ลานบ้านชลบถพิบูลย์

กันยายน 15, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : จดหมายจากบางกอก

Filed under: Uncategorized — แท็ก: — ออต @ 12:05

วันนี้ได้รับอีเมลล์จากน้องโบว์ สาวน้อยจากธรรมศาสตร์ ที่เดินทางไกลมาช่วยค่ายฮูบแต้มแคมของ ของพวกเราต้นเดือนที่ผ่านมา วันนี้เธอส่งบันทึกมาให้พวกเราได้อ่านกัน ไปตามดูความคิดและความรู้สึกของสาวน้อยที่เดินทางไกลมาเพื่อพบเด็กและฮูบแต้ม

เกริ่นนำ…

ณ ริมน้ำโขง ท่ามกลางฝุ่นผงทรายของชนบท ยังมี “เด็กน้อย” ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใส  พวกเขาคือผู้ที่กำลังเติบโตท่ามกลางการพัฒนาที่มุ่งหน้าสู่ชุมชนแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียง “เด็กน้อย” แต่ก็มิอาจประมาทความเจริญที่ประชิดตัวเข้ามาได้  มันอาจทำให้เด็กๆ หลงลืมคุณค่าทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นไปอย่างสิ้นเชิง

 

จากผู้จัด… ถึง เจ้าบ้าน…

นักอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมแห่งลุ่มน้ำโขง (ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง)  ผู้จัด “ค่ายฮูบแต้มแคมของ” ได้ค้นพบประวัติศาสตร์แห่งบ้านหว้านใหญ่ว่า พรมแดนธรรมชาติได้แบ่งแยกชาติพันธุ์หนึ่งแตกออกเป็น ๒ ชาติ — ไทย และ ลาว แม้ว่าลำโขงจะแบ่งคน แต่อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์นั้นยังชัดเจน ซึ่งแสดงออกทางภาษา ประเพณี การใช้ชีวิต และศิลปะท้องถิ่น

 

สิมวัดศรีมหาโพธิ์มีฮูบแต้มเรื่อง ผะเหวด (โบสถ์วัดศรีมหาโพธิ์มีรูปภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเวสสันดร) คำบอกเล่าที่ปรากฎตามหนังสือหลายเล่มในร้านหนังสือมากมายในเมืองหลวงทำให้เรารับทราบ และสามารถเข้าใจถึงความหมายของการแต้มฮูบไว้ในสิม(บางแห่งปรากฎฮูบแต้มทั้งภายในและภายนอกสิม)แต่มันเทียบไม่ได้แม้เศษเสี้ยว กับการได้พบเห็นด้วยตาตนเอง

วันแรก…

ก่อนที่จะพบฮูบแต้ม เราต้องพบกับ “เด็กน้อย” เจ้าของชุมชนที่แท้จริงแห่งนี้ก่อน เด็กๆ นักเรียนชั้นประถมปลายจนถึงมัธยมศึกษาเกือบ ๕๐ คน … เด็กเหล่านี้หรือที่จะเป็นความหวังในการอนุรักษ์ศิลปะพื้นถิ่นไว้ได้? เด็กเล็กๆ ที่แทบจะคุยและเล่นกันตลอดเวลา บางคนโตขึ้นมาพร้อมกับการครอบงำจากพัฒนาการแห่งยุคสมัย (โทรศัพท์มือถือ) นี่ทำให้ต้องปรับความคิดกันด้วยกิจกรรมมากมาย ได้บ้าง — บ้างได้มาก บ้างได้น้อย  แต่ไม่มีใคร “รับไม่ได้” จึงเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับผู้จัด

วันถัดมา…

พลังของ “เด็กน้อย” ก็ทำให้ “ผู้ใหญ่ตัวโต” ต้องทึ่งไป พวกเขาบรรลุจุดประสงค์ของกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาแต่งกลอนธรรมชาติด้วยเข้าใจและไพเราะ พวกเขาเขียนแผนที่ชุมชน “แผนที่เดินดิน” ด้วยตนเอง พวกเขาวาดรูปและทำงานศิลปะที่เกี่ยวกับฮูบแต้มเรื่องผะเหวดในสิมวัดศรีมหาโพธิ์ได้อย่างน่าทึ่ง พวกเขาเล่นละคร “ผะเหวด” ได้อย่างสนุกสนาน ค่ำคืนนั้นทุกคนจึงหลับฝันด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่เต็มอิ่มในหัวใจ

วันจากลา…

หยาดน้ำตาของ “เด็กน้อย” แสดงความจริงใจต่อเพื่อนมนุษย์ ผู้เข้ามาร่วมเดินทางด้วยใจจริง บนถนนเส้นแสนสั้น วัดได้เพียง ๓ วัน มันเกินกว่าวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจ เพราะเราได้ของแถมกลับบ้าน คือ ความรักที่เกิดขึ้นบนพื้นที่แห้งแล้งนี้

 

บทสรุปตาม…

“ค่ายฮูบแต้มแคมของ” สร้างการตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่ควรสงวนรักษาไว้กับท้องถิ่นหว้านใหญ่ ชาวบ้านร่วมมือกัน มีเสียงจากชุมชนเข้ามาให้ความสนใจโดยเฉพาะความภูมิใจในตัวเด็กๆ ที่เข้าร่วมกิจกรรมที่สำคัญ “คนนอก” ที่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างพวกเรา ต่างจดจำประสบการณ์ดีดีและตระหนักถึงความสำคัญของคำว่า “พลังของมวลชน” ที่สามารถทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ได้แม้ว่าระยะทางของการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นบ้านหว้านใหญ่จะเพิ่งเริ่มต้น แต่มันเป็นนิมิตหมายที่ดีเมื่อได้มีการเริ่มต้น.

 

กันยายน 12, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : ตัวเลขกับศิลปะ

ความจริงค่ายฮูบแต้มแคมของไม่ได้สมบูรณ์แบบเลย ด้วยความด้อยปัญญาของคนประสานในการจัดค่าย การออกแบบหลักสูตรและการบ่มเพาะความคิดให้ออกมาเป็นค่ายที่สมบูรณ์ ดูเอาแต่เรื่องการตัดมิติสัมพันธ์ของศิลปะ วัฒนธรรม ออกจากตัวเลขเอาเถิด

ศิลปะกับตัวเลข ศิลปะกับการวัด ดูเหมือนเป็นเรื่องคนละโลกสำหรับศิลปินอย่างผม(ไม่สามารถเหมารวมศิลปินทั้งหมด) เพราะมันเป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมาเข้าขั้นตัดญาติขาดมิตรเอากันไปโน้นเลย

แม้แต่การบริหารเงินทองงบประมาณในค่ายทั้งหมด ผมต้องขอยืมตัวเจ้าหน้าที่การเงินของศูนย์วิจัยฯมาทำหน้าที่แทน ด้วยไม่อยากเอาสมองไปยุ่งอยู่กับตัวเลขที่แสนน่าเบื่อ

เราเหล่าศิลปินและคนทำงานศิลปะส่วนใหญ่จะงดใช้ตัวเลขแต่หันมาให้คำว่าเล็ก กลาง ใหญ่ ที่สุด แทนเช่นสิมหลังนี้เล็กมาก(เล็กมากหมายถึงเล็กขนาดไหน? ถามแบบนี้คนทำงานศิลปะตกม้าตาย) พระในวิหารใหญ่ที่สุดในตำบลนี้(ใหญ่ขนาดไหน กว้างยาวเท่าไหร่? ถามแบบนี้คนทำงานศิลปะตกม้าตาย) ขันหมากเบ็งที่เห็นที่วัดสัดส่วนดีมาก(ดีมากที่ว่า มันขนาดเท่าไหร่? ถามแบบนี้ก็ตกม้าตายอีกเช่นกัน) สรุปรวม ๆ คือเราไม่ค่อยจะใส่ใจกับตัวเลขจริง ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่มันจะช่วยให้เราใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต

ดังนั้นค่ายฮูบแต้มแคมของเพิ่งมาตาสว่างเอาตอนที่ อาม่า ช่วยเติมเต็มเรื่องวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้ให้แก่เรา ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นบุญของผมแต่ยังไม่ใช่บุญของเด็ก ๆ เพราะกว่าผมจะยอมรับเรื่องตัวเลขกับวัฒนธรรมได้ ก็ต้องใช้เวลาสักพักดังนั้นจึงไม่มีเวลาบรรจุเรื่องนี้ให้กับเด็ก ๆ ในค่าย(เอาไว้ค่ายหน้านะน้อง)

อาม่าสอนผมในเรื่องการเอาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์เข้าไปบูรณาการร่วมกับศิลปวัฒนธรรม งานนี้จะช่วยให้เราเห็นมิติที่ทั้งสองสิ่งสัมพันธ์กันอยู่ในตัวและยังก้าวล่วงไปสัมพันธ์กับมิติอื่น ๆ ได้รวมทั้งความสัมพันธ์กับจักรวาลซึ่งมีสถานะแห่งจุดร่วมทุกสรรพสิ่ง(ร่ายซะเป็นนิยาย)

ผมเริ่มฝึกการเอาตัวเลขเข้ามาใช้ในค่ายตอนที่ผมรู้สึกชอบขันหมากเบ็งของชาวบ้าน ผมชอบที่รูปทรงสัดส่วนมันช่างสวยงามเสียเหลือเกิน งามจนหากผมเอาไปทำใช้ที่ขอนแก่นคงต้องไม่ยากแน่ ๆ

แต่เชื่อเถอะมาถึงขอนแก่นผมก็จะลืมสัดส่วนที่งดงามนั้นไป ดังนั้นการวัดจึงเกิดขึ้นกับผมในกิจกรรมการชื่นชนขันหมากเบ็งแบบพื้นบ้าน เมื่อวัดแล้วทำให้เราต้องมาแยกรายละเอียดออกไป เรื่องนี้ทำให้ผมคิดแบบละเอียดละออเข้าไปอีกเพราะขันหมากเบ็งมีส่วนฐาน ส่วนตัวขัน และส่วนยอดขัน งานนี้สัดส่วนที่งดงามนั้นจึงถูกผมบันทึกด้วยตัวเลขเรียบร้อยพร้อมภาพประกอบ

(เงอะ ๆงะ ๆ กับตัวเลข  เขียนผิดเขียนถูก วัดแล้ววัดอีก แบบไมค่อยแน่ใจ)

สัดส่วนของความสูงที่งดงามของขันหมากเบ็ง ตัวฐาน/ตัวขัน/ยอดขัน เท่ากับ 1: 2 : 2.5

สัดส่วนที่งดงาม ความสูงของขัน/ความกว้างของขัน เท่ากับ 2 : 5.5

ทำตัวเลขแบบนี้ไม่ว่าถูกไหมคุณครูครับ

กันยายน 8, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : บายศรีกับทุนทางวัฒนธรรม

เด็กที่เข้าค่ายฮูบแต้มแคมของนั้นมีหลากหลายวัย เหตุผลหนึ่งคือต้องการเครือข่ายของสถานศึกษาในเขตพื้นที่ตำบลหว้านใหญ่ที่จะมาร่วมมือ หรือเกิดแรงกระตุ้นบางอย่างให้โรงเรียนโดยเฉพาะหัวน้าสถานศึกษาและครูผู้สอน หันกลับมามองการใช้ประโยชน์จากงานศิลปกรรมพื้นถิ่นในการเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับการศึกษาในระบบ

เด็ก ๆ ที่มาร่วมค่ายของเราในคราวนี้จึงมีเด็กในช่วงชั้นที่ 2 – 4 จำนวน 50 คนโดยผมพยายามจัดสรรโควต้าให้เหมาะสมกับแต่ละโรงเรียน โดยโรงเรียนระดับประถมศึกษาในเขตตำบลนี้มี 5 โรงเรียนดังนั้นจึงเฉลี่ยให้โรงเรียนละ 6 คน ส่วนโรงเรียนระดับมัธยมประจำอำเภอมีแห่งเดียวดังนั้นจึงให้โควต้ามากหน่อย

ผลที่ออกมาคือห้องเรียนของเราจึงเป็นห้องเรียนของเด็กหลายวัย จุดดีของการจัดกิจกรรมค่ายแบบนี้คือเด็กโตจะคอยดูแลเด็กเล็กแทนพี่เลี้ยงประจำกลุ่มได้ในหลายกิจกรรม(ในภาวะที่เรามีพี่เลี้ยงประจำกลุ่มไม่มากและบางกิจกรรมพี่เลี้ยงต่างเพศก็ดูแลลำบากเช่น การอาบน้ำและภารกิจส่วนตัว) นอกจากนั้นเด็กโตยังช่วยสอนเด็กเล็ก ๆในบางกิจกรรม

แต่ด้วยความเป็นเด็กแม้จะหลายช่วงชั้น แต่เมื่อมาร่วมกันความเป็นเด็กก็คือความเป็นเด็ก ย่อมต้องการการ้รียนรู้ที่สนุกเพลิดเพลินและเสรี แถมความซนมาด้วยซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดคะเนเอาไว้ ว่าเรามาจับปูใส่กระด้งแน่นอน

แล้วความดื้อความซน ความไม่อยู่นิ่ง การพูดคุยกันเซ็งแซ่จะขัดเกลาด้วยกิจกรรมอะไรดี นี่เป็นโจทย์สำคัญประการหนึ่งที่เราในฐานะผู้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้แบบค่ายต้องเอามาคิดและออกแบบ

ความจริงหลายกิจกรรมเป็นการออกแบบกิจกรรมบนสมมติฐานคือการคาดคะเนว่าจะได้กระบวนการและผลลัพท์ออกมาอย่างไร เช่นเดียวกกับการตอบโจทย์การขัดเกล่าให้เด็กนิ่ง มีสติ มีสมาธิและหยุดนิ่งเพื่อการสงบลงได้บ้าง ผมมองหากิจกรรมการเรียนรู้บางสิ่งเพื่อจัดการเรียนรู้นี้จนกระทั่งคิดถึง การบายศรีสู่ขวัญ

กลุ่มชาติพันธุ์ไทลาวรู้จักกิจกรรมนี้ในชื่อ การสู่ขวัญ โดยมีหัวใจของพิธีกรรมอยู่ที่การให้กำลังใจและเกิดสวัสดิมงคลแก่ผู้ถูกสู่ขวัญในการดำเนินชีวิตต่อไป ดังนั้นผู้ที่เข้าพิธีและถูกผูกแขนจึงถือว่าเกิดสิริมงคลแก่ตัวมีภูมิคุ้มกันภยันตรายต่าง ๆ ที่จะมารบกวนดังนั้นในค่ายการเรียนรู้เราได้จัดกิจกรรมสู่ขวัญให้แก่เด็ก ๆ ที่ร่วมค่ายเพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่เด็ก ๆ และให้เด็กเรียนรู้ประเพณีของตนเองโดยการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม

เราได้จัดเตรียมบายศรีขนาดพอเหมาะโดยมีช่างชาวบ้านหว้านใหญ่และพี่เลี้ยงของเรานั่งทำกันที่ศาลาการเปรียญ โดยเป็นบายศรีใบตองสามชั้น กิจกรรมนี้เนื่องจากต้องการให้บายศรีเสร็จทันการสู่ขวัญในตอนบ่ายและเด็ก ๆ มีกิจกรรมการเรียนรู้อื่น ๆ ต้องทำดังนั้นเด็ก ๆ จึงไม่ได้ร่วมทำด้วย ด้วยข้อจำกัดอย่างที่เล่าไปแล้ว ประกอบกับเมื่อวันก่อนเด็ก ๆ ได้ลงมือทำขันหมากเบ็งแล้ว

การสู่ขวัญในคราวนี้ เราได้หมดสูดหรือพ่อพราหม์จากปราชญ์ชาวบ้านในท้องที่เป็นผู้ทำพิธีให้แก่เรา ในการสู่ขวัญเพื่อให้เหมาะสมกับสมาธิของเด็ก ๆ ดังนั้นรูปแบบการสู่ขวัญจึงย่อย่นลงมาเพื่อให้เสร็จทันเวลา แต่ก็ไม่ลืมบทสู่ขวัญที่ครบกระบวนความตามแก่นสารของบทสู่ขวัญ

เที่ยงวันนี้เป็นอาหารมื้อสุดท้ายในค่ายวัฒนธรรมแห่งนี้ เด็กๆ ได้กินส้มตำที่แสนอร่อยจนสังเกตว่าอาหารหลายกลุ่มหมดเกลี้ยง อาจจะด้วยความแซบนัว หลังท้องอิ่ม ลานที่หน้าพระใหญ่ในวิหารถูกวางพานบายศรีที่สวยงามโดยช่างชาวบ้านและพี่เลี้ยงของเรา งามจนอยากจะเก็บเอาไว้ไม่อยากให้มันเหี่ยวเฉา

เด็ก ๆ ที่เจี้ยวจ้าวถูกเชิญให้มานั่งล้อมพ่อพราหม์ที่ตรงกลางลาน สิ่งที่ผมคาดคะเนไว้กำลังจะได้คำตอบอีกไม่กี่วินาที เด็ก ๆ ที่คุยกันหลอกล้อกันนิ่งเงียบเมื่อเทียนชัยถูกจุดที่ยอดของบายศรี บรรยากาศหลังจากนี้เราพบว่าเด็ก ๆ นิ่ง เงียบและสดับโสตฟังเสียงการสู่ขวัญของปราชญ์ผู้ที่เราเคารพ สายตาจับจ้องมองที่พ่อใหญ่และแสงเทียนที่ยอดบายศรี หลายคนสังเกตเพื่อนที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นเพื่อนนิ่งก็หันกลับไปนิ่งมองไปที่จุดเดียว

แม้ไม่ได้เห็นเหล่าเทวดาตัวเป็น ๆ มาชุมชนตามตำเชิญของหมดสูดที่เชิญเทวดามาชุมชน แต่ในบรรยากาศนั้นเราได้เห็นเทวดาน้อย ๆ ของเราชาวค่ายสงบนิ่ง เงียบ มีสมาธิตลอดการสู่ขวัญ เมื่อได้ยินการเอิ้นขวัญเด็ก ๆ ต่างเรียกขวัญกันตามเสียงนำของพ่อพราหม์ว่า มาเด้อขวัญเอ๊ย ดังสนั่น และนิ่งสงบฟังการสูดขวัญต่อไปเป็นเช่นนี้จนจบกระบวน

หลังจากสูดขวัญเสร็จพิธีกรรมต่อไปคือการผูกขวัญหรือผูกข้อต่อแขน เด็ก ๆ นำฝ้ายผูกแขนมาให้พี่เลี้ยงและวิทยากรของเราผูกแขนให้เพื่อเป็นสิริมงคล พี่ ๆ ทุกคนให้พรเด็ก ๆ กันคนละมุมตามสะดวก ในขณะที่เด็ก ๆ เวียนกันให้พี่ ๆ ผูกแขนเอาชัยเอาพร

มนต์แห่งพิธีให้คำตอบที่ผมคาดคะเนเอาไว้ได้ดีที่เดียวทั้งความสงบ นิ่ง สติและความผูกพันของคนกับคนและคนกับสิ่งที่เราคาดวังในค่าย จากตัวของเด็ก ๆ ไปสู่ เรา และนำไปสู่ พวกเรา ที่จะสร้างความมั่นคงของศิลปกรรมพื้นบ้านร่วมกัน แม้เพียงมือน้อย ๆ ของเรา

นี่เป็นบทเรียนของการบูรณาการทุนทางวัฒนธรรมในระดับจิตวิญญาณ(mind and soul)ที่เราพยายามบรรจุและทดลองทำกันในค่ายฮูบแต้มแคมของ

กันยายน 7, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : คน ค่าย เครือข่าย ความสุข

เราไม่ใช่บริษัทรับจัดค่าย เราไม่ได้เป็นองค์กรที่ทำงานด้านเด็ก แต่เราเป็นเพียงโครงการเล็ก ๆ ที่อยากทำงานกับเด็ก ๆ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับพื้นบ้านพื้นถิ่น ดังนั้นหน้าที่ของผมจึงเป็นนักส่งสาร ร่อนการ์ดเชิญ โทรศัพท์ชวน โปรยข้อความบนลานและโลกไซเบอร์เพื่อตามเพื่อนฝูง พี่น้อง ผองเพื่อครูบาอาจารย์ที่มักคุ้นให้มาช่วยค่าย

ในเมื่อหลายคนก็ต้องทำงานของตนเอง ดังนั้นการกะเกณฑ์ว่าใครจะมาได้บ้างจึงเป็นเรื่องยากเต็มทน แต่ในวันสุดท้ายก่อนเดินทางก็ยังมีบางอย่างรังเร ผมออกแบบกิจกรรมให้หยืดหยุนมากที่สุดโดยยึดเพื่อน ๆที่รับปากจริงไปได้จริงเป็นหลัก ซึ่งกลุ่มนี้สามารถเลื่อนกิจกรรมของตนไปกับความเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนที่ยังไม่แน่ใจก็ต้องยอมรับความไม่พร้อมและเตรียมแผนสำหรับแก้ไขปัญหา

จนกระทั้งถึงวันเปิดค่ายจริงและยืนยันการเดินทางจริง ผมก็พบว่าญาติพี่น้องเพื่อนพ้องที่เดินทางมาร่วมค่ายของโครงการเราคราวนี้เป็นนักกิจกรรมที่จัดแบ่งออกได้หลายประเภทด้วยกัน หากจะแบ่งตามประสบการณ์ชีวิต เราพบว่าสามารถจัดกลุ่มได้ 3 รุ่นคือ S M L

รุ่นเล็ก = S รุ่นเล็กแต่ใจใหญ่ กลุ่มนี้ผมได้เครือข่ายทางสกลนครมาช่วยซึ่งเป็นนักศึกษา รวมถึงน้อง ๆจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามเด็กหนุมไฟแรงที่เพิ่งจบซึ่งกลุ่มนี้จิ๋วแต่แจ๋วทั้งน้องปุ๊ น้องปอง น้องโบว์ น้องทิก น้องมี่ น้องแพท คนกลุ่มนี้มีจิตอาสาและรักษ์บ้านเกิดเมืองนอนที่ชัดเจน

( แพท มีมี่ และน้องโบว์์สาวน้อยเดินทางไกลมาจากธรรมศาสตร์ งานนี้เหนื่อยบ้างก็พักบ้างแต่เธอไม่แพ้ ถามหาค่ายต่อไป)

รุ่นกลาง = M รุ่นนี้เป็นกลุ่มมดงาน ผมได้เครือข่ายมาจากทุกทิศทุกทาง พี่คล่องกับอาจารย์อุ้ม เคยผ่านค่ายมาด้วยกันมากกว่าสิบซึ่งถือว่าสองคนนี้เป็นกำลังสำคัญของผมเพราะจะต่อกันติดง่ายไม่ว่าโยนกิจกรรมอะไรไป ส่วนอีกสองคนเป็นเพื่อนเครือข่ายจากสกลนครที่อาสามาช่วย มาดูและมาเชียร์นั้นคืออาจารย์นพและอาจารย์อ่ำ รวมทั้งเพื่อนครูที่ HUG SCHOOLอย่างอาจารย์ต้อม และมดจากหอมกรุ่น(ร้านกาแฟแสนอร่อย) กลุ่มนี้เราต่างถ่ายเทรูปแบบการจัดค่ายต่อกันสม่ำเสมอ ใครมีเทคนิคใหม่ ๆ ก็เอามากลางเรียนรู้ด้วยกัน

(อาจารย์ต้อม โบว์ อาจารย์อ่ำ พี่มด อาจารย์คล่อง อาจารย์อุ้ม ออต)

รุ่นใหญ่ = L กลุ่มแรงใจแรงกายแรงปัญญา รุ่นนี้เป็นรุ่นที่เมตตากับเรามาก เป็นเสมือนที่ปรึกษาในทุก ๆ มิติเป็นแรงใจ และหลายท่านก็เป็นขวัญใจชาวค่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ การได้รุ่นใหญ่มากประสบการณ์แบบนี้ช่วยให้งานของเรามีคุณค่าขึ้นมาอีกมาก เพราะก่อนหน้าที่เราไปกับแบบวัยรุ่นวุ่นรักค่าย แต่ลืมบางสิ่งบางอย่างที่ผู้ใหญ่มี รุ่นนี้เราได้เครือข่ายลานปัญญาเช่นอาม่าขวัญใจชาวค่าย อาจารย์บางทราย พี่พนัส นอกจากนั้นยังได้ความเมตตาจาก ดร.ศุภชัย สิงห์ยะบุษย์ปรมาจารย์ด้านลุ่มน้ำโขงศึกษามาช่วยอีกแรง

(อาม่า  ดร.ศุภชัย อาจารย์บางทราย)

นี่เป็นกลุ่มคนที่ผมขอจารึกเอาไว้ในค่ายแห่งนี้ เพราะทุกคนคือแรงกายแรงใจ แรงกำลังที่ทำค่ายเดินทางจนเสร็จสิ้นได้ สมควรที่จะได้รับการขอบคุณจากผมและศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะเราคือคนของค่ายที่เกิดจากเครือข่ายแห่งความสุข

(เป็นได้แม้ขาไมโครโฟน)

กันยายน 6, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : ละครในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้ในค่ายวัฒนธรรม

หลังอาบน้ำแบบเร่งด่วนเพราะเด็กๆ หลายคนใจจดจ่ออยู่กับละครเย็นนี้ เด็ก ๆ หลายคนจับกลุ่มกันซักซ้อมการแสดงเพื่อทบทวนบทบาท และลำดับการดำเนินเรื่องกันอย่างสนุก พี่เลี้ยงค่ายทนนั่งอยู่ไม่ได้ ต่างช่วยกันเตรียมอุปกรณ์ประกอบการแสดงให้กับเด็ก ๆ กัน เพื่อไม่ให้น้อยหน้ากลุ่มอื่น ๆ ภาพแบบนี้เราจะเห็นในหลายมุมของวัดป่าวิเวก

หลังข้าวเย็นตกถึงท้อง แต่ไม่ทันจะย่อยดีนักเด็ก ๆ ต่างโสแหล่กันเสียงดัง จนแยกไม่ออกว่ากลุ่มไหนเป็นกลุ่มไหน บ้างก็มาแอบดูการแสดงของกลุ่มอื่น บ้างก็มาขอวัสดุที่เราพอมีในค่ายเช่นกระดาษ กรรไกร กาว เพื่อไปทำอุปกรณ์ประกอบการแสดง หลายคนตีกลองเล่น ๆ ตามประสาเด็ก ทั้งหมดทั้งปวงเป็นสัญญาณที่ดีที่เด็ก ๆ ต่างเปิดหัวใจรับการเรียนรู้ของค่ายอย่างไม่กังวล

สองทุ่มบริเวณลานหน้าพระใหญ่ในวิหารพระนอน โรงละครธรรมของเรากำลังจะเริ่ม โดยพี่เลี้ยงรวมเด็ก ๆ เพื่อคลายความตื่นเต้นก่อนการแสดงด้วยเกมส์สนุก ๆ สองสามเกม ซึ่งช่วยให้เด็กคลายความตื่นเต้นลงได้อย่างดี เด็ก ๆ หลายคนนั่งนิ่งเพื่อรอชมการแสดงของเพื่อน ๆ

โรงละครของเราเปิดขึ้นแล้ว ม่านใหญ่หน้าพระประธาน กับนิทานธรรมที่เราถอดมาจากวรรณกรรมพระพุทธศาสนาเรื่องพระเวสสันดรชาดกจากวัดศรีมาโพธิ์ กำลังจะเริ่ม นักแสดงทุกคนต่างพร้อมและเต็มที่กับการแสดง พลันการแสดงเริ่ม เราก็เห็นแววตาและรอยยิ้มเสียงหัวเราะตลอดการแสดง เพราะสิ่งที่เด็ก ๆ แสดงได้แสดงออกถึงการเรียนรู้ของเด็ก ๆ อย่างชัดเจน
วันนี้ละครทุกตอนของเราเป็นละครที่เรียบง่าย เราใช้บทเจรจาด้วยภาษาถิ่นเมืองหว้านใหญ่ ที่แม้พี่เลี้ยงค่ายหลายคนจะเป็นคนชาติพันธุ์ไทลาวก็ไม่สามารถเลียบแบบสำเนียงเหล่านั้นได้ ผมฟังแล้วได้แต่ยิ้มในใจและช่างคุ้นเคยกับภาษาที่เด็ก ๆ ใช้อย่างบอกไม่ถูกเพราะสำเนียงที่เด็ก ๆ ใช้ในการแสดงเป็นสำเนียงที่นักแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนหรือหมอลำหมู่แถบเมืองขอนแก่น มหาสารคามและกาฬสินธุ์ใช้กันเป็นพื้น

(ตอนชูชกได้นางอมิตดาเป็นภรรยา แหมเลือกคนได้สมกับบทบาทจริง ๆ)

(ตอนเห่พระเวสสันดีเข้าเมือง  เห็นพระเวสสันดรบนคอช้างไหมครับ ง่าย ๆแต่เข้าใจ)

เสียงหัวเราะของเด็กดังอยู่ตลอดเวลา เนื้อเรื่องที่จำได้จำไม่ได้ในตอนบ่าย แต่มาถึงการแสดงเด็ก ๆ ทุกคนต่างจำเนื้อหาในแต่ละตอนได้อย่างชัดเจน แม้ชื่อตัวละครหลายตัวจะเพี้ยนไปบ้าง หรือลืมบทไปบ้าง แต่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะการเล่าปากต่อปากของเด็ก ๆ ย่อมมีการเพี้ยนไปเป็นธรรมชาติของภาษาแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดจากการช่วยเหลือกันในกลุ่มต่างหากที่เป็นสัมพันธภาพที่น่าจดจำ

แต่เสียงหนึ่งที่ดังไม่แพ้เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ คือเสียงหัวเราะของพี่เลี้ยงทุกคน ที่ต่างขำกันจนปวดเส้นเอ็นบนใบหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเวลาซ้อมกับเวลาแสดงช่างต่างกัน จนอดขำไม่ได้

เสียงหัวเราะหยุดลงพร้อมกับเสียงสวดมนต์ก่อนนอนดังขึ้น เป็นสัญลักษณ์ว่าวันนี้พวกเราชาวค่ายทุกคนควรนอนเอาแรงหลังจากที่ใช้พลังงานมากเหลือในกิจกรรมวันนี้ แสงเทียนที่หน้าพระประธานและไฟจากเพดานหรี่ลง พี่ๆ เอนตัวลงนอนอย่างเหน็ดเนื่อยแต่ทุกคนยิ้มในใจคิดถึงการแสดงละครของเด็ก ๆ ในความเงียบ เราต่างแอบได้เย็นเสียง เด็ก ๆ คุยกันถึงการแสดงที่ผ่านมา ก่อนที่ตาจะหลับและเข้าเฝ้าพระอินทร์ในคืนวันนี้ วันที่พระจันทร์เกือบเต็มดวง

Powered by WordPress