ลานบ้านชลบถพิบูลย์

ตุลาคม 11, 2011

Thai Art

ไม่นานปีมานี้ผมรู้สึกประทับใจการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนรุ่งอรุณเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องของความเป็นไทย ความเป็นท้องถิ่น หลายครั้งที่ทีมรุ่งอรุณมาขอนแก่น ครูรุ่งอรุณก็จะพาเด็กไปดู คัดลอกและเรียนรู้จิตรกรรมฝาผนังอีสานโดยเฉพาะวัดไชยศรี บ้านสาวัตถี ตำบลสาวัตตี อำเภอเมือง การจัดการศึกษาแบบนี้ล่ะที่จะช่วยให้ศิลปวัฒนธรรมไทยและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นจะยังคงอยู่สืบไป

HUG SCHOOL แม้มีภาพลักษณ์ความเป็นศิลปะ(เด็ก)แบบสมัยใหม่ แต่ครูที่นี่ก็พยายามออกแบบการเรียนรู้ที่มีความเป็นไทยและความเป็นท้องถิ่นเข้าไปแทรกอยู่ในกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเสมอ เพราะเราเชื่อว่าการประทับตราความเป็นไทย นิยมไทยนั้นต้องเริ่มจากตัวเล็ก ๆ เสียก่อน ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่ครั่งแบรนด์เนมในอนาคตอันใกล้หรือที่ท่าน นพ.เกษม วัฒนชัย ท่านเรียกว่า “นิยมเทศ”

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ(ขอนแก่น) ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองและดีที่เขาเปิดวันหยุด  เพื่อให้คนที่ไม่ว่างในวันทำงานได้มีโอกาสมาชม แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ได้ผลหากคนทำงานพิพิธภัณฑ์ของรัฐเหล่านี้ยังทำงานเฉพาะในพิพิธภัณฑ์กลายเป็นคนแก่เฝ้าของเก่าไป  แต่ข้าวของในพิพิธภัณฑ์นั้นน่าสนใจและมีคุณค่าในการศึกษาเป็นอย่างมาก และบ่อยครั้งครูออตก็พาเด็ก ๆ ไปเรียนกันที่นั้น

ครูออตอธิบายถึงมารยาทในการชมพิพิธภัณฑ์ให้แก่เด็ก ๆ เพื่อให้เข้าใจตรงกันและไม่เกิดปัญหาในการชมพิพิธภัณฑ์ของคนอื่น เมื่อเด็ก ๆ เข้าใจ เด็ก ๆ ก็เข้าไปดูข้าวของที่จัดแสดง ถามสิ่งที่ตนเองสนใจและลงมือวาดในข้าวของที่ตนเองอยากรู้  ครูแค่คอยอธิบายและตอบคำถามที่อยากรู้ของเด็กเท่านั้นก็พอ และนอกจากก็แค่คอยสังเกตเด็กอยากได้อะไรเพิ่มเติม ใครพบวัตถุที่สนใจแล้ว ใครยังเลือกไม่ได้ ใครพร้อมลงมือวาด

เมื่อสัปดาห์ก่อนไม่มีเวลาพานักเรียนไปพิพิธภัณฑ์ ครูออตก็อาศัย “ครูGOOGLE” ในการสอนเด็ก ๆ โดยเลือกศิลปะการเขียนลายในเครื่องถ้วยหรือที่เรารู้จักในชื่อ เบญจรงค์  โดยให้นักเรียนไปค้นหาเบญจรงค์ที่ตนเองชอบ ดูเครื่องถ้วยที่สนใจ  สังเกตลวดลาย  สังเกตสีที่เขียนลาย เสร็จแล้วก็นำมาคัดลอก 1 ชิ้นและสร้างสรรค์ลวดลายใหม่ 1 ชิ้น

เมื่อเรียนแบบไทย ๆ ครูออตก็สร้างสรรค์บรรยากาศแบบไทย ๆ โดยเปิดเพลงไทย ๆ ไปด้วยแน่นอน “ลาวดวงเดือน” ของครูออตกับเบญจงค์ก็ดูเข้ากันได้ทีเดียว เพลงที่ช้า ๆ กับ ลวดลายที่อ่อนช้อย ทำให้เด็กทั้งห้องเงียบและสงบทันที ทำเอาครูออตเวลาจะเยื่องย้ายตัวเองไปไหนต้องเหินไปยังกะตัวละครในนาฎศิลป์ไทย การจัดบรรยากาศแบบนี้ก็ดูได้ผลไปอีกแบบ

การคัดลอกลวดลายตามแบบลวดลายเดิมของไทยนั้นทำให้เด็ก ๆ รู้จักเป็นคนช่างสังเกต และรู้จักการวางสัดส่วนของลายที่ช่างโบราณเขียน เพราะหากไม่รู้จักสัดส่วนลวดลายก็จะไม่ลงตัวพอดีในเครื่องถ้วยชาม ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องสอนแต่ปล่อยให้เด็กลงมือทำเอง เมื่อเขาเขียนไปเรื่อยแต่ไม่ดูสัดส่วน ก็จะทำให้ลายเขียนมันแปลกๆไป และไม่ลงตัวกับขนาดของถ้วย นำมาซึ่งต้องทำใหม่ เหมือนกับคำสอนที่ว่า “ไม่รู้ชั่วก็ไม่รู้ดี ไม่รู้ผิดก็ไม่รู้ถูก”

และเมื่อเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาอวดผลงาน  และผลงานเสร็จก็แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กประถมศึกษาจะทำได้ดีขนาดนี้ อิอิ นี่เป็นหนึ่งในหัวใจไทยที่เราสอน

มีนาคม 4, 2009

พ่อแม่และครู คือตัวชี้วัดความคิดสร้างสรรค์ของลูก

Filed under: Uncategorized — แท็ก: , , — ออต @ 11:12

ผมเลือกสอนศิลปะในห้องเรียนที่มีความสุข แม้บางคราวสิ่งที่เตรียมเอาไว้จะกลายเป็นความไม่สุขของนักเรียนบางคน ซึ่งก็จดจำเอาไว้เก็บไปพัฒนาต่อไป  ดังนั้นเมื่ออุ่นเครื่องเด็ก ๆ จนพร้อที่จะลงมือสร้างสรรค์งานศิลปะแล้ว หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นสวรรค์น้อย ๆ ของเขา

ในระหว่างเด็ก ๆ สร้างสรรค์ ผมเลือกที่จะเดินดูอยู่ห่าง ๆ หรือเดินไปเดินมาช่วยหาอุปกรณ์ สี หรือเตรียมสิ่งของที่เด็ก ๆ จะใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะเอาไว้ให้พร้อม งดการวิจารณ์หรือพูดถึงผลงานของเด็ก จะพูดก็ต่อเมื่อพบเห็นเด็ก ๆ บางคนยังคิดอะไรไม่ออก หรือคิดได้แต่ไม่กล้าลงมีสักที  นั้นถึงเป็นเวลาที่ผมจะเปิดปากพูด

การเดินวนไปรอบ ๆ จะช่วยให้ครูมองเด็กและสังเกตพฤติกรรมเด็กเป็นรายบุคคลได้และเมื่อเดินบ่อย ๆ ครูจะสามารถเดาพฤติกรรมต่อไปของเด็กบางคนได้ ว่าเด็กพร้อมที่จะทำงานแล้วหรือยังต้องการการกระตุ้นเพิ่ม  เราจะสังเกตได้ว่าเด็กคนนั้นต้องการหรือไม่ต้องการให้ใครไปยุ่งกับโลกจินตนาการของเขา  เราจะสังเกตได้ว่าเด็กคนนั้นเหนื่อยล้ากับการทำงานและต้องการการพักแล้ว

เมื่อพบว่าพฤติกรรมดังกล่าว ผมมักจะไม่กระตุ้นต่อ แต่ปล่อยให้เด็ก ๆ เปลี่ยนอริยาบถไป ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นผมเล่นกับเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกม พูดคุย เมาส์กันให้สนุกปาก หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่เป็นการเปลี่ยนอริยาบถ   ก่อนหน้านั้นหลายครั้งที่ผมมักกระตุ้นเพิ่มเมื่อเห็นเด็กเหนื่อยหวังว่าจะให้ผลงานสวยงาม แต่จากการสังเกตนี้ผมเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะกระตุ้นเพิ่ม

ผมปล่อยให้เด็กเล่นจนเหนื่อยในเวลาที่สมควร เมื่อเด็กเหนื่อยเราจะพบปรากฏการณ์ใหม่ที่เด็กหันกลับมาสนใจงานศิลปะของตนเองเพิ่มมากขึ้น และหลายคนทำงานตนเองจะเสร็จโดยไม่ต้องมากระตุ้นให้เขาทำงานศิลปะต่อ

เรื่องนี้นอกจากครูต้องเป็นนักสังเกตแล้ว ผู้ปกครองเองต้องตะหนักในข้อนี้ด้วย มีผู้ปกครองหลายคน เมื่อมารับลูกและเห็นว่าทำงานไม่เสร็จก็จะพยายามบอกให้ลูกทำงานศิลปะต่อให้เสร็จ  เมื่อผมเดินไปเจอก็จะรีบถามเด็กด้วยคำถามนำว่า “เหนื่อยแล้วใช่ไหม?” ซึ่งคำตอบว่า “ใช่” ก็จะออกจากปากเด็ก ๆ เรื่องนี้ทำเอาผู้ปกครองหลายคนงอนครูไปเหมือนกัน แต่ทำไงได้เพราะเด็กเหนื่อยมากแล้วการสร้างสรรค์ต่อของพ่อแม่อาจจะเป็นการทำลายนิสัยรักการสร้างสรรค์ก็เป็นได้ เพราะ หนูเหนื่อยแล้ว พอแล้ว ล้าแล้ว

Powered by WordPress