ปฏิบัติธรรม ๑๐…การเดินจงกรม (my way)

6 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 August 2011 เวลา 7:59 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1870

 

 

สำหรับนักปฏิบัติธรรมนั้น นั่งสมาธินานๆแล้วมันเมื่อย เหน็บชา หรือ เบื่อ จิตตก  ก็อาจเปลี่ยนอิริยาบถ มาเดินสมาธิบ้างก็ได้  

 

ถ้าทำอย่างเป็นทางการก็เรียกว่าเดินจงกรม (ไม่รู้ว่ารากศัพท์มายังไงเหมือนกัน) เป็นการเดินกลับไปกลับมา ระยะทางยาวประมาณ 10 เมตร (จริงๆ มีกำหนดว่ายาวเท่าไรอย่างเป็นทางการแต่จำไม่ได้แล้ว)

 

วิธีเดินก็คือถอดรองเท้า มือประสานกันไว้ที่หน้าท้อง ตามองพื้นห่างจากปลายเท้าสักสองสามเมตร เดินไปสุดทาง เดินกลับ วนเวียนซ้ำอยู่แบบนี้ จะเรียกว่าเป็น พลสมาธิก็ได้ (dynamic meditation)

 

การเดินก็มีกันหลายรูปแบบ บางวิธีให้เดินช้ามาก  บางวิธีให้เดินช้า   บ้างให้เดินเร็วแบบเดินถนนธรรมดา

 

การเดินแบบช้ามากมักมาพร้อมกับสมาธิวิธี “ยุบหนอ พองหนอ”  พอเดินไปก็บริกรรม ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ

 

ส่วนผมไม่มีครู (ก็ดีไปอย่าง) จึงคิดวิธีเอาเอง (my way ..แบบฉัน) เป็นวิธีแบบเดินช้า (แต่ไม่ช้ามาก)  พอส้นเท้าจรดพื้น บริกรรมว่า  ”เกิดขึ้น”   พอลงเต็มฝ่าเท้า ก็บริกรรมว่า “ตั้งอยู่”  พอยกเท้าขึ้นตอนปลายนิ้วจะยกพ้นพื้น บริกรรมว่า “ดับไป”

 

 …เท้าซ้ายบริกรรม ..เท้าขวาบริกรรม…ทำไปเรื่อยๆ

 

เห็นว่า ทำแบบนี้จะเป็นการทำสมาธิและวิปัสสนาอ่อนๆพร้อมกันไป ที่ว่าเกิดขึ้นนั้นคือ เวทนา เกิด (เวทนา แปลว่าการรับรู้อารมณ์ ในที่นี้คืออารมณ์ที่เกิดจากการที่เท้าสัมผัสพื้นนั่นเอง เป็นอารมณ์กลางๆ ที่เรียกว่าอทุกขมสุข คือ ไม่ทุกข์ไม่สุข)  ตั้งอยู่ ก็เวทนาตั้งอยู่ ดับไป ก็เวทนาดับไป เพราะเท้าไม่สัมผัสแล้ว ก็ไม่มีเวทนา

 

พอเอนดอร์ฟินหลั่ง จะมีความสุขจากการเดิน จนลืมวันเวลาไปก็มี เหมือนนักกรีฑาลู่ วันไหนไม่ได้ออกมาวิ่งซ้อมก็หงุดหงิด มันเหมือนกับการขาดอะไรไปสักอย่าง ..อันนี้เรียกว่า วิปัสสนูกิเลส (กิเลสจากการทำวิปัสสนา)  ความจริงแล้วไม่น่าเรียกชื่อนี้ ควรเรียกว่า “สมถะกิเลส” เสียมากกว่า เพราะการทำวิปัสสนานั้นเป็นการฝึกปัญญาไม่น่ามีกิเลสนี้ แต่การฝึกสมถะ (เอาแต่สติ ความสงบ ไม่ฝึกปัญญา) มักจะเกิดความสุขประหลาดเหล่านี้

 

 

…คนถามธรรม (๓ สค. ๕๔)

 


ปฏิบัติธรรม ๙…กลเม็ดเพื่อทำสมาธิให้ได้ผลเร็ว

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 August 2011 เวลา 7:06 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3593

(ช่วงเข้าพรรษานี้ตั้งใจว่าจะทำบุญด้วยการเอาประสบการณ์เท่าที่มีของตนมาบอกกล่าว อาจเป็นประโยชน์บ้าง เรื่องนี้ได้โพสต์ไว้แล้ว แต่สำรวจว่าหายไป ก็เลยเอามาโพสต์ใหม่ ท่านที่ไม่ได้อ่านแล้ว ก็อ่านอีกก็ได้นะครับ :-)

 

การทำสมาธิให้เกิดเร็วนั้น (หรืออย่างน้อยก็เกิดบ้างนานๆครั้งก็ยังดี)  มีกลเม็ดเล็กๆน้อยๆที่ค้นพบ จากการลองผิดลองถูกเอาด้วยตนเอง (เพราะส่วนใหญ่เราไม่มีอาจารย์สมาธิเป็นตัวตน อีกทั้งในตำราส่วนใหญ่ก็ไม่มีเขียนไว้ในเรื่องเหล่านี้)  จึงขอฝากไว้ให้สหายธรรมผู้สนใจลองนำไปปฏิบัติดู

 

  • 1) ฐานการนั่งต้องมั่นเสถียร (ไม่เอียงโอน) ดังนั้นผมไม่เอาทั้งขาขวาทับซ้ายหรือซ้ายทับขวาทั้งสิ้น แต่เอาขาทั้งสองข้างวางกับพื้น โดยซ้ายหลังขวา หรือ ขวาหลังซ้ายก็มั่นพอกัน ขาในขดเอาฝ่าเท้ามาแนบขาอ่อนของขาอีกข้างหนึ่ง ขานอกแนบขาในอีกที พบว่าฐานมั่นมาก ไม่เอียง และไม่ค่อยเกิดเหน็บชา ทำให้นั่งได้ทนนาน (แต่ถ้าเอาขาทับกัน ฐานจะเอียงซ้ายขวา นน.ตัวลงที่แก้มก้นข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้างหนึ่ง แถมเกิดเหน็บชาได้ง่าย เพราะขาบนไปทับเส้นเลือดเส้นประสาทของขาล่าง)

 

  • 2) กายตรง…หมายถึงหลังตรง (ไม่นั่งหลังงอ) กระดูกสันหลังทุกข้อต่ออาการกันเต็มหน้าตัดกระดูก อันนี้เป็นหลักวิทยาศาสตร์ เพราะถ้าข้อกระดูกสันหลังต่อไม่ตรง จะทำให้เกิดจุดสัมผัส จะทำให้ล้าที่จุดนั้นได้ เพราะรับแรงมาก ซึ่งการล้ากายจะส่งผลต่อจิตทำให้จิตถูกกระทบ ก็เกิดสมาธิได้ยาก (ลองคิดดูว่าการยืนเต็มฝ่าเท้า กับยืนแบบเขย่ง (เป็นจุด) อย่างไหนเมื่อยเร็วกว่ากัน) การนั่งแบบขาทับกันนั้น กระดูกสันหลังไม่ตรงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฐานเอียง

 

  • 3) หัวแม่โป้งมือชนกัน…หมายถึงมือทั้งสองที่ประสานกันอยู่บนหน้าตักน่ะครับ …เรื่องนี้เลียนแบบท่านอาจารย์ชา มา ท่านไม่ได้สอน แต่เห็นรูปถ่ายท่านนั่งท่านี้ หัวแม่โป้งชนกัน นิ้วเรียงชิดติดกันเป็นระเบียบแบบทหารอีกต่างหาก ก็เลยลองเอามาทำดู เอ..ดีแฮะ สงสัยมันมีหลักการอะไรสักอย่าง เช่น ต่อเชื่อมวงจรจิตประสาทให้เป็นวงจรปิด (ปกติผมไม่ชอบอะไรที่เป็นระเบียบมากนัก ชอบนอกคอก แต่กลเม็ดระเบียบตรงนี้รับรองว่าดีครับ)

 

  • 4) ไม่เกร็งกล้ามเนื้ออวัยวะต่างๆ: เวลาเริ่มนั่ง ตั้งจิตไว้แรงกล้ามาก ว่าเอาหละหวาวันนี้คงได้เห็นดำเห็นแดงกัน พอตั้งใจมาก สังเกตว่าธรรมชาติมักจะทำให้มีอาการ”เกร็ง” แบบไม่รู้ตัว เช่น กล้ามเนื้อ ขา แขน ซึ่งในช่วง “วอรม์อัพ” ก่อนเล่นธรรมกีฬานั้น ก็ควรเอาจิตกวาดไปทั่งสรรพกาย พร้อมกับสำรวจดูว่าเราเกร็งตรงไหนไหม ถ้ามีก็ผ่อนเสีย รอบสอง รอบสาม ตามดูไป …ที่เกร็งมากโดยอาจไม่รู้ตัวก็ที่ หน้าท้องครับ ดูให้มาก ต่อมาก็หน้าผาก และ หนังตา ที่จับตัวยากที่สุดน่าเป็นลิ้น (เช่นห่อลิ้น หรือเอาไปดันเพดานไว้) วิธีแก้เกร็งหนังตาคือแทนที่จะหลับตา ให้หรี่ตาแทน พอมันหายเกร็งแล้วจึงหลับ ความจริงหรี่ตาตลอดก็ดีเหมือนกันนะ เคยลองทำดู สนุกดีเหมือนกัน แต่อันนี้แล้วแต่จริตก็แล้วกัน เคยพิเรนลองเอาจิตไล่เข้าไปในปอดตับม้าม หัวใจ แล้วบอกให้มันเลิกเกร็งด้วย อาจเป็นวิถีแห่งจิตบำบัดต่อไปก็เป็นได้นะ (แต่อันนี้ต้องไปดูหนังสืออนาโตมีมาก่อน 55)

 

  • 5) ปราบลิงจ๋อ: ขวากหนามสำคัญที่สุดของนักเล่นธรรมกีฬาก็คือ ลูกมันออกสนามบ่อยๆ ต้องวิ่งไปเก็บลูก อ้าว ดอกไม้ริมสนามมันสวย ก็ไปชมดอกไม้เสียอีก กลับมา อ้าว หมดเวลาแล้ว ถูกจับแพ้ฟาล์วอีกนัด กล่าวคือ จิตมันว่อกแว่กเหมือนลิงจ๋อ ไม่อยู่กับที่ คิดโน่นคิดนี่จนเพลินไป ก็ไม่เกิดสมาธิ อาจารย์วิปัสสนาส่วนใหญ่ก็จะสอนทำนองว่า “ถ้ามันวิ่งออกไปเราก็มีสติเรียกมันกลับมาคืน…จบ” วิธีที่ผมคิดเองในการปราบลิงจ๋อให้หงอคือ ใช้การกลั้นหายใจ คือหายใจลึกๆ แล้วกักลมไว้ในปอดนานๆ ให้นานที่สุด จะบริกรรมคำอะไรด้วยก็ได้เช่น จากนี้ไปจิตเราจะไม่วอกแวกอีกหนอๆๆๆๆ กลั้นไว้จนแทบว่าจะหมดลมตาย แล้วปล่อยออก แล้วสูดเข้าเต็มปอดใหม่ทันที กลั้นอีก ..ทำแบบนี้สัก 3-10 เที่ยว พบว่าปราบพยศได้ดีนักแล

 

  • 6) ถ้าฝึกอยู่บ้านก็พอโอ..แต่บางคนไปฝึกแบบเข้าคอร์สเป็นกลุ่ม พอออกจากสมาธิก็เม้าท์แตกกันใหญ่ แบบนี้กำลังสมาธิที่สะสมไว้ก็มลายหายหมด ..ดังนั้นพอออกสมาธิแล้ว จิตต้องสำรวมต่อ เพื่อสะสม “โมเมนธรรม” เอาไว้ไปเป็นแรงเริ่มต้นในการฝึกครั้งต่อไป ดังนั้นในครั้งต่อไปเราก็ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ และในครั้งต่อๆ ไปก็ยิ่งเริ่มต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ..สมัยบวชสามเดือนผมเคยฝึกแบบนี้จนกระทั่งว่า พอนั่งปึ๊บสมาธิก็มาปั๊บภายใน สองสามวิ แต่วันนี้เสียดาย โมเมนธรรม มันหดหายไปมากแล้ว ชีวิตนี้จะสะสมคืนได้ทันก่อนกายแตกไหมหนอ

 

…คนตามธรรม (๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔)

 


ปฏิบัติธรรม..๘..หลวงพ่อทิวาอธิบายความ..ลมหายใจคือธาตุสี่

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 August 2011 เวลา 5:54 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2157

 

 

ที่หลวงพ่อทิวาให้ “เพ่งลม” ในขั้นวิปัสสนานั้น ก็เพื่อให้ดูความประกอบผสมกันของธาตุสี่  คือดินน้ำลมไฟ ที่มีอยู่ในลมหายใจ

 

ท่านอธิบายว่า ดูเผินๆ เหมือนกับว่าลมหายใจเป็น ธาตุลม แล้วมันจะมีธาตุสี่คือ ดินน้ำไฟ ปนอยู่ได้อย่างไรเล่า แต่ท่านว่าให้ดูให้ดี ในลมหายใจมีธาตุดินด้วยนะ คือ เม็ดโมเลกุลของธาตุต่างๆไงเล่า  ธาตุน้ำก็คือความชื้นในลมไง ส่วนธาตุไฟก็คือความอุ่นของลม (ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จะเข้าใจได้ง่ายว่าในโมเลกุลมีพลังงานอยู่ รวมทั้งพลังงานนิวเคลียร์ -ผมเสริม)

 

 

ผมมาเอะใจว่า ความจริงคำว่า “ธาตุลม” นั้น เราแปลมาจากรากศัพท์บาลี “อากาสธาตุ” จำได้ว่า คำนี้แปลว่า ช่องว่าง อวกาศ (ซึ่งน่าหมายถึง สุญญากาศ นะครับ)  ไม่ได้หมายถึงแก๊ส แต่ไทยเรามาแปลหลวมๆ ว่า  “ลม”   ถ้าแปลดังนี้ ธาตุ”ลม” ในลมหายใจ ก็คือ ช่องว่างระหว่างโมเลกุล ของ ดิน และน้ำ ที่ลอยตัวอยู่นั่นเอง   …ถ้าแปลอย่างนี้ก็เป็นวิทยาศาสตร์ดี  (ช่องว่างระหว่าง โมเลกุลของ N_2 O_2 CO_2 H2O และอื่นๆ)

 

นั่นแหละ หลวงพ่อทิวาท่านว่า ให้พิจารณาไป ให้เห็นสัจจธรรม ที่ต้องเห็นในระดับจิต ค่อยๆทำไป  สะสมกำลังจิตไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่ง มันมีกำลังมากพอ มันก็จะ ปึ๊ง

 

…คนตามธรรม (๓ สค. ๕๔)


ปฏิบัติธรรม๗…วิถีแห่งหลวงพ่อทิวา

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 23 July 2011 เวลา 12:52 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4723

แนวปฏิบัติสมาธิของหลวงพ่อทิวา มี ๔ ขั้นคือ

ขั้นฝึกสติ (ตามลม)

ขั้นสมาธิ (ดูลม)

ขั้นวิปัสสนา (เพ่งลม) 

ขั้นถอน (ลอยลม)

….คำในวงเล็บเป็นบัญญ้ติของผมเอง

 

มาดูขั้นที่ ๑ …ตามลม (คือเอาใจวิ่งตามลมหายใจไป)

-นั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย 

-กำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า ผ่านจมูกเข้ามาหน้าอก ช่องท้อง ฝ่ามือ ขาที่จัดสมาท 

-กำหนดลมหายใจออก จากขาขัดสมาท มือประสาน ช่องท้อง ช่องอก ปลายจมูก 

 …ทั้งนี้เพื่อเจริญสติ ให้มั่น .(ผมเรียกว่าเป็นการวอร์มอัพ…เหมือนที่ทำก่อนเล่นกีฬา

……………………………………………………ทำไป สัก 5-10 นาทีา)

 

ขั้นที่สอง คือ ขั้นทำสมาธิ  (ที่ผมเคยอุปมาว่าคือทำจิตให้โฟกัส เหมือนเลนส์โฟกัสแสงแดด นั่นเอง)  ขั้นนี้จะไม่เอาจิตไล่ไปทั่วกาย ขึ้นลง แต่ให้เอาจิตมาจ่อเป็นจุด (หรือเป็นโฟกัส นั่นเอง) โดยเอาจิตมาจ่อไว้ที่ปลายจมูกเท่านั้น หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ (รู้ที่สัมผัส )

 ………………………………………………………….ทำไป…สัก 5-10 นาที

 

ขั้นที่สาม ขั้นวิปัสสนา คือพอจิตรวมเป็นสมาธิดีแล้วจากขั้นที่สอง จิตมีกำลัง (เหมือนแสงที่โฟกัส..ผม) ก็เอาพลังนี้ไปเพ่งวิปัสสนา (คือการพิจารณาด้วยปัญญา)  ให้พิจารณาว่า ลมหายใจเข้าออกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับกายของเรา คือเป็นธาตุสี่ ดินน้ำลมไฟ มาประชุมกันพร้อมอยู่ ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นตัวตน ตัวเรา ของเรา แต่แท้จริงแล้วหาใช่ตัวตนไม่ …หายใจเข้าพิจารณา ..หายใจออกพิจารณา

 …………………………………………………………….ทำไป…ประมาณ 40-60 นาที

 

ถ้าไม่บรรลุเสียก่อน ป่านนี้ก็คงเมื่อยโขแล้วแหละ ก็ถึงขั้นออกจากวิปัสสนา แต่ก่อนออกต้องพักผ่อนสักหน่อย ด้วยการ เลิกพิจารณา โดยให้ปล่อยจิตให้ว่างๆ ไว้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก อาจทำใจ “ลอยๆ”   ..ผมอุปมาเรียกขั้นนี้ว่า  “วอร์มดาวน์”  ..เหมือนเล่นกีฬา ก็ต้องมีการวอร์มดาวน์ก่อนเลิก

……………………………………………………………………………ทำไป…สัก 5-10 นาที

 

แต่ละวันควรทำสามครั้ง เช้า กลางวัน เย็น  หรืออย่างน้อย เช้า เย็น  หรือ วันละมื้อก็ยังดี

กิเลสจะค่อยๆสึกไป ปัญญาจะค่อยๆ เบ่งบาน

สักวันหนึ่งกิเลสอาจหายไปหมด โดยไม่รู้ตัว..เป็นการบรรลุธรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป

หรือฟลุกๆ วันหนึ่งอาจจะ “ปึ๊ง” …เป็นการบรรลุแบบเฉียบพลันกระโดดข้ามขั้นก็เป็นได้

 

พูดแล้วจะหาว่าโม้…เมื่ออายุสัก ๒๘ ผมเป็นนศ. ป.เอก อยู่ usa ไปทำงานกับนาซ่า  ผมก็ทำสมาธิแทบทุกวัน ส่วนใหญ่ตอนกลางคืน ก่อนนอน ทำไปแบบไม่มีครู ก็ต้องคิดหาวิธีเอาเอง อ่านทฤษฎีมาจากหนังสือท่านพุทธทาส (ซึ่งท่านไม่ได้สอนวิธีปฏิบัติ) แล้วเอามาสร้างวิธีปฏิบัติเอง ปรากฏว่าวิธีปฏิบัติของผม ในสองขั้นแรก แทบเหมือนกับของหลวงพ่อทิวาราวกับแกะ ส่วนขั้นที่สามวิปัสสนานั้น ต่างกัน โดยของผมใช้วิธี ลอยจิต แล้วมองลงมาให้เห็นตัวของเราเป็นธาตุสี่ เป็นอนัตตา (ก็ยังเหมือนกันในหลักการกับวิธีของหลววพ่อทิวา ต่างกันแต่ในวิธีการ)

 

ดังนี้ผมจึง อิน กับวิธีของหลวงพ่อทิวามาก แต่ตอนนี้ผมเอามาต่อยอดอีกแล้ว (ศิษย์คิดต่อยอดครู ไม่ได้คิดล้างครูนะครับ)  คือในช่วง สมาธินั้น ผมมี “วิปัสสนา” แถมเข้าไปด้วย กล่าวคือ ขณะเพ่งดูลมนั้น ให้มีการตามลมสั้นๆ คือหายใจเข้า ก็บริกรรมว่า เกิดขึ้น” พอหายใจสุดก็บริกรรมว่า ตั้งอยู่” พอหายใจออกก็บริกรรมว่า ดับไป”  ทั้งนี้เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายก็มีอยู่สามอาการนี่แหละ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป  ลองปฏิบัติดูแล้ว พบว่าวิธีนี้ ทำให้เกิดสมาธิเร็วดี และแถมยังได้ปัญญาญานอ่อนๆ อีกด้วย  เป็นการนำร่องก่อนเข้าไปสู่ขั้นวิปัสสนาต่อไป

สำหรับการขัดสมาท นั้นผมไม่ได้ทำอย่างท่าน (ขาขวาทับขาซ้าย) เพราะผมเคยลองขวาทับซ้ายมานานแล้ว พบว่ามีข้อเสียคือ ฐานนั่งมันเอียงซ้าย อีกทั้งทำให้เกิดเหน็บชาจากการที่ขามันทับเส้นเลือด เส้นประสาท ผมเลยคิดค้นวิธีนั่งแบบใหม่ (แต่สมัยอายุ ๒๘)  คือ ขาทั้งสองวางราบกับพื้น โดยไม่ซ้อนกัน เช่น ขาขวาอยู่หน้าซ้าย หรือ ซ้ายอยู่หน้าขวาก็ได้ โดยเอาขาข้างหนึ่งงอเข้ามาติดขาอ่อน อีกข้างหนึ่งก็วางแปะอยู่ด้านหน้า วิธีนี้ฐานจะราบ ไม่เอียง ทำให้เกิดสมาธิได้ง่าย อีกทั้งนั่งได้ทนกว่า เนื่องจากไม่ค่อยเกิดเหน็บชา

 

…คนตามธรรม (๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔)

ของดีที่สุด คือพระนิพพาน ไม่มีขาย มีแต่แจกฟรี (บทขัด..ของห่วยที่สุดมักมีราคาแพงที่สุด..เสมอ)

ดังนั้น สรุปได้ว่า คุณค่า แปรผกผันกับ มูลค่า เสมอ


ฝากไว้ในวันอาสาฬหบูชา…วัดสีเขียว

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 July 2011 เวลา 6:09 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1709

วันนี้ อาสาฬหบูชา (๑๕ ๗  ๒๕๕๔ ) คิดว่าน่าจะสร้างความคิดอะไรสักอย่างสะสมไว้ให้เป็นโมเมนธรรมทั้งต่อตนเองและต่อสังคม

 

คิดแล้วได้ความว่า น่าฝากแนวคิด “วัดสีเขียว” ฝากไว้ให้ช่วยกันคิดต่อ

 

โรงเรียนสีเขียว

โรงพยาบาลเขียว

วัดสีเขียว

 

ก็ครบหมด พระ หมอ ครู ที่เป็นปูชนียบุคคลแห่งสังคมไทย ถ้าสามสังคมนี้เขียว (ทั้งกายและใจ) ก็หมดปัญหา นำพาชาติรอดแน่ๆ

 

พึงตระหนักว่า พพจ. ทรงเป็นนักนิเวศวิทยาคนแรกของโลก (นักชีวคนแรกอาจเป็น อริสโตเติล)  ดังที่บัญญัติไว้ในพระวินัยว่า ห้ามพรากของเขียว (เช่น แม้แต่เด็ดใบไม้ ) ห้ามถ่ายของเสียรดของเขียว หรือ ลงในลำน้ำคูคลอง

 

ดังนั้นการทำให้วัดกลับมาเขียวจึงเป็นการสนองพระคุณแห่งองค์พระศาสดาที่น่ากระทำยิ่ง

 

วัดเขียวควรมีตัวชี้วัดอย่างน้อยดังนี้

 

-มีต้นไม้ร่มคลึ้ม …ไม่ใช่มีแต่ลานจอดรถเทปูน แสนร้อน  หากิน กับค่าจอดรถ

-กุฏิโล่ง ไม่ติดแอร์

-มีการจัดการกับของเหลือจากบิณฑบาตรอย่างได้ประโยชน์สูงสุด

-สะอาดไม่มีขยะ พระเณรช่วยกันกวาดไม่เหลือหรอ

-งานศพเป็นไปอย่างประหยัด ห้ามให้พวงหรีดฟุ่มเฟือย

-การเผาศพไร้ควันและประหยัดพลังงาน

-ห้องส้วมสะอาด ไร้กลิ่น และไม่ต้องฟุ่มเฟือย สองมาตรฐาน แยกส้วมพระออกจากโยม ให้ใช้ส้วมร่วมกัน

-จีวรมีชุดเดียว ตามพุทธบัญญัติ (เดี๋ยวนี้มีไหมอิตาลี มันวาว)

-แว่นตาประหยัด ราคา 300 บาทมีถมไป แต่ใส่กันแบบ tag huer กันเป็นแถว)

-รถยนต์ให้ใช้รถตู้เท่านั้น ห้ามมีรถเก๋ง ราคาแพง แล้วอ้างฉลองศรัทธาโยม  (ท่านปยุตโตภิกขุ ท่านใหญ่ปานไหนก็ใช้รถตู้ตลอด พอว่างก็เอาไปขนพระอื่นๆไปไหนมาไหนได้ ใช้ขนของก็ได้)

-ตาลปัตรก็ให้มีได้อันเดียว ที่เหลือ เอาไปแจกให้ชาวนา เอาไว้ทำวีฝัดข้าว

-หมาวัด แมววัด ไร้ขี้เรื้อน

-พระในวัดมีทีวีน้อยที่สุด ควรมีทีวีรวมเพียงเครื่องเดียว  จัดรายการให้ดูตามที่กรรมการวัดกำหนด พอให้เรียนรู้โลก

-พระมีมือถือสาธารณเพียงเครื่องเดียว เอาไว้โทรติดต่อธุระสำคัญเท่านั้น และในการพูดต้องมีพระอื่นร่วม ฟังอยู่ด้วย (ประหยัด และห้ามมีกิ๊ก)

 

แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือวัดเขียวสักกี่วัด

 

ถ้าจำไม่ผิด พพจ. ทรงสั่งเสียว่า พระวินัยปลีกย่อยให้ตัดทิ้งได้ตามกาลสมัย อีกทั้งให้บัญญัติเพิ่มเติมได้ตามกาลสมัย  …เถรวาท เป็นพวกอนุรักษ์ ไม่กล้าตัดอะไรทิ้งหรือบัญญัติอะไรใหม่อีกด้วย

…คนถางทาง (๑๕ กค. ๕๔)


โมเมนธรรม

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 July 2011 เวลา 3:54 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1706

โมเมนธรรม

 

โมเมนตัม (momentum)  เป็นภาษา ละติน แปลว่าพลังที่เนื่องอยู่กับความแรงในอดีตที่สะสมไว้ เอามาแผลงแบบไทยๆ เราเป็น “โมเมนธรรม” ก็ยังได้

 

เมืองไทยเรา ดีๆ ชั่วๆ วันนี้ ยังไงก็ยังมี โมเมนธรรม ที่บรรพชนสะสมสร้างไว้ให้เป็นเนื้อนาบุญของชาติ  เป็นเสบียงทางวิญญาณที่ใช้ในการเดินทางไปสู่เป้าหมายได้

 

โดยเฉพาะท่านพุทธทาสภิกขุ ที่บ้าบิ่นอย่างแสนสุขุมทุ่มเทเหงื่อทุกหยาดหยดรดแผ่นดินธรรมผืนนี้ให้ชุ่มฉ่ำอย่างที่เรียกว่า ปิดทองหลังเขา  ฝ่าฟันอุปสรรค (เสียงก่นด่า) มานานับปการ

 

ท่าอาจารย์ชา หลวงปู่มั่น หลวงตาบัว เป็นอาทิ  และแม้แต่ ธรรมกลาย ก็เถอะ ถือว่าก็ยังอยู่ในธรรมนองคลองธรรม ดีกว่าไปเต้นแร้งเต้นกา แสวงหาทำลายล้างในรูปแบบอื่น

 

ในวันอาสาฬหบูชา และเข้าพรราษานี้ ขออำนวยพรให้ทุกท่านจงสะสมโมเมนธรรมให้ตนมากๆยิ่งขึ้นทุกท่านเด๊อ

 

..ธรรมสวัสดิ์ (คนธรรมทาง..๑๕ กค. ๕๔)


ทางสายกลาง..หัวใจสำคัญสุดของพุทธที่ยังเบลอกันอยู่

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 15 July 2011 เวลา 3:44 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1696

ใน ธัมมจักกัปวัตตนสูตรนี้ ว่ากันว่าเป็นคำสอนเริ่มแรกของ พพจ. ต่อศิษย์เอกทั้งห้า  (ชื่อธัมนี้แปลเป็นไทยว่ากระไรก็ไม่รู้) เมื่อวันอาสาฬหกว่า 2500 ปีมาแล้ว

 

หัวใจสำคัญคือ สอนทางสายกลาง ไม่สุดโต่งไปเป็นพวกนิยมกามฝ่ายหนึ่งและทรมานตนอีกฝ่ายหนึ่ง  จากนั้นสอนอริยสัจ ๔

 

เรื่องทางสายกลางนี้มีการตีความที่แตกต่างกันไปมาก  จนบางที่กลายเป็นเครื่องมือให้ทำความชั่ว เช่น กินเหล้าต้องอย่ามากเกินไป ถ้าไม่กินเลย เดี๋ยวก็จะเคร่งเกินไป ให้กินพอเป็นกระสายคือสายกลาง..ว่าเข้านั้น

 

ท่านพุทธทาสสอนว่า แท้จริงแล้ว สายกลาง คือ เรื่องของจิตใจที่เป็นหลักสำคัญที่สุดของศาสนาพุทธ เพราะก่อนนั้นมีเพียงสองโต่งสุดขั้ว คือหลัก อัตตา (ตัวตน)  และ หลัก นิรัตตา (ไม่มีตัวตน) พพจ.ทรงค้นพบทางสายกลาง คือ อนัตตา (ซึ่งตอนนี้พวก  “ธรรมกลาย” รู้เท่าไม่ถึงกาล พยายามทำให้กลายไปเป็น อัตตา ไปอีกแล้ว)

 

ข้างล่างนี้ผมขยายความท่านพุทธทาส….

 

ระบบ อัตตา คือเชื่อว่ามีตัวตน ตายไปแล้ว ไปเสวยสุขอยู่กับพระเจ้า  พวกนี้จะเชื่อพรหมลิขิตไปด้วยโดยอัตโนมัติ ศาสนาที่เชื่อระบบนี้ก็เช่น ฮินดู คริสต์ อิสลาม ยิว

 

ระบบ นิรัตตา คือเชื่อว่าตายแล้วไม่มีอะไรเหลือ ดังนั้นไม่ต้องเชื่อเวรกรรม ทำอะไรในโลกนี้ได้เต็มที่ พวกนี้ไม่มีศาสนารองรับเป็นระบบ แต่วันนี้อนุโลมเป็นพวก Atheist  หรือ ในอดีตเรียกว่าพวกนิยมลัทธิ  Hedonism

 

อนัตตาคือ “ไม่ใช่ตัวตน” (ต่างจาก “ไม่มีตัวตน”  ลิบลับ แต่คนไทยจำนวนมากทั้งพระและฆราวาส  ก็แปลกันว่า “ไม่มีตัวตน” ..กลายเป็นพวก นิรัตตาไป) ..ท่านพุทธทาสสอนง่ายๆ ว่ามันมีอยู่ แต่มีแบบไม่มี

 

นี่แหละความเด่นของศาสนาเรา ที่ต้องภูมิใจให้มาก “มีแบบไม่มี” มันเข้าได้กับหลัก Quantum reality เลยนะ วิทยาศาสตร์สุดขั้ว

 

ตามที่ผมได้คิดค้นการตรัสรู้โดยสมองไว้ ผมเชื่อว่า เมื่อจิตเราเข้าสู่นิพพานแล้ว เข้าเสวยอารมณ์นิพพานว่างั้นเถอะ มันสุขล้ำเหลือ แต่ในที่สุด เราก็ระลึกได้ ต้องถอนจิตออกมา เลิกเสวยอารมณ์ กลายเป็นจิตบริสุทธิ์ (หรือจิตเดิมแท้..ตามภาษาเซ็น)  ที่มองเห็นนิพพานที่ถอดทิ้งไว้

จิตบริสุทธิ์หรือจิตเดิมแท้ หมายความว่าจิตที่หมดแล้วซึ่งการปรุงแต่งใดๆ (ถูกนิพพานดูดกลืนการปรุงแต่งไปหมดแล้ว จนบริสุทธิ์)  ถามว่า จิตเดิมแท้ นั้นจะคิดว่าตนเป็นอัตตาไหม หรือ ไม่เป็นอัตตาไหม ตอบว่า..ไม่ทั้งสองอย่าง เพราะถ้าเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งแสดงว่ายังมีการปรุงแต่ง (ธรรมมารมณ์) ก็ไม่ใช่จิตเดิมแท้ ที่แท้ ตามนิยามของจิตเดิมแท้ น่ะสิ

 

แหม กระแดะ เทศน์เสียสูง กลัวขี้กลากขึ้นจิต เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะไปปลีกวิเวกในป่าใหญ่ตามที่หมอแม่แผ่เมตตามาให้แล้ว

 

..ธรรมสวัสดี วันอาสาฬหะบูชา (คนธรรมทาง…๑๕ กค. ๕๔)


Making money from thin air is not impossible anymore (การทำนาประมงและป่าไม้ในพื้นที่เดียวกัน)

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 July 2011 เวลา 7:45 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2073

ปลูกป่า ทำนา  ประมง  และปลูกผัก ชีวภาพ 100% (make money from thin air)

 

รายได้ไร่ละ 300,000 ต่อปี ไม่น่าหนีไปไหน

 

วิธีการคือท้องนาพื้นที่ 1 งาน กว้าง 20×20 ม.  ให้ ขุดคูน้ำลึกรอบคันนาด้านในกว้างสัก 1 ม. ลึก 1 ม. แล้วเอาดินไปถมทำคันนาให้กว้าง 1.5 ม. สูงจากระดับท้องนาสัก 0.6  ม. . (ตามปริมาณดินที่ขุดได้)

 

หลักการคือ บนคันนาเราจะปลูกไม้ยืนต้น ในคูน้ำเลี้ยงปลา ในนาปลูกข้าวและผัก โดยมีคูน้ำเป็นแหล่งชลประทานไปในตัว

 

ที่ดินตรงกลางนั้นให้แบ่งเป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน หน้ากว้างประมาณ 4 8 4  ระหว่างรอยต่อของ 4 กับ 8 ให้ขุดคูน้ำทลุถึงคูรอบนอก ..ทำเช่นนี้เพื่อการชลประทานในการรดน้ำผักภายหลังการทำนา

 

ปรากฏว่าพื้นที่ 1 งานตอนนี้เป็นคันนา คูน้ำ ไปเสียประมาณ  30% เห็นจะได้  แต่อย่าตกใจ นี่แหละที่จะทำให้เราสบาย เหนื่อยน้อยลง 3 เท่าแต่กำไรมากขึ้น 100 เท่า (ปรสิทธิผลเพิ่ม 300 เท่า)

 

พอเริ่มเข้าหน้าฝน พค. มิย. น้ำฝนเริ่มตก และไหลลงคูโดยรอบ เก็บสะสมน้ำไว้เรื่อยๆ ปลาย กค. น้ำจะเต็มคูและเริ่มนองเข้านา เราจะปลูกข้าวที่ปลายกค. อาจจะล่าไปหน่อยแต่ไม่น่าเป็นไร ดีเสียอีก ช่วงนั้นเมล็ดวัชพืช งอกหมดแล้วก็สบายขึ้นอักโขในการจัดการวัชพืช (เม็ดหญ้าส่วนใหญ่งอกก่อนและระหว่างเดือนมิย…ที่มา..กรมวิชาการเกษตร)

ช่วง พค. มิย. กค. เราปลูกอะไรนำร่องได้มากหลาย เช่น ถั่วต่างๆ ข้าวโพดฝักอ่อน ผักอื่นๆ โดยน้ำที่ขังอยู่ในคูก็เอามาช่วยรดได้ในยามที่ฝนทิ้งช่วง  ถั่วน่าจะดีเพราะช่วยบำรุงดิน แต่ผักก็เย้ายวน เพราะรายได้ดี (และนั่นคือเหตุผลทำไมขุดคูขวาง…ก็เพื่อที่จะเอาแพลอยน้ำไปสูบน้ำฉีดรดได้ทั่วนาภายใน 20 นาที ผมออกแบบแพยนต์นี้ไว้แล้ว มันง่ายมาก และลงทุนน้อยมาก ทำเป็นบูมแผ่ออกสองข้าง รดน้ำได้อย่างทั่วถึง และรวดเร็วมาก ประหยัดน้ำด้วย ถ้าฝนทิ้งช่วงก็เอาไปรดให้นาข้าวได้ด้วย)

 

พอน้ำเริ่มขังในคูมากเราก็คั่นคอก ทดน้ำเข้าไปในคอก เพื่ออภิบาลลูกปลาไว้ล่วงหน้าสัก 2 เดือนกว่าน้ำจะมามาก ให้กินอาหารทั้งธรรมชาติและอาหารเสริม ซึ่งในช่วงนี้ปลายังเล็ก ราคาอาหารไม่มากนัก

 

บนคันนาเราปลูกพืชยืนต้นที่ชอบแวดล้อมแบบนี้ คือมีน้ำแฉะขังรอบๆ ปีละ 8 เดือน  ที่นึกออกตอนนี้มีสองคือ ตะกูและไผ่ การปลูกตะกูที่ไม่ค่อยสำเร็จกันนั้นเป็นเพราะหารู้ไม่ว่ามันชอบอยู่ริมน้ำ ถ้าไม่เช่นนั้นจะโตช้า ถ้าอยู่ริมน้ำจะเร็วแบบเหลือเชื่อ  ไผ่หลายสกุลก็ชอบริมน้ำ ตอนนี้ผมค่อนข้างจะโน้มมาทางไผ่ เพราะมันมีผลพลอยได้ที่ใบมันร่วงหล่นลงสู่น้ำ

 

และนี่คือเหตุผลทำไมมาขุดคูไว้ริมนาแบบนี้ ก็เพื่อให้มันรับล่มจากต้นไม้ และได้รับใบไม้ที่ร่วงหล่นนี่แหละ ร่มจะช่วยทำให้น้ำเย็น ปลาที่เลี้ยงไว้ในคูจะไม่ร้อนเกินไป คูน้ำนี้จะเป็นทั้งแหล่งชลประทานและบ่อเลี้ยงปลาไปในตัว

 

พอน้ำท่วมนา (ปลาย กค. ) ปลาก็โตพอที่จะปล่อยได้แล้ว ให้หากินกันเอาเอง จากไรน้ำ ที่เกิดจากใบไผ่หล่นลงไปเน่าเปื่อยในน้ำ แล้วสร้างจุลินทรีย์ และไรน้ำพืชขึ้นมาเป็นอาหารให้ปลา (นี่ยังเดาอยู่นะ ต้องทดลองและหรือวิจัยต่อ ว่าสร้างจุลินทรีย์ได้ไหม หรือเผลอๆ ใบไผ่อาจเป็นพิษด้วยซ้ำ แต่เชื่อว่ามีทางใช้ประโยชน์แน่ๆจากใบไม้ริมน้ำ)

 

 นอกจากนี้จะเสริมด้วยสาหร่ายทีปลาชอบกิน เช่น สาหร่ายหางกระรอก พุงชะโด ข้าวเหนียว  ซึ่งเรื่องนี้พอมีพื้นฐานอยู่แล้วว่าเป็นไปได้ แต่ต้องทำวิจัยเสริมว่า สาหร่ายอะไรดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีสาหร่ายที่ตรึงในโตรเจนและฟอสเฟตจากอึสัตว์น้ำอีกด้วย(วิจัยในกุ้ง แต่ปลาก็น่าจะเหมือนกันนะ)  นี่มันวิเศษจริงๆ สาหร่ายกินอึปลา ปลากินสาหร่าย (making money from thin air is not impossible anymore)

 

ปลาที่เลี้ยงเป็นปลากินพืชเท่านั้น เช่น ปลาจีน ปลาตะเพียนทั้งหลาย ซ่ง ลิ่น สลิด กระดี่ แรด นิล หมอตาล (ไอ้เพียนนี่ต้องระวังหน่อย โดดสูงมาก ชอบโดดไปงับกินรวงข้าว …ลูกสาวชาวนาเตือนเราไว้นานแล้ว)

 

การทำนาก็ทำไปตามปกติ เริ่มปลายกค. ถึงต้นสิงหาด้วยซ้ำ เพราะน้ำมันจะยังไม่ท่วมนา หรือถ้าจะให้เร็วขึ้นก็ทำคันในรอบในขนาดเล็กเพื่อกักน้ำก็ได้ แบบนี้ก็จะทำนาได้ตามปกติ น้ำที่มากเกินไป ก็ไขออกไปลงคูรอบๆ ให้หมด หรือทำเป็นฝายน้ำล้นไปเลย ..อ้อ..อย่าลืมการทำแบบหยอดหล่นด้วยนะ ..และเกี่ยวแบบหวีสางที่ไม่ต้องนวด จากนั้นตากแห้งแบบเตียงพรุ่น..ซึ่งผมได้คิดไว้ให้หมดแล้ว ตากแห้งนั้นทดลองได้ผลแล้วด้วย

 

ถ้ำทำคันนาด้านในด้วย เราจะมีประตูเปิดให้ปลาพวกนี้ไปว่ายเล่นในนาข้าวด้วย มีวัชพืชออกมามันกินหมดไม่เหลือ ก็ไม่ต้องฉีดยาฆ่าหญ้า

 

อ้อ..ลืมไป เพิ่งจะได้แนะนำพระเอก ในซีนนี้ คือ เขียดน้อย เช่น เขียดขาคำ และ ที่เล็กกว่า เพื่อให้ไต่ไปตามใบข้าวไปกินเพลี้ย อีกทั้งแมงปอเข็มก็น่ากินเพลี้ยให้เราได้ด้วย พวกแมงใหญ่ ก็ไม่ยาก เลี้ยงปลาเสือพ่นน้ำไว้สักฝูง รับรองว่าเล่นสงกรานต์กันสนุก ส่วนกบใหญ่ ที่แรกก็อยากเลี้ยง แต่กลัวมันไปกินปลาเสียหมด หอยขม ก็ปล่อยลงนาได้ เอาไม้ผุไปลอยไว้ ให้มันเกาะ ขายได้เงิน แถมมันช่วยรักษาสมดุลระบบนิเวศด้วยเพราะย่อยสลายของเน่าให้กลายเป็นปุ๋ยให้นา

 

การเลี้ยงปลาควรเลี้ยงแบบสางขาย คือ ตอนแรกตัวเล็กๆ ให้เลี้ยงแน่นๆ แล้วสางขายเป็นระยะเมื่อมันโตขึ้น จะมีรายได้สม่ำเสมอต่อเนื่อง อาหารปลาก็ไม่ต้องซื้อเพราะมีให้เหลือเฟือ เผลอๆ สาหร่ายที่ปลูกไว้จะโตไวเกินปลาเสียอีก ก็สางสาหร่ายเอามาทำอะไรได้มาก เช่น เลี้ยงหมู ไก่ ทำปุ๋ยสดหมัก (ปลาจีนนั้นว่ากันว่ามันกินอาหาร 3 เท่าน้ำหนักตัว ตปท. ใช้มันในการกำจัดวัชพืชน้ำ)

 

อ้อ..ทิศทางการวางนาอาจต้องคำนึง ให้แนวคันนาที่ปลูกไผ่อยู่ในแนวออกตก ส่วนแนวเหนือใต้อาจปลูกไม้พุ่มเศรษฐกิจแทน เช่น พริก ทั้งนี้เพื่อจะไม่ถูกบังแดด เพราะสาหร่ายชอบแดด ถ้าแดดน้อยจะโตไม่ดี อาจไม่พอให้ปลากิน

 

พอเกี่ยวข้าวเสร็จก็ปลูกผักต่อได้เลย เพราะพื้นนายังมีความชื้นอยู่มาก ถ้าต้องการน้ำ ก็น้ำในคูนั่นไง เพราะตอนนั้นจับปลาขายไปครึ่งหนึ่งแล้ว น้ำมีพอเอามารดแปลงผัก แถมเป็นน้ำปุ๋ยอุดมด้วยแอมโมเนียและฟอสเฟตจากอึปลาด้วย ผักงามดี มีกำไรมาก กว่าน้ำจะหมดคูก็คงต้นกพ.  คูนามีอยู่แล้วก็ทำเป็นเทือกแฉะๆ กางปิดด้วยสแลนท์ก็ปลูกผักน้ำแฉะแดดรำไรราคาแพงได้ง่ายๆ เช่น วอเตอร์เครสท์ ที่ตัดแล้วแตกใหม่อย่างรวดเร็ว ปลูกได้สามชุดสบายๆ

ช่วงปลูกผักนี้สามารถปล่อยเขียดใหญ่ เช่น เขียดอีโม่ที่เพาะเลี้ยงไว้ร่วมกับปลาใหญ่ได้แล้ว (เพราะมันกินปลาไม่ได้แล้ว) เขียดอีโม่มันจะกินแมลงใหญ่ ส่วนเขียดขาคำและอื่นๆ จะกินแมลงเล็กจนถึงเพลี้ย ผักของเราก็ปลอกสารพิษ แถมได้อึเขียดที่กินแมลงมาเป็นปุ่ย อีกทั้งเขียดพวกนี้ขายได้ แพงเสียด้วย

 

ส่วนปลานั้นถ้าเลี้ยงหนาแน่นเกินไป จะมีปัญหาเรื่องน้ำเสียจากอึของมันเอง  ซึ่งสาหร่ายช่วยบำบัดแบบ รีไซเคิลไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ที่เหลือถ้าจำเป็นก็ต้องแทรกแซง ซึ่งสามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้ไม่ยาก ลองคิดดู อย่าให้บอกทั้งหมด เดี๋ยวหมดสนุก

 

นานี้ไม่ต้องฉีดยาใดๆ ไม่ว่าเคมีหรือชีวะ ไม่ต้องใส่ปุ๋ย (มาจากอึปลา) ไม่ต้องทำหญ้า (ปลาตอดกินหมดแล้วเอาไปอึเป็นปุ๋ย) ส่วนปลาก็ไม่ต้องให้อาหารกินอาหารธรรมชาติจากไรน้ำที่หล่นมาจากใบไม้ และจากสาหร่าย ผักที่ปลูกก็เช่นกันไม่ต้องฉีด ไม่ต้องใส่ปุ๋ย (กินบุญเก่าจากน้ำปลา)

 

รายได้มาจาก ข้าวชีวภาพ ผักชีวภาพ(อาจมากกว่าข้าวซึ่งเป็นพืชหลัก 10 เท่า) พืชก่อนฤดูเช่นถั่ว (อาจได้พอๆกับพืชหลัก) ปลา (อาจมากกว่าข้าว 5 เท่า) หอย หน่อไม้ ลำไม้ไผ่  

 

คิดให้ดีนี่มันกลั่นเงินจากดินน้ำลมไฟธรรมชาติแท้ๆ เลย

ดิน น้ำ ไฟ(แสงอาทิตย์) ลม(อากาศ) ไม่ได้มาจาก thin air ดังที่ล้อไว้ 

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔)


ลดพื้นที่ทำไร่นา..เพิ่มพื้นที่ป่าไม้แบบค่อยเป็นค่อยไป

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 July 2011 เวลา 6:03 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1735

ลดพื้นที่ทำไร่นา..เพิ่มพื้นที่ป่าไม้แบบค่อยเป็นค่อยไป

 

การทำนาได้กำไรน้อยกว่าป่าไม้ การป่าไม้ได้น้อยกว่าประมง นอกจากนี้การทำนายังทำลายธรรมชาติ ป่าไม้ช่วยรักษาธรรมชาติ แต่การทำนาเป็นสิ่งจำเป็น ต้องคงไว้ในระดับพอเพียงที่ไม่มากแต่ก็ไม่น้อยจนเกินไป

 

กานำป่าไม้กลับคืนมาสู่ผืนแผ่นดินไทย มีแนวคิดง่ายๆ (แต่ทำอาจยากในบริบทประเทศไทย) คือจัดสรรที่ดินใหม่ ด้วยการเอาที่ดินทั้งหมดในตำบลมารวมกันใหม่ แบ่งเป็นโซนป่าไม้เสียครึ่งหนึ่งโดยเป็นป่าใหญ่ติดต่อกันเป็นผืนเดียว เรียกว่าป่าตำบล  ที่เหลืออีกครึ่งให้ทำไร่นา

 

ที่ดินอีกครึ่งหนึ่งก็มาจัดสรรกันใหม่ โดยการเทียบบัญญัติไตรยางค์จากของเดิม แต่โดยมีข้อกำหนดว่าถ้าใครได้น้อยกว่า 3 ไร่ให้เพิ่มขึ้นเป็น  3 ไร่  ส่วนคนที่มีมากเกินไปก็ให้ลดลงมา เอาไปเจียดให้คนที่มีที่น้อย แต่เขาจะมีส่วนตอบแทนในภายหลังเป็นการชดเชย (มาจากป่าตำบล)

 

คำนวณดูคร่าวๆ ป่าตำบลนี้จะมีพื้นที่เฉลี่ยถึง 15,000 ไร่ นับว่าใหญ่โขขนาดทำเป็นอุทยานได้เลย ตำบลไหนที่ทำเลสวยๆ ก็จัดสรรให้เป็นป่าไปเลย จะดึงดูดการท่องเที่ยวได้อีก

 

ที่สำคัญคือ เราจะทำอุตสาหกรรมป่าไม้แบบตัดสางอย่างยั่งยืน เอาไม้มาแปรรูป เป็นเครื่องใช้ เพิ่มมูลค่าได้มหาศาล รายได้ต่อพื้นที่สูงกว่าการทำนา 20 เท่าได้สบายๆ นอกจานี้ยังมีผลพลอยได้จากป่าอีกมากมาย เช่น เห็ด สัตว์ป่า

 

อุตสาหกรรมนี้ทำแบบให้ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมทำนองสหกรณ์  รายได้ที่เกิดขึ้น ก็นำมาจัดสรรให้ชาวบ้าน โดยชดเชยให้คนที่เสียที่ดินไปด้วยในสัดส่วนที่มากกว่าคนอื่น

 

อุตสาหกรรมป่าไม้ที่เกิดขึ้นจะเกิดการจ้างงานเพิ่ม และระบบนิเวศโดยรวมของประเทศจะดีขึ้น น้ำท่วมลดลง อากาศเย็นสบายขึ้น

 

ถ้ารัฐบริหารให้ดีทำเป็นนโยบายประเทศ น่าขอ คาร์บอนเครดิตจากยุโรปได้อีกด้วย

 

….ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔)


ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ยังต่ำเกินไปมาก

6 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 13 July 2011 เวลา 5:10 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2608

ในประดานโยบายของพรรคเพื่อไทยนั้น มีอยู่อย่างเดียวที่ผมพอเห็นด้วย คือ นโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท แม้มันจะเป็นเพียงนโยบายประชานิยมตื้นๆก็ตามที

 

ถ้ารัฐไม่เก่งจริง หรือไม่รับผิดชอบ การขึ้นค่าแรงอาจยิ่งทำให้แรงงานจนลงด้วยซ้ำไป (ถ้าราคาสินค้ามันขึ้นแซงหน้า โดยเฉพาะในประเทศไทยที่การแข่งขันเสรียังอ่อนแอมาก)

 

ใจจริงผมอยากให้ขึ้นเป็น 1000 บาทด้วยซ้ำไป  (ณ วันนี้ กรกฎาคม พศ. ๒๕๕๔)

 

ผมคำนวณได้ว่าถ้าค่าแรงขั้นต่ำ 1000 บาท แล้วสามารถคุมราคาก๋วยเตี๋ยวไว้ได้ที่ชามละ 50 บาท ประเทศไทยจะพัฒนาอย่างรวดเร็วในเชิงเศรษฐกิจ นายทุน ภาคอุตสาหกรรมจะรวยขึ้นสองเท่าทันที รวมทั้งคนขายก๋วยเตี๋ยว ช่างตัดผม  

 

ผมจะลองแจงการคำนวณให้ดูนะครับ สมมติว่าก๋วยเตี่ยวชามละเฉลี่ย 30 บาทในวันนี้  ในจำนวนนี้เป็นค่าแรงเสีย 10% หรือ 3 บาท (ค่าแรงไทยต่ำมาก ถ้าเป็นในอารยประเทศจะเป็นประมาณ 30%) กำไร 10 บาท ที่เหลือ 17 บาทเป็นค่าวัตถุดิบ ค่าเช่าร้าน ค่าติดสินบทเจ้าพนักงาน (ที่ไปตั้งแผงลอยบนฟุตบาท) 

 

ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 200 เป็น 1000 บาท ค่าแรงเพิ่ม 5 เท่า ดังนั้นก๋วยเตี๋ยว 1 ชามจะมีค่าแรง 15 บาท ค่าวัตถุดิบและอื่นๆ จะเป็น 25 บาท (เพราะมีค่าแรงอยู่ในนั้นด้วย 10%)  ถ้าคงกำไรไว้ 10 บาทเท่าเดิม ก็จะได้ก๋วยเตี๋ยวราคา 50 บาท

 

กำไร 10 บาทเท่าเดิมนี้ยังเป็นธรรมอยู่ เพราะแม่ค้าจะขายก๋วยเตี๋ยวได้มากขึ้น 3 เท่า เนื่องจากเมื่อก่อนคนมีกำลังซื้อก๋วยเตี๋ยวแค่วันละ 200 หาร 30 หรือ 6.7 ชามเท่านั้น แต่บัดนี้คนมีกำลังซื้อก๋วยเตี๋ยวถึงวันละ 20 ชาม มากขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า ก็น่าเชื่อได้ว่าก๋วยเตี๋ยวจะขายดีขึ้น 3 เท่า แม่ค้าจะกำไรเพิ่ม 3 เท่า ทั้งที่กำไรต่อชามเท่าเดิม

 

นอกจากนี้แม่ค้าจะจ้างคนงานเพิ่ม 3 เท่าด้วย คนก็มีงานทำมากขึ้น และเป็นงานที่มีรายได้ดีเสียด้วย

 

ที่มาของสูตรการขึ้นค่าแรงเป็น 1000 บาทนี้ก็เพื่อให้ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 20 ชามพอดีนี่แหละครับ ผมสร้างโจทย์คณิตศาสตร์แล้วคำนวณตัวเลขนี้ออกมา  ตัวเลข 20 เท่านี้ไม่ได้มาจากทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ในตำราหรอกครับ แต่มาจากการสำรวจของผมเองที่พบว่าประเทศอารยทั้งหลายทั้งสหรัฐ ยุโรป มีค่าแรงขั้นต่ำที่ซื้ออาหารหนึ่งมื้อได้ประมาณ  20 มื้อพอดี จึงคิดว่านี่มันน่าเชื่อถือกว่าตำราเสียอีก เพราะอารยประเทศพวกนี้เขาลองผิดลองถูกมาเป็นร้อยปี สร้างหลักฐานให้เราเห็นเป็นรูปธรรม เป็นสูตรสำเร็จที่ตรงกันทุกประเทศอยู่แล้ว

 

ในการขึ้นค่าแรงนี้ รัฐบาลจะเก็บภาษีได้มากกว่าเดิมมากหลาย น่าจะประมาณ 5 เท่า เพราะเดิมแรงงาน 20 ล้านคนไม่เสียภาษีเงินได้ บัดนี้รายได้เกินระดับเสียภาษีแล้ว รัฐจะมีฐานภาษีใหม่ 20 ล้านคน อีกทั้งผู้ประกอบการทั้งหมดมีรายได้มากขึ้น 3 เท่า ก็ได้ภาษีการค้ามากขึ้นมหาศาล ยังภาษีค้าปลีกที่จะมากขึ้นอีก 5 เท่า (จากกำลังซื้อทีเพิ่มขึ้น 5 เท่า) ความจริงจะมากกว่า 5 เท่าด้วยซ้ำไปเพราะมันมีตัวคูณทางเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหลายต่อ

 

ที่น่าสังเกตคือ คราวนี้ค่าแรงในก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม คือ 15 บาท คิดได้เป็น 30% ของราคาสินค้าพอดี ซึ่งเท่าๆกับระดับอารยประเทศ นี่คือจุดค่าแรงยุติธรรม ไม่ถูกหรือแพงเกินไป  ถ้าค่าแรงแพงกว่านี้การค้าขายและระดับเศรษฐกิจจะเริ่มลดลง (การลดลงนี้อธิบายยาก มันเกี่ยวกับการสัมพันธ์แบบไม่เป็นเชิงเส้นของกำไรการค้าและค่าแรง)

 

 ดังนั้นมันมีจุดหนึ่งที่เป็นจุดที่ค่าแรงดีที่สุด ที่จะทำให้ทุกฝ่ายวินวินวิน (ยกเว้นสิ่งแวดล้อม ฮา)  สำหรับประเทศไทยเรา ณ ตอนนี้ก็อยู่ประมาณ 1000 นี่แหละ แต่รัฐบาลต้องเก่ง ต้องทำให้ก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ชามละ 50 บาทได้ด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้พรวดไปที่ 150 บาท

 

ส่วนพวกโรงงานอุตสาหกรรมก็จะได้รับผลดีเช่นเดียวกัน เพราะพอพนักงานมีรายได้มากขึ้น เขาก็จะอุปโภคสินค้าที่ผลิตจากโรงงานมากขึ้น เช่น พนักงานโรงงานผลิตรองเท้า ก็ไปซื้อมอเตอร์ไซค์มากขึ้น พนักงานโรงงานมอเตอร์ไซค์ก็ไปซื้อโทรทัศน์มากขึ้น พึ่งพากันเป็นร่างแหแบบนี้ สุดท้ายคือเจ้าของโรงงานได้กำไรสุทธิมากขึ้น 3 เท่า ทั้งที่ต้องจ่ายค่าแรงมากขึ้น 5 เท่า  (เหมือนแม่ค้าก๋วยเตี๋ยว)

 

การที่สภาอุตสาหกรรมไทยออกมาโจมตีว่าที่รัฐบาลนั้นเป็นเพราะ 1) ยังไม่เข้าใจในประเด็นที่ได้กล่าวไปแล้วว่าพวกตนจะได้กำไรมากกว่าเดิมสามเท่า  2) สภาฯถูกพวกนักลงทุนต่างชาติหลอกให้มาพูดแทน 3) พูดเองด้วยใจจริงเพราะเกรงไปว่านักลงทุนต่างชาติที่โรงงานพวกตนหากินร่วมอยู่ด้วยจะถอนทุนไปที่อื่นหมด …ไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่งก็ถือว่าเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทั้งหมด

 

ข้อ 1) ได้เฉลยไปแล้ว ข้อ 2) ไม่ต้องกลัวต่างชาติถอนทุน ยิ่งถอนยิ่งดี นักลงทุนไทย (พวกสภาฯคุณนั่นแหละ) จะได้มีช่องว่างในการลงทุนมากขึ้น (ไม่ต้องไปแข่งกะไอ้พวกนี้) ช่องว่างที่ว่ามาจากไหน ก็จากกำลังซื้อที่มากขึ้นประมาณ 3 เท่านะซี่ ดังนั้นโรงงานใหม่ๆ จะผุดขึ้นมาทำกำไรได้อีกมาก  ข้อ 3)  อนุโลมใช้คำตอบตามข้อ 2)

 

ไอ้ฝรั่งพวกนี้มันไม่โง่หรอก การขึ้นค่าแรงจาก 200 เป็น 1000 ผมว่าต่างชาติจะมาลงทุนมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เพราะพวกนี้มันไม่โง่คิดชั้นเดียวเหมือนสภาอุตฯไทยหรอก ไม่เช่นนั้นญี่ปุ่นมันจะไปลงทุนในสหรัฐฯมากมหาศาลที่สุดในโลกหรือ ทั้งที่ค่าแรงวันละ 5000 บาท ค่าสวัสดิการอีก 20%

 

โรงงานไทยที่จะกระทบมากที่สุดคือ โรงงานสัญชาติไทยจริงๆ (ที่ไม่ใช่นอมินีให้ต่างชาติ) ที่ผลิตสินค้าส่งออกนอกเป็นหลักหรือทั้งหมด อีกทั้งเป็นโรงงานที่ใช้แรงงานมาก (labor intensive) ซึ่งรัฐบาลต้องช่วยเหลือ เช่น สินค้าหัตถกรรมส่งออก ดอกไม้ประดิษฐ์

 

ที่เดือดร้อนคือสินค้าส่งออกจะมีราคาแพงขึ้น อาจทำให้แข่งขันสู้คู่แข่งจากประเทศอื่นไม่ได้ แต่เนื่องจากโรงงานเหล่านี้มียอดขายน้อยมากเมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศ อีกทั้งรัฐเก็บภาษีได้มากกว่าเดิม 5 เท่า ก็เอาเงินมาเยียวยาจุดนี้ได้สบายมาก

 …ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔)



Main: 0.19096517562866 sec
Sidebar: 0.010916948318481 sec