ปัจจัยช่วยน้ำท่วมไทย..ถนนสูง

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 October 2011 เวลา 8:33 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1771

ทำไม ถนนต้องยกสูง

 

จู่ๆ วันหนึ่ง นานมากว่าสิบปีแล้วกระมัง ผมคิดเรื่อยเปื่อยไปตามประสาคนชอบคิดว่า ..ทำไมถนนจึงต้องถูกยกผิวถนนให้สูงมากกว่าผิวดินรอบๆข้างด้วย บางแห่งมันยกสูงกันถึงสามวาโน่นเทียว

 

คนเมาๆ ขับรถมา ตกลงไปคอหักตายกันมามากแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ตำรวจมันมาตั้งด่าน บริการประชาชน” อยู่กลางถนน กลางดึก แบบไม่คาดคิด (5๕5..ผมขับรอดมาได้จนแก่ป่านนี้ ทั้งที่ขับรถรอบไทยมาหลายรอบ แสดงว่ายัง sober ดีอยู่ใช่ไหม …อ้อ ลืมไปพวกท่านอาจไม่เก่งปะกิดแบบใครบางคน คือคำว่า sober นี้ เขาแปลว่า “(ยัง)ไม่เมา”  นะฮ้าาาา)

 

สมอง (ที่ไม่ได้เรียนมาทางสร้างถนน) ก็เดาว่า…อืมม์…อาจเป็นว่า วิศวกรเขาป้องกันน้ำท่วม..กลัวถนนขาดเพราะน้ำท่วม และป้องกันไม่ให้รถถูกน้ำท่วมไปพร้อมกัน ได้นกสองตัวด้วยการถมครั้งเดียว พอไปสอบถามเอากับพวกพี่ๆน้องๆที่เรียนมาทางสร้างถนนก็ได้ความตรงกันว่า.. ใช่เลย เอ็ง (พี่) เดาถูกแล้ว

 

…แต่คนอย่างเรา ไม่วายตะแบงต่อไปว่า เฮ่ย..ถ้าแบบนี้จะไม่ยิ่งไปกันใหญ่หรือ เพราะถ้าน้ำมันท่วมบริเวณนั้น แล้วเอ็งเจือกเอาเขื่อน (ที่เรียกกันว่าถนน) ไปกั้นไว้ มันจะไม่ยิ่งไปกันใหญ่หรือ เพราะถ้าน้ำมันถูกกั้นไว้ด้วยถนน มันไม่รู้จะไหลไปไหน มันก็เลยออกันอยู่บริเวณนั้น ก็จะท่วมกันมากขึ้นกว่าปกติเสียอีกน่ะซิ่ ก็จะยิ่งไปกัดไปเซาะถนนให้ขาดมากกว่าปกติเสียอีก แถมท่วมบ้านท่วมเรือนรอบๆ มากขึ้น

 

อย่างนี้ สู้ปล่อยให้น้ำมันไหลไปสู่ที่ชอบๆ ของมันให้มากที่สุดตามธรรมชาติที่พวกมันวิวัฒนาการมาหลายพันปีแล้ว จะไม่ดีกว่าหรือ คือให้มันไหล “ข้าม” ถนนไปเลย ถ้ามีตรงไหนเป็นแอ่งมากๆ ก็เพียงแค่ทำสะพานให้มันไหลลอดก็พอแล้ว

 

เอาแนวคิดนี้ไปเสนอต่อพี่ๆน้องๆ แต่พวกเขาก็เพียงแต่บอกแค่ว่า อืมม์…น่าสนใจ แต่เชื่อว่าคงไม่กล้าแย้งทฤษฎีฝรั่งที่เรียนมา ….ทั้งที่เมืองฝรั่งนั้นที่ต้องทำสูงขึ้นสักเล็กน้อย เพราะเขาป้องกันการลื่นไถลเข้ามาของ “หิมะ” (ซึ่งบ้านเราไม่มี)

 

จำได้ว่าปีกลายน้ำท่วมหนักโคราช ผมได้ขับรถออกตระเวนเมื่อน้ำลดพอขับรถได้ พบเห็นกะตาเลยว่า น้ำฝั่งซ้ายของถนน ท่วมมากกว่าฝั่งขวา..นี่แสดงว่าถนนมันกักน้ำไว้จนเป็นปัจจัยเสริมการท่วมได้จริงๆ นอกจากนี้ยังพบความจริงที่ “ตรงข้าม” กับวิชาการในตำราเลยว่า ถนนสูงช่วยป้องกันน้ำท่วม เพราะพอถนนสูงก็กักน้ำจำนวนมากไว้ให้ไหลไปรวมกันยังแหล่งพื้นที่ต่ำริมถนน ทำให้พื้นที่ตรงแอ่งมีน้ำมาก แล้วน้ำก็ไหลมาท่วมถนนบริเวณนั้น ท่วมลึกมากจนรถวิ่งไม่ได้  นี่เห็นกะตาสองสามแห่งบนถนนมิตรภาพช่วงเลี่ยงเมืองโคราช

แต่ถ้าเราทำถนนให้เรียบราบไปกับพื้นดิน น้ำก็ไหลข้ามถนนไปได้ โดยเป็นน้ำที่เป็นฟิล์มบางๆเท่านั้น รถก็ยังแล่นไปได้ (แม้ไม่เร็วมากนักก็ยังดี) ส่วนพื้นที่รอบๆ ก็ไม่ถูกน้ำท่วมเพราะถูกถนนกักน้ำไว้อีกต่างหาก

 

ผมว่าถึงเวลาปฏิวัติการสร้างถนนไทยได้แล้ว เลิกถมถนนให้สูงด้วยดินเป็นคิวๆ จนต้องมีการ “กินค่าหัวคิว” กันหลายต่อได้แล้ว

 

การถมถนน..ยังทำลายระบบนิเวศได้อีกมากมายมหาศาล เช่น ไปเปลี่ยนทางน้ำธรรมชาติ ทำให้ดินเค็ม (เช่นถนนมิตรภาพด้านซ้ายด้านขวา ดินเค็มแตกต่างกัน…ชาวบ้านให้การกับผม ไปค้นวิชาการสร้างถนนก็ว่าไว้ตรงกัน )  พันธุ์พืช-สัตว์ อุตุนิยมเฉพาะที่ เปลี่ยนไปหมด

 

นี่ยังไม่นับผลทางเศรษฐกิจที่ต้องเสียค่าโง่ถมถนนเกินจำเป็น ทำให้ราคาถนนแพงเกินจำเป็น  การถมที่ริมถนนเพื่อสร้างบ้านและ โรงงาน ก็เพิ่ม ทำให้สินค้าไทยและค่าดำรงชีวิตของคนไทยมีต้นทุนสูงกว่าปกติ ซึ่งทำให้สูญเสียศักยภาพในการเแข่งขันทางการค้าในเวทีโลกโดยอ้อม

 

ส่วนไอ้รถขนดินก็ทำงานหนักเกินจำเป็น ทำให้เกิดถนนฝุ่นขึ้นทั่วประเทศด้วยเศษดินที่ร่วงหล่นในขณะขนถ่าย

 

ยังต้องทำลายป่าเพื่อขุดหน้าดินมาทำถนนกันอีกมากมาย

 

…คนถางทาง (ตค. ๕๔)

 

 


โต้นิติราษฏร์

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 28 September 2011 เวลา 1:50 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1719

ไม่น่าเชื่อว่าการปชส.ของกลุ่มคณาจารย์ธรรมศาสตร์เพียงเจ็ดคน ทีเรียกตัวเองว่า นิติราษฎร์  จะได้รับการตีข่าวเกินคุณค่าของพวกเขามากไปได้ถึงเช่นนี้

กลุ่มนิติราษฏร์คือกลุ่มคณาจารย์นิติศาสตร์จากม.ธรรมศาสตร์ 5-6 คนที่ออกมาแถลงการณ์สนับสนุนทักษิณ(โดยอ้อม)ในคดีความทั้งหลายอย่างออกนอกหน้า แม้จะมาแก้เกี้ยวภายหลังว่า “ไม่ใช่นะ” อย่างหน้าตายที่แสนเนียนอย่างไรก็ตามเถิด

 …ในบทความนี้เนื้อความในแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ของกลุ่มฯ นำด้วย $$  ส่วนของผมนำด้วย :)

$$ นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ …ผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทชี้นำสังคม และนักกฎหมายที่เป็นชนชั้นนำปิดล้อมความคิดความอ่านของผู้คนด้วยการยกเอาข้อธรรม ความเชื่อในทางจารีตประเพณี ตลอดจนบุคคลที่ถูกสร้างให้เป็นที่ยึดถือศรัทธาขึ้นเป็นกรงขังการใช้เหตุผล และสติปัญญาของผู้คน

 :) ไม่มีกฎหมายไหนในโลกหรอกครับที่ไม่อิงประเพณี หรือ บุคคลที่ศรัทธา แม้แต่อังกฤษก็ใช้จารีตประเพณีเป็นรัฐธรรมนูญ สหรัฐอเมริกาก็เชื่อฟังบุคคลที่เขาศรัทธา เช่น ใช้งานอดีตประธานาธิบดีที่ผู้คนนับถือในการหาเสียง และช่วยขับเคลื่อนวาระของรัฐบาล

นักกฎหมายปริญญาเอกแบบพวกคุณไม่สำเหนียกกันบ้างเลยหรือว่ากฎหมายส่วนใหญ่แล้วอิงจารีตประเพณีทั้งสิ้น เช่น ห้ามมีผัวเมียมากกว่าหนึ่ง ห้ามโกงกินลักทรัพย์ ห้ามหมิ่นประมาท  ห้ามทำร้ายร่างกาย ฯลฯ

ประเพณีมันหล่อหลอมลองผิดถูกมาหลายพันปี ส่วนกฎหมายคิดกันแค่สี่ปีในสมัยเลือกตั้ง..แถมมีผลประโยชน์นักการเมืองและพ่อค้าแอบแฝงเข้ามา

$$..วงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์จะต้องก้าวข้ามยุคมืดไปสู่ยุคภูมิธรรมหรือ ยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment) ดังที่ได้เคยเกิดมาแล้วในยุโรป 

:) ยุค enlightenment ของฝรั่งที่พวกคุณเห่อนั้น  แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นพุทธิปัญญาดังที่คุณเสกสรรปั้นคำให้หรูดอก แท้จริงแล้วคือต้นเหตุแห่ง”ยุคมืด”ในวันนี้ต่างหาก

ก็เพราะยุคนั้นแหละที่เป็นรากนำสู่ยุคล่าอาณานิคมไปทั่วโลก ภายใต้ระบบ “ประชาธิปไตย” ที่พวกคุณทั้งหกยกย่องเสียหนักหนา

อัฟริกา พม่า ลิเบีย ฆ่ากันเป็นเบือทุกวันนี้ล้วนเป็นผลพวงจากยุคนั้นในยุโรปทั้งสิ้น  …สมองอันเลิศระดับกลุ่มคุณที่คิดเชื่อมโยงทักษิณกับความดีงามได้ ก็น่าจะฉลาดพอที่จะคิดเชื่อมโยงประเด็นที่ผมเสนอมาได้ด้วยสิ 

$$การที่เราเรียกตนเองว่า enlightened jurists จึงมีความหมายแต่เพียงว่าเราปฏิเสธความเชื่อ จารีตอันงมงายอันปรากฏในวงวิชาการนิติศาสตร์ และอยู่บนหนทางของการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายสถาบันทั้งหลายทั้งปวงในทางกฎหมายที่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผล

 

:)  จารีตที่งมงาย เลวร้าย และโง่เขลาที่สุดก็คือ จารีตแบบพวกคุณที่นิยมระบบประชาธิปไตยแดกด่วนที่ลัทธิทักษิณนำมาให้  ..คำว่า enlightened jurists (นิติกรผู้บรรลุธรรม) นั้นมันจะไม่เป็นการใช้ศัพท์สูงเกินตัวไปหน่อยหรือ

$$ เราเห็นบรรดานักกฎหมายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่พร้อมจะรับใช้คณะรัฐประหารและผู้ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารและพร้อมที่จะละทิ้งหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการของการทำรัฐประหาร 

:) แล้วพวกคุณเล่า..กำลังรับใช้เผด็จการทุนนิยมสามานย์อยู่หรือเปล่า  สาบานได้ไหมว่า (นอกจากออกมาแก้เกี้ยว) ไม่ได้รับใช้ใคร หรือมีวาระซ่อนเร้นใด นอกจากกระทำหน้าที่นักวิชาการบริสุทธิ์  

$$ เราเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ในรัฐเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรม… ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร

:) นิยามของ “ความยุติธรรม” ไม่ง่ายอย่างที่พวกคุณคิด เรื่องนี้มันเป็นหน้าที่ของนักปรัชญาที่ถกเถียงกันมาจนถึงวันนี้ ส่วนความ”ยุติธรรม”ในทางปฏิบัติมันก็เป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะร่างกฎหมายให้ยุติธรรมต่อราษฎร ..มันไม่ใช่หน้าที่ของนักนิติศาสตร์อย่างพวกคุณแต่ประการใด

นักนิติศาสตร์อย่างพวกคุณมีหน้าที่ใช้กฎหมายให้เป็นธรรมแก่ราษฎรต่างหาก แต่นี่คุณกำลังจะทำเกินหน้าที่ จนกลายเป็นผู้ร่างกฎหมายเสียเอง  อย่างนี้คุณต้องไปสมัครผู้แทนราษฎร  หรือสมัครเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัตินะครับ

แล้วมันยุติธรรมไหม ที่กลุ่มคณาจารย์มหาลัยของรัฐ กินเงินเดือนที่มาจากภาษีราษฎร แต่กลับออกมาปกป้องคนที่โกงกินบ้านเมืองของราษฎรไปอย่างน่าละอาย โดยใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายที่กลุ่มพวกคุณแสนเทิดทูนเป็นช่องทางทำมาหากินอย่างโลภโมโทสัน

 

$$ ..การศึกษาวิชานิติศาสตร์อย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผลอธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน ย่อมเท่ากับเป็นการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย

 

:) “การวิพากษ์วิจารณ์” กฎหมาย เป็นหน้าที่ของนักรัฐศาสตร์ และนักสังคมศาสตร์  ถ้านักนิติศาสตร์ออกมาวิจารณ์กฎหมายก็แสดงว่าลำเอียงแล้ว แล้วจะตัดสินคดีความด้วยความเถรตรง ไม่ลำเอียง ตามอุดมคติของพวกคุณได้อย่างไรเล่า

  

ผมขอพิพากษาว่า แค่เริ่มต้น..ความคิดของคุณก็โมฆะแล้ว

 …คนถางทาง (๒๘ กย. ๕๔)


แบบนี้เอา piano concerto #1 ของ Tchaikovsky มาแลกก็บ่เอาดอก

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 27 September 2011 เวลา 11:49 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1393

****************************************************************************************

 

http://www.youtube.com/watch?v=6Ft6vIyzM8M&feature=related

 

ของไทยเรามีดีอยู่มากหลาย แต่สูญหายเกือบหมดแล้ว


เดินตามก้นเมกา ยุโรป ญี่ปุ่น แบบทักษิณ-อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 23 September 2011 เวลา 5:29 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1482

วันนี้อ่านข่าว ปธด. อิหร่าน กล่าวปราศรัยโจมตี สรอ. และ ยุโรป บนเวทีสหประชาชาติ จนทำให้ผู้แทนสรอ. และ ยุโรป walk out จากที่ประชุม แล้วให้รู้สึกประหลาดใจ

 

..แสดงว่าชาติมหาอำนาจ “สะดุ้ง” หนักจากการนี้ เท่ากับยอมรับว่าสิ่งที่ปธด. อิหร่าน (ชาติเล็กๆ ไม่มีอำนาจมากนักชาติหนึ่ง) ว่ามานั้น เป็นความจริง  ยักษ์ใหญ่ออกอาการที่ถูกมดกัดขนาดนี้ มันน่าขำ

 

ผิดถุกอย่างไรค่อยว่ากัน แต่ต้องชมความกล้าหาญของผู้นำอิหร่าน ที่กล้าด่ามหาอำนาจถึงเพียงนั้น

 

ส่วนของไทยเรา ถือกระเป๋าเดินตาม “ผู้มีอำนาจ” งกๆ ตลอดมา ทั้งที่เป็นประเทศที่มีพลเมืองมากกว่าอิหร่านสองเท่า

 

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อิหร่าน “กล้าแสดงออก” นั้นมีอดีตยาวนานมาแต่สงครามครูเสด ระหว่างคริสต์และอิสลาม  (สงครามศาสนา 200 ปี)

 

ชาวพุทธเราน่าผนึกกำลังกันเป็นทางเลือกที่สาม นำโลกสู่สันติ ไม่ใช่เดินตามก้นเมกา ยุโรป ญี่ปุ่น แบบที่ทักษิณ-อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์ กระทำมาโดยตลอด

 

พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยคิดอะไรได้ด้วยตนเอง ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง  ทั้งที่บรรพชนเราสร้างฐานดีๆไว้ให้เรามากหลาย อย่างน่าทึ่ง

เราไม่ต่อยอดจากบรรพชน แต่ตัดยอดทิ้งแล้วไปสมาทานลัทธิฝรั่งเสียหมดสิ้น ก็เลยหัวมกุฎท้ายมกรมาจนวันนี้ ร่อแร่ว่าจะสูญพันธุ์ในเร็ววัน

 

…คนถางทาง (๒๑ กย. ๕๔)


ป้องกันรักษามะเร็งด้วยสมาธิ (สมาธิบำบัด ๓)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 20 September 2011 เวลา 6:10 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1517

ในโพสต์หนึ่งของผมเรื่อง “สมาธิบำบัด” ผมได้ “เดา” ไว้ว่า การทำสมาธิทุกวัน เช่นวันละ 15-30 นาที จะช่วยต้านไม่ให้เกิดโรคหลายโรคได้รวมทั้ง”มะเร็ง” เพราะพอเซ็ลมะเร็งเริ่มก่อตัวก็จะถูกภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าปกติของร่างกายในขณะที่จิตเป็นสมาธิเข้าทำลายเสียแต่ต้นลม ไม่ลุกลามโตใหญ่ขึ้น บัดนี้ผมได้รับ forward เมล์จากเพื่อน ความตอนหนึ่งว่า……

 

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์ (รพ.ที่มีชื่อเสียงสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก…คนถางทาง)

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล(1,000,000,000 เซล) เมื่อแพทย์บอกว่า ไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถ ตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

 

 2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

 

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิด การขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

 

เขียนแล้วจะหาว่าโม้ ผม”เดา” อะไรไม่เคยผิดสักครั้ง อิอิ

ผมได้เชิญชวนชาวพุทธแต่โพสต์ก่อนแล้วว่า ควรฝึกทำสมาธิให้เก่งกันทุกคน จะปลอดภัยไร้โรคมากหลาย รวมทั้งโรคมะเร็ง  ที่กลายเป็นนักฆ่าหมายเลขหนึ่งของสังคมไทยไปแล้ว  

…คนถางทาง (๑๙ กย


อย่ามองโลกแง่ดี หรือร้าย หรือกลางๆ แต่จงมองอย่างจริงแท้

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 17 September 2011 เวลา 7:52 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1426

อย่ามองโลกแง่ดี หรือร้าย หรือกลางๆ แต่จงมองอย่างจริงแท้

 

พลไทยและพลโลกทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ ล้วนคิดตามฝรั่ง…ที่มักสอนให้มองโลกแต่ในแง่ดี (positive thinking)

 

แม้กระทั่งผู้หญิงโดนข่มขืนโดยคนเลวร้ายมันก็ยังสอนกันว่า… ไหนๆก็หลีกเลี่ยงการข่มขื่นไปไม่ได้ ดังนั้นจงมีความสุขกับมันเถิด

 

อย่างนั้นผมว่ามันเป็นการมองโลกแบบ “ยอมจำนน”  (ปนโง่อีกต่างหาก) 

 

…แล้วคุณผู้อ่านลองช่วยคิดหาคำตอบด้วยสิว่า ถ้าคุณเป็นผู้หญิงสวยฉลาดและแสนดีแต่ด้อยกำลังกายคนนั้น ที่กำลังถูกข่มขืนด้วยโจรกำลังแรงไร้คุณธรรมและใจหยาบ  คุณจะทำอย่างไรได้บ้าง?? นอกจากการยอมจำนนปนโง่เช่นนั้น  (คิดแบบเชิงอุปมานะ อย่าเถรตรงกับโจทย์ปัญหาเชิงอุปมาจนเกินไป เช่น ห้ามตอบว่า ให้บีบไข่ แล้วกัดลิ้นมันให้ขาด)

 

แล้ววันนี้..ปัญญาชนคนไทยจำนวนมากกำลังถูกการเมืองไทยข่มขืนกลางแจ้ง อย่างล่อนจ้อน ต่อหน้าสังคมโลกทั้งหลาย

 

 ..แต่ดูเหมือนว่า หญิงสาวแสนสวยอย่างเรากำลังงอมืองอเท้าให้เขากระทำ โดยไม่ต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใด พร้อมแสร้งทำใจให้ “เอ็นจอย”  กันถ้วนหน้าอีกต่างหาก

 

หากสมองไม่สั่ง กล้ามเนื้อคงไม่กระตุก

 

…คนถางทาง (๑๗ กันยายน ๒๕๕๔)


หนุ่มนาข้าว.สาวนาโน

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 11 September 2011 เวลา 2:18 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1546

นาโนย่อมโก้กว่านาข้าว(อยู่แล้ว)

 

(บทความนี้เขียนเมื่อประมาณ พศ. ๒๕๔๕…ยุคเริ่มต้นโทรศัพท์มือถือ )

 

คนไทยเรานั้นมีลักษณะนิสัยประจำชาติที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง

คือชอบเห่อของใหม่ๆ แพงๆ ตามคนอื่น..ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มากนัก

และทั้งที่ไม่มีเงินหาซื้อ แต่ก็ยังกระเสือกกระสน

หาเงินมาทุกวิถีทางเพื่อซื้อมาให้โก้กับเขาบ้าง

แม้ต้องกู้หนี้ยืมสิน ขโมย คอรัปชันเขามา เพื่อซื้อความโก้หรู..ก็ยอม

 

ภารโรง ลูกจ้าง พนักงานเสิรฟ  คนขายปลาหมึกปิ้ง  ชาวนา ครู พระ

วันนี้ต่างมีโทรศัพท์มือถือพกพา ใช้ด้วยกันทั้งนั้น

ทำตัวให้เหมือนนักธุรกิจเข้าไว้…โก้

โก้เข้าไว้ก่อน แม้ไม่จำเป็นต้องใช้มากนักก็ช่างหัวมัน

ขอโก้…เอาไว้ก่อน

 

ไม่ต่างกันนักกับนักวิชาการหอคอยงาช้าง

ที่ชอบทำงานวิจัยกันแต่ไอ้ที่โก้ๆกันมาก

ส่วนจะได้ประโยชน์คุ้มค่าต่อสังคมชาติหรือไม่ ก็ช่างหัวเผือก

วันนี้กระแสเห่อคือการวิจัยด้าน “นาโน” เทคโนโลยี (nano tech = จิ๋วระดับ 1 ในล้านของ 1 มิลลิเมตร)

เพียงเพราะพวกฝรั่งกำลังสนใจทำกันอย่างมาก

ดังนั้น…เราเลย”จำเป็นต้อง”เตรียมความพร้อม”ไว้

เพื่อรองรับอนาคตอัน(คาดว่า)จะสดใส

โดยไม่สนใจปัจจุบันและอดีตอันขมขื่น

 

จึงใคร่ขอเตือนสติว่า

“นาข้าว” ทำให้มันดีเสียก่อนเถิด พ่อแม่คุณเอ๋ย… ก่อนจะเตลิดไปทำ “นาโน”

ขณะนี้ผลผลิตข้าวต่อไร่ของเรายังด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่”โนนา”เสียอีก

บรรพชนทำนามาก่อนใครในโลก แต่วันนี้ยังต้อง ถือกะลาไปขอทานวิชาการมาจากฝรั่ง

ทั้งที่พวกเขาเพิ่งหัดปลูกข้าวกันเป็นไม่เพียงกี่ปี่

เป็นประกาศนียบัตรแห่งความโง่เขลาที่ก้องไปทั่วโลก

 

พวกชอบโก้มักตายด้วยความโก้มานักแล้ว

เช่น กวางบางเผ่ามีเขายาวโง้งเพื่อความโก้สถานเดียว

 พอวิ่งหนีเสือเขาไปติดเถาวัลย์ จนหนีไม่รอด

ต้องสังเวยชีวิตเพราะความอยากโก้เป็นเหตุ

 

นกบางชนิดมีหางยาวสลวยด้วยความโก้

ทำให้เก้งก้างบินหนีนกพิฆาตบางชนิดไม่ได้ ตกเป็นเหยื่อเขาในที่สุด

 

เมื่อไรคนไทยจะเลิกนิสัยเห่อเหิม ชอบโก้ เสียทีหนอ

นาโนจะโก้กระสันต์ทำกันก็ไม่ว่าหรอก

แต่ขอให้ทำเท่าที่จำเป็นต่อการพัฒนา”นาข้าว”เป็นอันดับแรก

 

 

…คนถางนา (ที่หัวโน เพราะถูกก้อนหินขว้างความคิดมาตลอด)


หมอผี..วิทยาศาตร์การแพทย์สมัยใหม่

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 September 2011 เวลา 10:44 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1621

 

 

พอเอ่ยถึงหมอผี คนไทยสมัยนี้ส่วนใหญ่ (ที่เห่อการแพทย์ฝรั่ง) จะร้องยี้ทันที หาว่าล้าหลัง โง่ เซ่อ งมงาย

 

แต่หารู้ไม่ว่าบรรพบุรุษของเอ็งป่วยไข้กันมากหลายในสมัยโน้น ก็รอดตายกันมา จนมาสืบพันธุ์ให้ปูย่าเอ็งได้เกิดมา จนเอ็งก็ได้เกิดมาจนถึงวันนี้ ก็ล้วนบุญคุณหมอผีทั้งสิ้น ….ปากยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำมนต์ แหม..วันนี้เณรคุณ ด่าหมอผีผู้มีพระคุณหลาย

 

เมื่อประมาณพศ. ๒๕๓๓ ผมมีอายุได้ประมาณ ๓๕ มีบุญได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง (ภาษาอังกฤษ) จากหมอฮาร์วาร์ด ที่ท่านได้เขียนเล่างานวิจัยของท่านที่ไปวัดระดับภูมิต้านทานของพระธิเบตที่เข้าสมาธิ  พบว่าเซ็ลภูมิต้านทานเพิ่มแบบก้าวกระโดดพลันที่สมาธิเกิด (คลื่นสมองราบเรียบ) ….การค้นพบนี้ไม่ทราบว่าใครเป็นคนแรก ถ้าเป็นท่านนี้ สมควรได้โนเบล . (แต่จริงๆแล้ว พระพุทธเจ้าคือคนแรก)

 

หมอท่านนี้เล่าต่อว่า ท่านได้ทำการทดลองอีกอย่าง (ที่จริงๆ แล้วถือว่าผิดกฎหมาย แต่ในศาสนาพุทธถือว่าไม่ผิด เพราะไม่มีเจตนา) คือ ท่านรักษาคนไข้ด้วยการฉีดยา ซึ่งตัวยาประกอบด้วยสาระสำคัญมากคือ “น้ำเปล่า ”

 

ท่านพบว่าการฉีดด้วยน้ำเปล่ามีอัตราการรักษาไข้ให้หายขาดได้ เท่าเทียมกับการฉีดด้วยยาราคาแพง คือ 75% …มันน่าประหลาดมากๆๆๆๆๆๆ…โดยที่ท่านไม่ได้ให้ข้อสรุปอะไรต่อจากนี้

 

ผมอ่านจบ สรุปได้ด้วยตัวเองว่า กำลังใจ อันเกิดจาก ความเชื่อ นั่นแหละคือต้นเหตุแห่งการเยียวยา

 

ถ้าผม..วิศวกรเครื่องกล..ประกาศก้องว่า ผมจะฉีดน้ำเข้าเส้น รักษาไข้ให้หายได้ ขอจงมาฉีดบำบัดกับผมเถิด อัตราการรักษาให้หาย ไม่น่าเกิน 10% …ทั้งที่เป็นตัวยาอันเดียวกันกับหมอฮาร์วาร์ดท่านนั้นทุกประการ …ซึ่งแสดงว่าผลต่าง 65% มาจาก  “ความเชื่อ”  ศรัทธา หรือ กำลังใจนี่เอง

 

สมาธิ ความเชื่อ ศรัทธา ล้วนมีรากมาจากสิ่งเดียวกัน คือ “ความเข้ม” ของพลังจิต

 

เมือพลังจิตมีความเข้ม ก็จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพิ่มขึ้น ทำให้ต่อสู้กับเชื้อโรค และทำให้หายไข้ได้

 

พอหมอผีทำพิธี ท่องคาถา เรียกน้ำมัน พรมน้ำมัน  ..ยิ่งถ้าเป็นหมอชื่อดัง มีความขลัง คนไข้ก็ยิ่งเชื่อมั่น เกิดศรัทธา  ทำให้ระบบอิมมูนพุ่งกระฉูด ดังนั้นไข้ก็หาย 

 

 ”หมอผี” ที่คนสมัยนี้ดูถูกหนักหนานั้นแท้จริงแล้วเป็นระบบ “วิทยาศาสตร์ทางจิต” ที่ล้ำลึกยิ่ง ที่คนโบราณเขารู้กันมานาน แต่วันนี้ฝรั่งมาสอนให้เราดูถูกระบบนี้  โดยที่พวกเขาเองว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากหมอผีนักหรอก เพราะมาหลอกคนโง่อย่างเราๆให้ “เชื่อ” ทฤษฎีง่าวๆ ของพวกเขาไปอย่างเซื่อง ๆ

 

โดยมีบริษัทยายักษ์ใหญ่ให้สปอนเซอร์อยู่ห่างๆ พร้อยรอยยิ้มย่องๆ


รักษาไข้ด้วยตนเอง..ตามประสาหมาแมว

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 September 2011 เวลา 1:19 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2296

 

น่าสังเกตว่าหมาแมวนั้นเมื่อมันป่วยไข้มันไม่ไปหาหมอหรอก (ยกเว้นหมาแมวที่ถูกคนพาไป) แต่มันรักษาตนเอง ด้วยสัญชาติญาณ คือ หนึ่ง มันจะอดข้าวจนตัวผอม แล้วไปหาหญ้าสมุนไพรกิน หายหน้าไปเป็นนาน แล้ววันหนึ่งมันก็วิ่งกลับมาหาเราด้วยร่างกายผอมโซ แต่อาการไข้หายดีแล้ว

 

ผมมาสะท้อนคิดว่า สัตว์เดรัจฉานพวกนี้มันฉลาดมาก ที่อดอาหารยามป่วยไข้ เพราะการกินอาหารนั้นย่อมมีเชื้อโรคต่างๆปนเปื้อนเข้าไปพร้อมอาหารด้วยไม่มากก็น้อย เมื่อเซลภูมิคุ้มกันเห็นเชื้อโรคเข้ามาก็ต้องแบ่งทหารที่กำลังต่อสู้ อยู่กับเชื้อไข้เพื่อเอาไปสู้กับเชื้อโรคที่เข้ามาใหม่

 

แหมที่แรกสู้กันมาครึ่งค่อนวันภูมิคุ้มกันจะชนะอยู่แล้ว เชื้อไข้กำลังจะยกธงขาว แต่เมื่อต้องแบ่งทหารออกไปแบบนี้ เชื้อไข้ก็มีเวลาแบ่งตัวเพิ่มกำลังของตัวเองอีกด้วย เผลอๆอาหารที่ส่งเข้าไปในร่างกายนั้นจะยิ่งไปช่วยเป็นอาหารให้พวกเชื้อโรคด้วย ก็ยิ่งไปกันใหญ่

การอดอาหารนั้นในที่สุดร่างกายจะไปดึงเอาอาหารเสริมมาชดเชย คืออาหารจากเยื่อในกระดูก (bone marrow) ซึ่งน่าคิดว่าอาหารลึกในกระดูกนี้น่ามีอะไรดีๆ มาช่วยฆ่าเชื้อโรคแน่ๆ ผมเชื่อว่าร่างกายเรามีกลไกต่อสู้เชื้อโรคร้ายพร้อมมูลหมด เพียงแต่เราไม่รู้จักเชื่อมโยง จิตและกายเข้าด้วยกันเพื่อต่อสู้แบบรวมพลัง ที่มีโฟกัสเข้ม ..ผมเคยคิดถึงขนาดว่า เราเข้าสมาธิลึกๆ แล้วกำหนดจิตเพ่งไปที่เชื้อโรคเพื่อฆ่า แต่ในขณะเดียวกันก็ขออโหสีที่ฆ่าท่านเชื้อโรคเพื่อรักษาตัวเอง

 

 

สำหรับการดื่มน้ำนั้น ก็มักสอนกันว่าเวลาเป็นไข้ให้ดื่มน้ำสะอาดมากๆ แต่ผมขอแย้งว่าน่าจะดื่มน้ำสะอาดให้น้อยที่สุด เท่าที่พอประทังชีวิตเท่านั้น เพราะถ้าดื่มน้ำมากเลือดจะใส พอเลือดใสความเป็นสองขั้ว (dipole) ก็จะจางลงเพราะฉะนั้นเลือดจะไปจับเชื้อโรคในเซลร่างกายมาให้เซ็ลภูมิคุ้มกันสังหารก็ทำได้ยากขึ้น แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย เลือดข้น ก็ตรงกันข้าม   (ความเข้มของdipoleนี้สำคัญมากต่อการช่วยเร่งการจับสารพิษ สารตกค้าง และเชื้อโรคจากเซ็ล ดังที่ผมได้โพสต์ไว้ก่อนแล้วว่า แม้โรคเบาหวานก็อาจมีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำมากเกินไป เช่น วันละแปดแก้ว)

 

มนุษย์เราเก่งกว่าแมวหมาตรงที่เรารู้จักทำสมาธิ ซึ่งผมได้โพสต์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ได้มีการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าเมื่อเข้าสมาธิจนคลื่นสมองนิ่งระดับภูมิคุ้มกันในกระแสเลือดพุ่งกระฉุด ภูมิคุ้มกันที่เพิ่มนี้ก็ช่วยรักษาอาการป่วยไข้ได้ แม้กระทั่งเอดส์ มะเร็ง นี่แหละที่ชาวพุทธเราเรียกกันว่า “ธรรมโอสถ”

 

ดังนั้นเราชาวพุทธจึงควรฝึกสมาธิเอาไว้ให้ดี เพราะนอกจากจะทำให้ชีวิตมีความสุขเบาสบายในปัจจุบันแล้ว ยังเป็นธรรมโอสถที่จะช่วยรักษาตัวเรายามป่วยไข้หนักอีกด้วย  แต่หากไม่ฝึกสมาธิพอป่วยหนักจะให้เข้าสมาธิก็เข้าไม่เป็น ก็อาจตายเสียก่อน ..อนึ่งถ้าจำเป็นต้องตายจริง การตายในอารมณ์สมาธิก็จะเป็นการที่เราเรียกว่า “ไปดี”  ดวงวิญญาณย่อมไปสู่สุคติเป็นแน่

 

การ “ออกกำลังใจ” ด้วยการนั่งสมาธิทุกวันวันละ 30 นาที เป็นการช่วยเพิ่มเซ็ลภูมิคุ้มกัน ดังนั้นเมื่อโรคร้ายก่ออาการในระยะแรกๆ เช่น มะเร็ง ก็อาจถูกเซ็ลภูมิคุ้มกันที่มีกำลังแรงจัดการเสียก่อนจนเมล็ดเชื้อโรคฝ่อจนไม่สามารถก่อตัวไปสู่ระยะที่พัฒนาได้มากขึ้น

 

แต่ทุกวันนี้คนเราป่วยไข้ไปนอนโรงพยาบาล ญาติมิตรไปเยี่ยมก็เอาแต่ “อาหารดีๆ” ไปฝาก ก็กินกันพุงกาง เชื้อโรคยิ้มร่า

 

ลองสังเกตสิครับเวลาเราป่วยไข้มันจะรู้สึก “เบื่ออาหาร” ซึ่งผมว่าเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่มาบอกเราว่าอย่ากินอาหารนะ แต่เราดันโง่ไปฝืนคำเตือนของร่างกายด้วยการพยายามยัด “อาหารดีๆ” เข้าไปให้มากที่สุด …อย่างนี้แสดงว่าโง่กว่าหมาแมวหรือไม่? ขอเชิญช่วยกันวิสัชนา

สรุปว่า เวลาเราป่วยไข้ ควรทำดังนี้

1) อดอาหาร

2) ดื่มน้ำสะอาด (ต้ม) ให้น้อยที่สุด เพียงพอประทังชีวิต

3) ทำสมาธิทั้งวันทั้งคืนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย

อย่างนี้ถ้าต้องตายก็ตายในสมาธิ ..สู่สุคติอีกต่างหาก

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๗ กย. ๒๕๕๔


รำเขมรรำไทย….ใครลอกใคร.ได้เวลาชำระเศษฝรั่ง

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 September 2011 เวลา 1:09 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2245

 โธ่เอ๋ย เมื่อสมัยขอมโบราณ สยามทอผ้าไหมได้ เขมรยังชุนผ้าไม่เป็นเลย นับเลขก็ได้แค่ห้า (โปรดอ่านบทความ ขอมสยามเขมร…ทฤษฎีใหม่.ตอนแรกๆ )

หลักฐาน เหตุผล ว่าเขมรลอกการรำไปจากไทย มีอยู่พร้อมมูลในเอกสารวิจัย ยาวเหยียด 24 หน้า ลองอ่านดูนะ

 ชื่อ post cambodian court dance……

http://kyoto-seas.org/2011/02/southeast-asian-studies-vol-42-no-4/

 

เป็นเอกสารวิจัยในรายละเอียดโดยนักวิชาการญี่ปุ่น ที่เป็นกลาง และมีการอ้างอิงที่สมบูรณ์ น่าเชื่อถือมาก

 

โดยสรุปเอกสารนี้ระบุว่า เขมรลอกละคร การร่ายรำไปจากไทย แล้วมาเจอ อิทธิพลฝรั่งเศส ที่ต้องการครอบครองจิตวิญญาณเขมรให้เด็ดขาดเพื่อแยกออกจากไทย ซึ่งเป็นผลประโยชน์ต่อการครอบครองอาณานิคมเขมรของฝรั่งเศส   ดังนั้นนักวิชาการฝรั่งเศสเลยปั้นเรื่องว่า การรำเขมรมีต้นกำเนิดมาแต่สมัยนครวัดโน่น เพื่อสร้างความรักชาติ (ซึ่งทำให้ห่างจากไทยแล้วไปเข้าทางฝรั่งเศส ทำนองว่า เป็นบุญคุณของฝรั่งเศสนะเนี่ย ที่ทำให้เราฉลาดและคิดออก ดังนั้น ต้องถือเป็นบุญคุณที่ฝรั่งเศสมาช่วยเราปลดแอกทางความคิด)   (น่าคิดว่า แทคติคเดียวกันนี้พวกอังกฤษก็ใช้ในอัฟริกา  และ ได้ถูกพวกคอมมิวนิสต์นำมาใช้ในการแยกแรงงานออกจากนายทุนในภายหลังอีก  150  ปี) 

 

ข้างล่างนี้คือข้อมูลที่ผม คัด ตัด ย่อมาจากwikipedia ตามลิงค์นี้

http://en.wikipedia.org/wiki/Royal_Ballet_of_Cambodia

 

ตัวภาษาไทยคือ สิ่งที่ผมเติมเข้าไป ให้เห็นว่าลอกมาจากไทยทั้งสิ้น  

… หมายถึงข้อความยาวยืดที่ตัดออก

ตัวละครเขมร

Neay rong (นายรอง)

  • Neay rong ek - (นายรองเอก)
  • Philieng ek - (พี่เลี้ยง)
  • Sena ek - the generals (เสนาเอก)

 

เข้าใจว่าเขมรลอกมาผิด ไม่มีพระเอก มีแต่ นายรอง และ นายรองเอก แทนที่จะเป็นพระเอก พระรองแบบเรา   หรือว่าเราเองผิด เพราะอย่าลืมว่านี่เป็นละครนอกใน ที่คำว่าพระเอก พระรอง ยังไม่มีก็เป็นได้

Neang (นาง)

  • Neang ek - deities, queens (นางเอก)
  • Neang rong - noblewomen or angels ((นางรอง)
  • Philieng ek - female aid-de-camp (พี่เลี้ยงเอก)
  • Neang kamnan or philieng - (นางกำนัล)

 

เออ..แปลก แต่พอเป็นนาง กับเป็นนางเอก นางรอง พี่เลี้ยง เหมือนเราเลย

Yeak (ยักษ์)

  • Yeak ek - premiere ogres or asuras (ยักษ์เอก คงคือ ผู้ร้ายเอก)
  • Yeak rong - the lesser ogres (ผู้ร้ายรอง)
  • Yeakheney - ogresses, yakkhini (ยักษ์ขิณี)

Other character types

  • Apsaras - celestial nymphs (อภัสรา)
  • Kinnorey - the mythical kinnaris (กินนรี)
  • Maccha - mermaids (มัจฉา ..นางเงือก)
  • Ngoh - a special masculine role depicting a negrito (เงาะป่า)

 [edit] Costume (เครื่องแต่งกาย)

  

Female costume

…. Worn over the left shoulder is a shawl-like garment called a sbai  (สไบ) (also known as the robang khnang, literally ‘back cover’), ……Around the neck is an embroidered collar called a srang kar. (? Kar = คอ)

 [edit] Male costume

….On the end of their shoulders are a sort of epaulette that is arching upwards like Indra’s bow (known as inthanu).  อินทรธนู

 

Another component of the male costumes are three richly embroidered banners worn around the front waist. The center piece is known as a robang muk   (ระเบียงมุข ?) …

 

Male characters also wear an x-like strap around the body called a sangvar,

(สังวาร)

 

 [edit] Headdress

…..crown called a mokot ksat  (มงกุฎกษัตริย์) for male characters and a mokot ksatrey   (มงกุฎกษัตริย์ตรี)  for female characters……. The rat klao  (รัดเกล้า)  is worn by princess’ ……

 [edit] Music

See main article; Pinpeat  (พิณพาทย์)

 

Krai Thong  (ไกรทอง) A song from a scene in the dance drama Krai Thong.

 
Problems listening to this file? See media help.

 

Music instruments (เครื่องดนตรีเขมร)

  • Roneat ek: The lead xylophone (ระนาดเอก)
  • Roneat thung: A xylophone with bamboo (ระนาดทุ้ม)
  • Roneat dek: A metallophone of brass keys
  • Roneat thong: A metallophone (now, rarely used)
  • Kong thom: A set of 16 gongs (กลองทม ..กลองใหญ่ )
  • Kong toch: Like the previous, (กลองตีอก..กลองเล็ก ?)
  • Chhing: A pair of finger cymbals (ฉิ่ง)
  • Krap: A pair of wood clappers (กรับ)
  • Sralai: A type of shawm; there are two sizes
  • Khloy: A type of flute made from bamboo (ขลุ่ย)

 [edit] Music pieces

Khmer classical dance uses a particular piece of music for a certain event, such as when a dancer enters a scene, performing certain actions, such as flying, or walking, and when leaving the stage. These musical pieces are arranged to form a suite. New pieces of music are rarely created.

Below is a select list of music pieces used in the repertoire

  • Sathukar: (សាធុការ) a song of blessing used for propitiation, often used to commence a performance (สาธุการ)
  • Krao nai: (ក្រៅណៃ) overture of the yeak (กราวใน..ไทยแท้ๆ)
  • Smaeu: (ស្មើ) used for the induction of a character
  • Lea: (លា) used to present a character’s departure of the scene; leaving the stage
  • Cheut chhing: (ជើតឈិង) lit., euphonic chhing; music (เชิดฉิ่ง)
  • Long song mon: (លងស៊ងមន) lit., royal bathing of the Mon; (ลงสรงมอญ)
  • Phya deun: (ផ្យាឌើន); a music piece use to present dancers marching (e.g. the beginning of robam tep monorom) (พญาเดิน)
  • Klom: (ក្លុម) used to show the grace and beauty of a character wielding his weapon …กล่อม
  • Sinuon: (ស៊ីនួន) - lit., ‘cream color’ in reference to complexion, a soft and slow melody …ศรีนวล

 [edit] Dance Dramas

The Royal Ballet of Cambodia’s repertoire of dance dramas (រឿង, roeung)  (เรื่อง)   consists of a myriad of stories unlike the lakhon khol   (ละครนอก) ted only to the Ramayana. Many of the dance dramas have analogs in the lakhon nai   (ละครใน) e genre of Thailand but do not share the same choreography or exact storyline. During the time of Queen Kossamak, several dance dramas were re-choreographed and shortened such as Roeung Preah Thong-Neang Neak;   (เรื่องพระทองนางนาค)  this drama would later be recreated again in 2003 among others.

A dance of tribute used in a dance drama titled Preah Ket Mealea,  (พระเกดมาลัย)   circa 1965.

 

[edit] Select repertory of dance dramas

  • Reamker (Ramakerti, រាមកេរ្តិ៍): Ramayana …รามเกียรติ์
  • Preah Sothon-Neang Monorea (ព្រះសូធន-พระสุธนนางมโนราห์
  • Krai Thong (ក្រៃថោង) …ไกรทอง
  • Inao (ឥណាវ): Panji …อิเหนา
  • Kakey (កាកី): Kakati-Jataka ….กากี
  • Preah Anoruth-Neang Usa (ព្រះអនុរុទ្ធ-នាងឧសា): Aniruddha ….พระอนุรุทธ นางอุษา

 [edit] Dances

In contrast to the dance dramas are shorter dances known as robam.  (ระบำ)

…such as robam mekhala-reamso   (ระบำเมขลา-รามสูร)  and robam sovan macchha (ระบำสุวรรณมัจฉา)

 [edit] Select repertory of dances

 

 



Main: 0.2297990322113 sec
Sidebar: 0.013102054595947 sec