เรียบร้อยแล้ว เช้านี้ได้มาทั้งป้ายเฮฮาศาสตร์และต้นฉบับแผ่นพับของเราชาวเฮฮาศาสตร์ที่จะไปงานระพี 2 ในวัันพรุ่งนี้ ซึ่งออตได้รับมองหมายได้ไปช่วยงานนี้ เมื่อเช้าเลยโทรเรียกรถเช่าให้มารับข้าวของขึ้นรถก่อนจะออกเดินทางในตอน 11 โมงวันนี้เพราะดูฤกษ์จะดีกว่างานนี้วางแผนเอาไว้คร่าว ๆ เพราะมีเรื่องต้องเดินทางหลายแห่ง
แผ่นพับที่ได้ ปรับจากที่ทำไว้คราวก่อนนิดหน่อย ส่วนเนื้อหาไม่มีใครคอมเม้นส์ จึงถือเอาตามนั้น ส่วนองค์ประกอบศิลป์นั้นผมขอเปลี่ยนนิดหน่อยเพื่อความสวยงามและง่ายต่อการปริ้น ซึ่งเย็นวันนี้หลังเตรียมบูธเสร็จผมจะนั่งปริ้นที่ที่พักให้เรียบร้อย ดังนั้นงานนี้จึงยกปริ้นเตอร์น้อย ๆ ไปหนึ่งเครื่อง ถ้ามันเจ้งขึ้นมา อิอิ ไม่รู้เหมือนกาน?
เช้านี้ผมออกเดินทางจากขอนแก่นไป 11 โมงเพื่อไปสวนป่า ที่สตึก บุรีรัมย์ เพราะต้องไปรับต้นไม้ใบหญ้าที่สวนป่าเตรียมเอาไปโชว์ที่งานระพี2 ซึ่งไปถึงสตึกและจัดการสรรพเพเหระเสร็จก็น่าจะออกเดินทางไป กทม ได้ถึงสามทุ่ม ซึ่งมีเวลาพักนิดหน่อยก่อนจะเข้าไปเตรียมบูธที่ SCB ในตอน4 ทุ่ม ซึ่งประสานกับเจ้าหน้าที่โครงการระพีเสวนาไว้แล้ว(งานนี้น้องจิ ว่าจะไปช่วย ป่วน อิอิ ลุงแฮนนดี้จะไปช่วยดูแลมุมประยุกต์เทคโนโลยี ใครจะไปช่วยพับแผ่นพับอีกน่า? งิมงิม)
เสร็จแล้วจะเข้าที่พักและปริ้นแผ่นพับ เอกสารที่ควรจะแจกในวันงาน คงได้นอนอยู่บ้างก่อนจะไปเฝ้าบูธในวันที่ 3 งานนี้พี่น้องเฮฮาศาสตร์ใครไปบ้างครับ กลัวเหงาจัง มาเยอะ ๆ หน่อยนะครับถือว่ามาฉลองออตเข้า กทม อิอิ
วันที่ 3 จะนอน กทม หนึ่งคืนและวันที่ 4 จะเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อไปเยี่ยมญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงและไปช่วยเป็นกรรมการสอบนักศึกษาของสาขาสื่อและการออกแบบ คณะวิจิตรศิลป์ มช. งานนี้จะเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในการเป็นกรรมการสอบวิทยนิพนธ์ ซึ่งนักศึกษาที่สอบทำเรื่อง การออกแบบไหมมัดหมี่ในบริบทจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งช่วงนี้ผมนั่งอ่านวิทยานิพนธ์จนตาลายไปหมด อ่านไปสนุกไป อ่านไปงงไป คิดถึงตอนที่ตัวเองทำวิทยนิพนธ์จัง………..เหนื่อยโค ต ร…….
วันที่ 5 สอบวิทยานิพนธ์เสร็จก็จะขอลั่นล้าที่เชียงใหม่ก่อน อย่างน้อยก็พักเอาแรงงับ
อุยรถเช่ามาแล้วครับ ไปก่อนนะครับ
มาแล้วครับ แผ่นพับที่เพิ่งเสร็จหมาด ๆ อันนี้แก้ได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะเปิดงาน เพราะคงจะปริ้นเองด้วยปริ้นเตอร์ธรรมดา ท่านไหนมีอะไรเพิ่มเติม รบกวนแก้ไขได้นะครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
นิทรรศการในงานวันรพี เป็นอะไรที่ยากเพราะตัวอยู่ขอนแก่นแต่งานอยู่ กทม ยิ่งเป็ฯคนบ้านนอกจะเข้ากรุงแต่ละครั้งช่างยากเต็มที่ ดังนั้นการที่จะไปหาข้าวของเอาข้างหน้าดูเหมือนจะไม่ได้กาล ดังนั้นอะไรที่เตรียมได้จากขอนแก่นก็จะพยายามทำเตรียมเอาไว้ เช่นเดียวกับป้ายต่างมุมต่าง ๆ ของชาวเฮฮาศาสตร์
เนื่องจากเวลาจำกัด และจะต้องรีบจัดการเพราะพรุ่งนี้วันแรงงาน อาจจะไม่มีใครทำงานให้ ดังนั้นจึงออกแบบด้วยเวลาที่มี ไม่สวยประการใดต้องขออภัยด้วยนะครับ ถ้ามีเวลาแก้ไขจะแก้ไข ถ้าเวลาจำกัดและไม่ทันขอถือโอกาสเอาเลยนะครับ อิอิ
ป้ายรวมของบูธชาวเฮฮาศาสตร์ครับ
เฮฮาศาสตร์กับต้นไม้ใบหญ้า
ป้าจุ๋มหอบหิ้วต้นไม้ ใบหญ้า สมุนไพรและพืชใหม่ ๆ พืชพื้นบ้านที่ปลูกในสวนป่ามหาชีวาลัยอีสาน อันมีคุณค่าต่อมนุษย์และโลกใบงามทั้งในแง่สุขภาพ พลังงานเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
เฮฮาศาสตร์กับการประยุกต์เทคโนโลยี
ลุงแฮนดี้เปิดคลีนิคการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับการเรียนรู้ของเครือข่ายมนุษย์ ผ่านเทคโนโลยีที่พอเหมาะ พอเพียง ไม่แพง พึ่งตัวเองได้ ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกันผ่านชุมชนของชาวเฮฮาศาสตร์ใน lanpanya.com
เฮฮาศาสตร์กับทุนทางวัฒนธรรม
ออตหอบหิ้วผ้าไหมมัดหมี่ร่วมสมัยกว่า 20 ลายที่พัฒนามาจากการศึกษา วิจัยและพัฒนาการมัดหมี่แบบพื้นบ้าน แล้วนำมาผสมผสานกันระหว่างของเก่ากับของใหม่เพื่อให้ผ้าไหมมัดหมี่รับใช้ผู้คนในปัจจุบันอย่างไม่เขินอาย
หลังสงกรานต์มาก็นานหลายวัน แต่งานปรับปรุงบ้านที่ขอนแก่นยังไม่ไปถึงไหน ความจริงก็เข้ามาอยู่ตั้งสี่เดือนแล้ว ยังไม่มีอะไรเสร็จเลยสักอย่าง เบื่อ จริง ๆ
ต้นไม้ที่พยายามปลูกเอาไว้ก็ตายทั้งยืน น้ำที่บ้านก็ไหลยังยางมะกอกหนืดดีเหลือเกินทั้งที่มันเป็นสาธารณูปโภคที่ท้องถิ่นต้องให้ความสนใจ รดน้ำตอนเช้าแ่เที่ยงดินก็แข็งกรังจนรากต้นไม้แทบจะแข็งตายเอาให้ได้ สงสารต้นไม้จริง ๆ ทำไมมันร้อนนักเชียวงะ
แต่หญ้าหน้าบ้านซิ งามเอางามเอา เฮ้ย กลับตาลปัดกันจริง ๆ ไอ้ที่อยากให้งามไม่งาม ไอ้ที่ยังไม่อยากให้งามก็งามเอางามเอา คนเราเอาชนะธรรมชาติเนี่ยมันยากจริง ๆ
บันทึกแบบปลง ๆ เฮ้ย ร้อน หนีไปหลบร้านกาแฟดีกว่า จะอยู่ทั้งวันเลย ประชดความร้อน
ผมลงมือสอนที่ HUG SCHOOL เข้าเดือนที่สองแล้วหากนับเป็นรายครั้งต่อเด็กที่สอนในแต่ละกลุ่มก็ราว 7-8 ครั้ง ซึ่งในจำนวน 7-8 ครั้งนี้กิจกรรมแห่่งความสุขในโลกจินตนาการก็ขับเคลื่อนค่อยเป็นค่อยไป แต่มีผู้ปกครองหลายคนมักหลงทางในเรื่องการเรียนศิลปะ
ผู้ปกครองเมื่อมารับลูกก็มีโอกาสได้เจอกับคุณครู ผมเองเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เจอพ่อแม่เด็กเสมอ ๆ แต่คำถามที่มักเจอบ่อยคือ ลูกวาดรูปเป็นหรือยัง? วาดเป็นเรื่องเป็นราวหรือยัง? คำถามประเภทนี้ทำเอาคนสอนอึดอัดอยู่เช่นกัน เพราะความจริงกับความคาดหวังของผู้ปกครองช่างต่างกันมาก
สำหรับศิลปะเด็ก มันเป็นเครื่องมือของความสุขและขับเคลื่อนโลกแห่งจินตนาการของเด็ก ๆ ดังนั้นแม้เด็กบางคนจะไม่สามารถผลักเอาจินตนาการและความรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ ออกมาเป็นรูปร่างรูปทรงแต่ก็นับว่าสมองของเขาได้ทำงาน ได้เคลื่อนไหวอยู่แล้ว ซึ่งมันต่างจากการรับเอางาศิลปะสำเร็จรูปจากทีวีที่ทุกอย่างดูเบ็ดเสร็จไปหมดเด็กมีหน้าที่เพียงรับเอาเท่านั้น ส่วนโลกแห่งจินตนาการมันวนๆเวียนๆอยู่ในสมองของเขา
ดังนั้นเวลาสามเดือนต่อคอร์สนี้ แน่นอนสำหรับผมมันไม่ได้ทำให้เด็กวาดรูปสวยขึ้น หรือวาดรูปเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมากเท่าไหร่หรอก เพราะคนที่เรียนศิลปะสี่ห้าปี บางทียังตื้อเมื่อต้องสร้า้งสรรค์ผลงานศิลปะใหม่ ๆ หลายคนต้องหาข้อมูล ค้นหาแรงบันดาลใจและลงมือทำอยู่เช่นนั้นหลายต่อหลายรอบ วาดแล้ววาดอีก ทำแล้วทำอีก แต่ผมมั่นใจว่ากระบวนการทางศิลปะในห้องเรียนของ HUG SCHOOL ในสามเดือนนี้จะทำเด็ก ๆ รักศิลปะ
เรื่องนี้เมื่อได้เจอผู้ปกครองจึงต้องปรับความคาดหวังให้อยู่ในรูปในรอยอยู่บ้าง เพราะไม่เช่นนั้น ครูอาจจะโดนเชิญให้ออกในฐานะไม่สามารถขับเคลื่อนความคาดหวังของผู้ปกครองได้ แนวทางประการหนึ่งที่ผมคิดว่าโรงเรียนต้องช่วยทำคือ การสร้างความเข้าในในแนวทางของโรงเรียนให้ชัดเจนและมีความคาดหวังในแนวทางและแนวคิดของโรงเรียน
ไม่เช่นนั้นมันจะวน ๆ เวียน ๆ และลงทางในแนวทางศิลปะที่ผู้ใหญ่กำหนด
ปกเจ้าเป็นใผ เล่มใหม่ครับ ตามที่ททุกท่านเสนอมา
สัปดาห์นี้นอกจากงานจะมากแล้ว ยังมีหน้าที่ลูกที่ดีพาแม่ไป รพ.อีกหน้าที่หนึ่ง หลังจากเมื่อวานแม่ให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมมานั่งทบทวนและคิดเรื่อยเปื่อยถึงเหตุการณ์ที่แม่ต้องเข้า รพ.
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม่อ่อนเพลียมากและหายใจไม่ทั่วท้องตอนกลางคืน ที่บ้าน(เมืองพล)แม่อยู่คนเดียว แต่แม่บอกก็ต้องกระสับกระส่ายอยู่อย่างนั้นจนส่วางจึงออกไปบอกป้าซึ่งเป็นช่างทออผ้าด้วยกัน ตอนสายจึงพากันไปที่คลีนิคเพราะเป็นวันหยุด รพ.ประจำอำเภอไม่เปิดแล้วที่คลีนิคหมอให้ยามาจำนวนหนึ่งและบอกแม่ว่าแม่เป็นไข้
แม่คงรู้สึกว่าไม่ใช่ไข้ธรรมาดาวันจันทร์ตอนเช้าจึงไปที่รพ.ประจำอำเภอเพื่อตรวจเลือดและไปหาหมอ หมอบอกแม่ว่าแม่เป็นไข้และผลเลือดก็ไม่มีอะไรผิดปกติอะไร หมอจึึงจัดยาให้และให้กลับมานอนพักที่บ้าน ตอนบ่ายผมจึงไปรับแม่มาอยู่ขอนแก่นด้วย สังเกตได้ว่าแม่เพลียมากและนอนไม่หลับ
ตอนเช้าตรู่แม่มาเคาะห้องและบอกว่าให้พาไปหาหมอหน่อย แม่บอกหายใจไม่ออกเหมือนปอดผิดปกติและแม่อยากเอ๊กซเรย์ให้รู้ไปเลย จึงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพาแม่ไป รพ.เอกชนในขอนแก่น ผลตรวจเลือดและผลเอ๊กสเรย์ดที่ออกมาช่างต่างจากที่เคย หมอแจ้งผมว่าแม่ปอดติดเชื้อ ผลเลือดไม่ผิดปกติเพียงแต่เกล็ดเลือดต่ำมากต่ำกว่าคนปกติไปครึ่งหนึ่ง
เป็นอันว่าแม่ต้องนอน รพ.(เอกชน)เพื่อให้ยาและพักรักษาตัว ผมรู้ว่าแม่กังวลในเรื่องค่ารักษาพยาบาล แม่จะอยู่ใกล้หมอแต่แม่ก็นอนไม่หลับ และบอกให้ผมบอกหมอกลับบ้าน เมื่อผมไปเยี่ยมก็จะถามเรื่องค่าใช้จ่ายตลอดเวลา ผมได้แต่บอกว่าสามารถจ่ายได้ ไม่แพงอะไรมากเมื่อเทียบกับการดูแลเอาใจใส่และความละเอียดในการรักษา ก็นับว่าคุ้ม
เมื่อวานแม่อาการดีขึ้น หมออนุญาติให้กลับบ้าน เราจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลไปจำนวนหนึ่งและนั้นเป็นที่มาของการคิดคำนึงถึง สวัสดิการชุมชน ผมมองย้อนกลับไปที่ชุมชนเห็นคนในชุมชนรักษาพยาบาลกันตามยถากรรม ปล่อยให้โรคมันกำเริบไปมากถึงค่อยไปหาหมอ เมื่อไปถึงมือหมอก็หมดค่าใช้จ่ายไปมาก
ความจริงไม่ได้โทษหมอที่ รพ.ประจำอำเภอ ทั้งนี้อาจจะคนใข้มากและเครื่องไม้เครื่องมือไม่พอ แต่เมื่อมองย้อนกลับมาเป็นพี่น้องชาวนาคนอื่น ๆ หากต้องจ่ายเงินแบบสถานการณ์ของผม มีหวังทำนามาทั้งปีก็คงต้องขายมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นแน่ ผมคิดถึงการสะสมเงินเพื่อสัวสดิการของช่างทอที่ทอผ้าให้ผม ว่าเราจะหาทางอย่างไรถ้าเราเจอสถานการณ์แบบนี้ หรือผมควรมีวิธีช่วยเหลือชางทอคนอื่น ๆ ในกลุ่มได้อย่างไร
(ช่างทอผ้าแก่ ๆ ที่ไม่มีสวัสดิการ เมื่อป่วยไข้จะทำอย่างไรดีน้า)
ท่านที่สันทัดเรื่องนี้ น่าจะให้คำตอบได้ดี แต่สถานการณ์ผ่านไปได้ผมดีใจที่แม่ดีขึ้นและเราพอมีสวัสดิการจากการสะสมและออมทรัพย์ไว้ใช้เมื่อจำเป็น ซึ่งความจำเป็นนี้ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ และแม่ก็ไม่ต้องขายข้าวที่ลงทุนทำมาทั้งปี
ผมเลือกสอนศิลปะในห้องเรียนที่มีความสุข แม้บางคราวสิ่งที่เตรียมเอาไว้จะกลายเป็นความไม่สุขของนักเรียนบางคน ซึ่งก็จดจำเอาไว้เก็บไปพัฒนาต่อไป ดังนั้นเมื่ออุ่นเครื่องเด็ก ๆ จนพร้อที่จะลงมือสร้างสรรค์งานศิลปะแล้ว หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นสวรรค์น้อย ๆ ของเขา
ในระหว่างเด็ก ๆ สร้างสรรค์ ผมเลือกที่จะเดินดูอยู่ห่าง ๆ หรือเดินไปเดินมาช่วยหาอุปกรณ์ สี หรือเตรียมสิ่งของที่เด็ก ๆ จะใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะเอาไว้ให้พร้อม งดการวิจารณ์หรือพูดถึงผลงานของเด็ก จะพูดก็ต่อเมื่อพบเห็นเด็ก ๆ บางคนยังคิดอะไรไม่ออก หรือคิดได้แต่ไม่กล้าลงมีสักที นั้นถึงเป็นเวลาที่ผมจะเปิดปากพูด
การเดินวนไปรอบ ๆ จะช่วยให้ครูมองเด็กและสังเกตพฤติกรรมเด็กเป็นรายบุคคลได้และเมื่อเดินบ่อย ๆ ครูจะสามารถเดาพฤติกรรมต่อไปของเด็กบางคนได้ ว่าเด็กพร้อมที่จะทำงานแล้วหรือยังต้องการการกระตุ้นเพิ่ม เราจะสังเกตได้ว่าเด็กคนนั้นต้องการหรือไม่ต้องการให้ใครไปยุ่งกับโลกจินตนาการของเขา เราจะสังเกตได้ว่าเด็กคนนั้นเหนื่อยล้ากับการทำงานและต้องการการพักแล้ว
เมื่อพบว่าพฤติกรรมดังกล่าว ผมมักจะไม่กระตุ้นต่อ แต่ปล่อยให้เด็ก ๆ เปลี่ยนอริยาบถไป ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นผมเล่นกับเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกม พูดคุย เมาส์กันให้สนุกปาก หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนอริยาบถ ก่อนหน้านั้นหลายครั้งที่ผมมักกระตุ้นเพิ่มเมื่อเห็นเด็กเหนื่อยหวังว่าจะให้ผลงานสวยงาม แต่จากการสังเกตนี้ผมเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะกระตุ้นเพิ่ม
ผมปล่อยให้เด็กเล่นจนเหนื่อยในเวลาที่สมควร เมื่อเด็กเหนื่อยเราจะพบปรากฏการณ์ใหม่ที่เด็กหันกลับมาสนใจงานศิลปะของตนเองเพิ่มมากขึ้น และหลายคนทำงานตนเองจะเสร็จโดยไม่ต้องมากระตุ้นให้เขาทำงานศิลปะต่อ
เรื่องนี้นอกจากครูต้องเป็นนักสังเกตแล้ว ผู้ปกครองเองต้องตะหนักในข้อนี้ด้วย มีผู้ปกครองหลายคน เมื่อมารับลูกและเห็นว่าทำงานไม่เสร็จก็จะพยายามบอกให้ลูกทำงานศิลปะต่อให้เสร็จ เมื่อผมเดินไปเจอก็จะรีบถามเด็กด้วยคำถามนำว่า “เหนื่อยแล้วใช่ไหม?” ซึ่งคำตอบว่า “ใช่” ก็จะออกจากปากเด็ก ๆ เรื่องนี้ทำเอาผู้ปกครองหลายคนงอนครูไปเหมือนกัน แต่ทำไงได้เพราะเด็กเหนื่อยมากแล้วการสร้างสรรค์ต่อของพ่อแม่อาจจะเป็นการทำลายนิสัยรักการสร้างสรรค์ก็เป็นได้ เพราะ หนูเหนื่อยแล้ว พอแล้ว ล้าแล้ว
ทุกวันนี้พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนมากเลี้ยงลูกกับทีวีเป็นหลัก เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยจนนำไปสู่พฤติกรรมของลูกที่เลียนแบบทีวี และรายการทีวีประเภทการ์ตูนก็ดูเหมือนจะเป็นของหวานสำหรับเด็ก ๆ ดังนั้นโลกของเด็ก ๆ กับ HERO ในการ์ตูนจึงเป็นกระจกส่องกันและกัน
แล้วเจ้า HORE ส่วนมากก็ดูเหมือนจะเป็นนักต่อสู้ทั้งสิ้น การต่อสู้ก็เหมือนเน้นการใช้กำลัง พลังกำลัง เครื่องมือเครื่องใช้ที่รุนแรงด้วยกันทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นเด็ก ๆ เดินไปถือดาบไป หรือสำแดงพลังใส่คนนั้นคนนี้หรือเที่ยวไล่ตีคนนั้นคนนี้ประหนึ่งตัวเองเป็น HERO ผู้พิชิตคู่ต่อสู้
ที่โรงเรียน HUG SCHOOL ก็เช่นเดียวกัน ครูออตจะเจอเหล่า HERO อยู่บ่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่เด็กผู้หญิง การกระตุ้นให้เด็ก ๆ ทำงานศิลปะโดยปิดกั้นไม่ให้เขาแสดงออกถถึง HERO ในใจของเขาเอง ก็ดูเหมือนครูใจร้ายนัก ซึ่งครูออตคงไม่ทำแบบนั้นกับเด็ก ๆ
ที่ห้องเรียนครูออตมีการวางแผนการปรับจิตใจที่ฉาบไปด้วยความรุนแรงของเหล่า HERO ที่เด็ก ๆ ติดมาจากทีวีด้วยกลยุทธิ์ง่าย ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการเลี่ยงหัวข้อที่สุ่มเสี่ยงต่อการแสดงออกถึงความรุนแรง หัวข้อหรือแรงกระตุ้นในการแก้ปัญหาหรือส่งเสริมจินตนาการต้องอยู่ในกรอบที่สวยงามทั้งการแสดงออกและจิตใจที่สวยงามของเด็ก
การลดความสุ่มเสี่ยงของเครื่องมือการสรางสรรค์ให้นุ่ม เบา สบายลงเมื่อจินตนการของเด็กไปที่ตัวแทนความรุนแรง เช่นแทนที่ตัวหุ่นยนต์จะลงสีดินสอที่เด็ก ๆ ต้องใช้แรงดกในการขีดเขียน ครูออตก็เปลี่ยนสีดินสอเป็นสีหมึกที่ให้ความรู้สึกเบาสบาย สดใส การระบายและการใช้แรงการลดลงไม่กดดันมาก
ห้องเรียนศิลปะที่ดีจึงควรเป็นห้องล้างความรุนแรงที่เกิดจากกระแสโลกาภิวัฒน์อันจะนำไปสู่โลกาวินาศ มาเป็นห้องเรียนที่อุดมไปด้วยความสดใส อ่อนโยนและแก้ไขปัญหาความรุนแรงโดยใช้ของเย็น ๆ แทนอาวุธที่ประหัดประหาร เรื่องนี้ไม่ว่าห้องเรียนไหน ๆ ก็ควรคำนึงถึง
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา HUG SCHOOL ได้จัดงาน tuning up at Hug School โดยเชื้อเชิญคุณครูที่สอนที่โรงเรียนมาเจอกันและเปิดเวทีแนะนำทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก โยมีทีมบริหารโรงเรียนและทีมที่ปรึกษามาเจอคุณครูถ่ายทอดแนวคิดและประสบการณ์ให้แก่คุณครูได้รับฟัง
สิ่งที่พิเศษของโรงเรียนศิลปะ ดนตรีและเต้นรำแห่งเมืองขอนแก่นนี้มีจุดพิเศษอยู่ที่การพยายามผลักดันแบรนด์ท้องถิ่นให้เติบโตและแข็งแรง อยู่กับคนท้องถิ่นได้และมีคุณภาพเทียบแบรนด์ดัง ๆ ที่ขยายกิจกรการมาอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งหัวใจของการต่อสู้กับแบรนด์ใหญ่ ๆ ของแบรนด์ท้องถิ่นคือ หัวใจ นั้นเอง
ครอบครัว วัฒนศัพท์ เป็นครอบครัวหนึ่งที่พยายามมุ่งสร้างแบรนด์ของท้องถิ่นและโรงเรียนศิลปะ ดนตรีและเต้นรำนาม HUG SCHOOL นี้ก็เป็นอีกแบรนด์ที่ครอบครัวนี้พยายามผลักดันให้เกิดขึ้น โดยนำเอาแนวคิดที่ครอบครัวประสบอยู่และเห็นว่ามันต้องเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตสมัยใหม่เช่นการปลูกฝังศิลปะให้ทุกคนในครอบครัว
ครอบครัวนี้มีจุดร่วมทที่สำคัญอย่าหนึ่งคือ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวศิลปะ แม้ว่าภาพรวมของคนในครอบครัวจะออกไปทางวิทยาศาสตร์และเน้นไปทางวิทยาศาสตร์สุขภาพด้วยอย่างคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์เป็นแพทย์ศัลยกรรมมือฉมัง คุณแม่รัตนภรณ์ก็เป็นพยาบาลมาก่อน คุณหมอหนึ่งลูกชายคนโตก็เป็นหมอผ่าตัดทางด้านหูคอจมูก และสมาชิกอีกกลุ่มก็หันไปสนใจวิชาชีพทางด้านศิลปะ พี่โหน่งเป็นนักแต่งเพลงและนุช(เพื่อนผม)ก็สนใจงานด้านการออกแบบ แต่ไม่ว่าจะสนใจสายวิชาชีพไหนแต่ทุกคนครอบครัวนี้ล้วนสนใจศิลปะทั้งการเป็นศิลปินและการเป็นผู้เสพในศิลปะบางแขนง
HUG SCHOOL ปรารถนาให้ ศิลปะ เป็นส่วนหนึ่งหรือปัจจัยหนึ่งของชีวิตผู้คนไม่ได้มองว่าเป็นความต้องการแต่อยากให้ศิลปะเป็นความจำเป็นสำหรับชีวิต ดังนั้นศิลปะที่นี่จึงหลากหลายชนิดและหลากหลายกลุ่มคนที่สนใจมาเรียนไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น คนทำงาน ผู้สูงอายุ
HUG SCHOOL ปรารถนาให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ผ่านการปลูกฝังวิชา เอ๊ะศาสตร์ (วาทกรรมของคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์) ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนศิลปะมีคำถามต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ เพราะเมื่อเดคำถามก็จะเกิดจินตนาการเพื่อแสวงหาคำตอบ และนำมาซึ่งการค้นพบคำตอบ ส่วนบางคำตอบที่ไม่ใช่ก็จะกลายเป็นจินตนาการที่สักวันหนึ่งกลายเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมันคือความคิดสร้างสรรค์
ท่านไหนสนใจก็ลองแลกเปลี่ยนกับโรงเรียนแห่งนี้ได้ครับที่ www.hugschool.com