญวัยขึ้น แล้วใครคือผู้ใช้อาวุธนี้ทำลายอาวุธวิเศษที่เด็กๆเขาเคยมีกันเล่า
23 ตุลาคม 2551
« « Prev : วันนี้แม่ลูกชวนกันดูหนัง
ความคิดเห็นสำหรับ "บทเรียนจากเด็กๆ"