ลานบ้านชลบถพิบูลย์

กันยายน 7, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : คน ค่าย เครือข่าย ความสุข

เราไม่ใช่บริษัทรับจัดค่าย เราไม่ได้เป็นองค์กรที่ทำงานด้านเด็ก แต่เราเป็นเพียงโครงการเล็ก ๆ ที่อยากทำงานกับเด็ก ๆ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับพื้นบ้านพื้นถิ่น ดังนั้นหน้าที่ของผมจึงเป็นนักส่งสาร ร่อนการ์ดเชิญ โทรศัพท์ชวน โปรยข้อความบนลานและโลกไซเบอร์เพื่อตามเพื่อนฝูง พี่น้อง ผองเพื่อครูบาอาจารย์ที่มักคุ้นให้มาช่วยค่าย

ในเมื่อหลายคนก็ต้องทำงานของตนเอง ดังนั้นการกะเกณฑ์ว่าใครจะมาได้บ้างจึงเป็นเรื่องยากเต็มทน แต่ในวันสุดท้ายก่อนเดินทางก็ยังมีบางอย่างรังเร ผมออกแบบกิจกรรมให้หยืดหยุนมากที่สุดโดยยึดเพื่อน ๆที่รับปากจริงไปได้จริงเป็นหลัก ซึ่งกลุ่มนี้สามารถเลื่อนกิจกรรมของตนไปกับความเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนที่ยังไม่แน่ใจก็ต้องยอมรับความไม่พร้อมและเตรียมแผนสำหรับแก้ไขปัญหา

จนกระทั้งถึงวันเปิดค่ายจริงและยืนยันการเดินทางจริง ผมก็พบว่าญาติพี่น้องเพื่อนพ้องที่เดินทางมาร่วมค่ายของโครงการเราคราวนี้เป็นนักกิจกรรมที่จัดแบ่งออกได้หลายประเภทด้วยกัน หากจะแบ่งตามประสบการณ์ชีวิต เราพบว่าสามารถจัดกลุ่มได้ 3 รุ่นคือ S M L

รุ่นเล็ก = S รุ่นเล็กแต่ใจใหญ่ กลุ่มนี้ผมได้เครือข่ายทางสกลนครมาช่วยซึ่งเป็นนักศึกษา รวมถึงน้อง ๆจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามเด็กหนุมไฟแรงที่เพิ่งจบซึ่งกลุ่มนี้จิ๋วแต่แจ๋วทั้งน้องปุ๊ น้องปอง น้องโบว์ น้องทิก น้องมี่ น้องแพท คนกลุ่มนี้มีจิตอาสาและรักษ์บ้านเกิดเมืองนอนที่ชัดเจน

( แพท มีมี่ และน้องโบว์์สาวน้อยเดินทางไกลมาจากธรรมศาสตร์ งานนี้เหนื่อยบ้างก็พักบ้างแต่เธอไม่แพ้ ถามหาค่ายต่อไป)

รุ่นกลาง = M รุ่นนี้เป็นกลุ่มมดงาน ผมได้เครือข่ายมาจากทุกทิศทุกทาง พี่คล่องกับอาจารย์อุ้ม เคยผ่านค่ายมาด้วยกันมากกว่าสิบซึ่งถือว่าสองคนนี้เป็นกำลังสำคัญของผมเพราะจะต่อกันติดง่ายไม่ว่าโยนกิจกรรมอะไรไป ส่วนอีกสองคนเป็นเพื่อนเครือข่ายจากสกลนครที่อาสามาช่วย มาดูและมาเชียร์นั้นคืออาจารย์นพและอาจารย์อ่ำ รวมทั้งเพื่อนครูที่ HUG SCHOOLอย่างอาจารย์ต้อม และมดจากหอมกรุ่น(ร้านกาแฟแสนอร่อย) กลุ่มนี้เราต่างถ่ายเทรูปแบบการจัดค่ายต่อกันสม่ำเสมอ ใครมีเทคนิคใหม่ ๆ ก็เอามากลางเรียนรู้ด้วยกัน

(อาจารย์ต้อม โบว์ อาจารย์อ่ำ พี่มด อาจารย์คล่อง อาจารย์อุ้ม ออต)

รุ่นใหญ่ = L กลุ่มแรงใจแรงกายแรงปัญญา รุ่นนี้เป็นรุ่นที่เมตตากับเรามาก เป็นเสมือนที่ปรึกษาในทุก ๆ มิติเป็นแรงใจ และหลายท่านก็เป็นขวัญใจชาวค่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ การได้รุ่นใหญ่มากประสบการณ์แบบนี้ช่วยให้งานของเรามีคุณค่าขึ้นมาอีกมาก เพราะก่อนหน้าที่เราไปกับแบบวัยรุ่นวุ่นรักค่าย แต่ลืมบางสิ่งบางอย่างที่ผู้ใหญ่มี รุ่นนี้เราได้เครือข่ายลานปัญญาเช่นอาม่าขวัญใจชาวค่าย อาจารย์บางทราย พี่พนัส นอกจากนั้นยังได้ความเมตตาจาก ดร.ศุภชัย สิงห์ยะบุษย์ปรมาจารย์ด้านลุ่มน้ำโขงศึกษามาช่วยอีกแรง

(อาม่า  ดร.ศุภชัย อาจารย์บางทราย)

นี่เป็นกลุ่มคนที่ผมขอจารึกเอาไว้ในค่ายแห่งนี้ เพราะทุกคนคือแรงกายแรงใจ แรงกำลังที่ทำค่ายเดินทางจนเสร็จสิ้นได้ สมควรที่จะได้รับการขอบคุณจากผมและศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะเราคือคนของค่ายที่เกิดจากเครือข่ายแห่งความสุข

(เป็นได้แม้ขาไมโครโฟน)

กันยายน 6, 2009

ฮูบแต้มแคมของ : ละครในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้ในค่ายวัฒนธรรม

หลังอาบน้ำแบบเร่งด่วนเพราะเด็กๆ หลายคนใจจดจ่ออยู่กับละครเย็นนี้ เด็ก ๆ หลายคนจับกลุ่มกันซักซ้อมการแสดงเพื่อทบทวนบทบาท และลำดับการดำเนินเรื่องกันอย่างสนุก พี่เลี้ยงค่ายทนนั่งอยู่ไม่ได้ ต่างช่วยกันเตรียมอุปกรณ์ประกอบการแสดงให้กับเด็ก ๆ กัน เพื่อไม่ให้น้อยหน้ากลุ่มอื่น ๆ ภาพแบบนี้เราจะเห็นในหลายมุมของวัดป่าวิเวก

หลังข้าวเย็นตกถึงท้อง แต่ไม่ทันจะย่อยดีนักเด็ก ๆ ต่างโสแหล่กันเสียงดัง จนแยกไม่ออกว่ากลุ่มไหนเป็นกลุ่มไหน บ้างก็มาแอบดูการแสดงของกลุ่มอื่น บ้างก็มาขอวัสดุที่เราพอมีในค่ายเช่นกระดาษ กรรไกร กาว เพื่อไปทำอุปกรณ์ประกอบการแสดง หลายคนตีกลองเล่น ๆ ตามประสาเด็ก ทั้งหมดทั้งปวงเป็นสัญญาณที่ดีที่เด็ก ๆ ต่างเปิดหัวใจรับการเรียนรู้ของค่ายอย่างไม่กังวล

สองทุ่มบริเวณลานหน้าพระใหญ่ในวิหารพระนอน โรงละครธรรมของเรากำลังจะเริ่ม โดยพี่เลี้ยงรวมเด็ก ๆ เพื่อคลายความตื่นเต้นก่อนการแสดงด้วยเกมส์สนุก ๆ สองสามเกม ซึ่งช่วยให้เด็กคลายความตื่นเต้นลงได้อย่างดี เด็ก ๆ หลายคนนั่งนิ่งเพื่อรอชมการแสดงของเพื่อน ๆ

โรงละครของเราเปิดขึ้นแล้ว ม่านใหญ่หน้าพระประธาน กับนิทานธรรมที่เราถอดมาจากวรรณกรรมพระพุทธศาสนาเรื่องพระเวสสันดรชาดกจากวัดศรีมาโพธิ์ กำลังจะเริ่ม นักแสดงทุกคนต่างพร้อมและเต็มที่กับการแสดง พลันการแสดงเริ่ม เราก็เห็นแววตาและรอยยิ้มเสียงหัวเราะตลอดการแสดง เพราะสิ่งที่เด็ก ๆ แสดงได้แสดงออกถึงการเรียนรู้ของเด็ก ๆ อย่างชัดเจน
วันนี้ละครทุกตอนของเราเป็นละครที่เรียบง่าย เราใช้บทเจรจาด้วยภาษาถิ่นเมืองหว้านใหญ่ ที่แม้พี่เลี้ยงค่ายหลายคนจะเป็นคนชาติพันธุ์ไทลาวก็ไม่สามารถเลียบแบบสำเนียงเหล่านั้นได้ ผมฟังแล้วได้แต่ยิ้มในใจและช่างคุ้นเคยกับภาษาที่เด็ก ๆ ใช้อย่างบอกไม่ถูกเพราะสำเนียงที่เด็ก ๆ ใช้ในการแสดงเป็นสำเนียงที่นักแสดงหมอลำเรื่องต่อกลอนหรือหมอลำหมู่แถบเมืองขอนแก่น มหาสารคามและกาฬสินธุ์ใช้กันเป็นพื้น

(ตอนชูชกได้นางอมิตดาเป็นภรรยา แหมเลือกคนได้สมกับบทบาทจริง ๆ)

(ตอนเห่พระเวสสันดีเข้าเมือง  เห็นพระเวสสันดรบนคอช้างไหมครับ ง่าย ๆแต่เข้าใจ)

เสียงหัวเราะของเด็กดังอยู่ตลอดเวลา เนื้อเรื่องที่จำได้จำไม่ได้ในตอนบ่าย แต่มาถึงการแสดงเด็ก ๆ ทุกคนต่างจำเนื้อหาในแต่ละตอนได้อย่างชัดเจน แม้ชื่อตัวละครหลายตัวจะเพี้ยนไปบ้าง หรือลืมบทไปบ้าง แต่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะการเล่าปากต่อปากของเด็ก ๆ ย่อมมีการเพี้ยนไปเป็นธรรมชาติของภาษาแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดจากการช่วยเหลือกันในกลุ่มต่างหากที่เป็นสัมพันธภาพที่น่าจดจำ

แต่เสียงหนึ่งที่ดังไม่แพ้เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ คือเสียงหัวเราะของพี่เลี้ยงทุกคน ที่ต่างขำกันจนปวดเส้นเอ็นบนใบหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเวลาซ้อมกับเวลาแสดงช่างต่างกัน จนอดขำไม่ได้

เสียงหัวเราะหยุดลงพร้อมกับเสียงสวดมนต์ก่อนนอนดังขึ้น เป็นสัญลักษณ์ว่าวันนี้พวกเราชาวค่ายทุกคนควรนอนเอาแรงหลังจากที่ใช้พลังงานมากเหลือในกิจกรรมวันนี้ แสงเทียนที่หน้าพระประธานและไฟจากเพดานหรี่ลง พี่ๆ เอนตัวลงนอนอย่างเหน็ดเนื่อยแต่ทุกคนยิ้มในใจคิดถึงการแสดงละครของเด็ก ๆ ในความเงียบ เราต่างแอบได้เย็นเสียง เด็ก ๆ คุยกันถึงการแสดงที่ผ่านมา ก่อนที่ตาจะหลับและเข้าเฝ้าพระอินทร์ในคืนวันนี้ วันที่พระจันทร์เกือบเต็มดวง

Powered by WordPress