รักชาติ…ตกยุคและล้าสมัย (ตอนที่ ๑)
อ่าน: 1699รักชาติ…ตกยุคและล้าสมัย (ตอนที่ ๑)
วันนี้ ๖ กพ. ๒๕๕๔ ไทยยิงกับเขมรริมชายแดน สืบเนื่องมาแต่การจับกุมนายวีระ และนางสาวราตรี ที่เขมรอ้างว่าบุกรุกเข้าไปในดินแดน จนศาลเขมรพิพากษาเร่งด่วน รุกรน ปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ให้ติดคุกหลายปีโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งนับว่าเป็นการเย้ยหยันศักดิ์ศรีของประเทศไทยมาก (อย่างน้อยก็ในมุมมองของคนที่ “รักชาติ”)
วันนี้ประเทศไทยเรามีนักวิชาการ “กรรมมารอ” และ คอลัมน์(สมอง)นิด จำนวนหนึ่งออกมาตะโกนโหวกเหวก ทำเป็นหรั่งจ๋า หัวทันสมัยว่า เรื่อง”ความรักชาติ”นั้นมันตกยุค ล้าสมัยไปแล้ว ..มันต้องแบบพวกเราสิ ที่หัวก้าวหน้าล้ำยุคนำสมัยเสียเหลือเกิน ..ที่ไร้พรมแดน (โดยหาสำเหนียกไม่ว่าพรมแดนกับเขตแดนมันคนละเรื่องกัน)
ไอ้พวกนี้ (ขออภัยที่หยาบคาย ขึ้นไอ้ขึ้นอี เพราะมันยั้งไม่อยู่จริงๆ) มันก็เป็นพวกทาสความคิดฝรั่ง ดูดอมขี้ปากฝรั่งมาพ่น ทำเป็นเสรีนิยมเก่งก๋าเสียเหลือเกิน โดยไม่สำเหนียกเท่าทันอะไรเลยว่าแนวคิดนี้ฝรั่งมัน “วางยา” เรามาตั้งแต่เลิกยุคอาณานิคมมาสู่ยุคนายทุน
ก่อนหน้านี้ฝรั่งไม่กี่ประเทศมากดขี่ยีย่ำพวกเราหมดทั้งเอเชีย อัฟริกา เมกาใต้ ตะวันออกกลาง จนพวกเราต้องยกเรื่องรักชาติมาเป็นพลังในการปลดแอกจากการเป็นขี้ข้าของพวกมัน รบกันตายไปหลายล้าน (ฝรั่งตายหนึ่งพวกเราตายพัน) และยังรบกันเป็นผลพวงมาจนบัดนี้โดยเฉพาะในอัฟริกา ตะวันออกกลาง และ พม่า ..รวมถึงไทยเขมรด้วย …เรารบกันแต่พวกมันอมยิ้ม ขายอาวุธให้เรามาฆ่ากันเองจนร่ำรวยผิดปกติ
ลองคิดดู..เราเคยอยู่กันสุขพอสมควรมานานหลายร้อยปี แต่ผลพวงจากยุคอาณานิคมของฝรั่ง ที่มาแบ่งพวกเราเป็นประเทศจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จนต้องมารับกันจนทุกวันนี้ สุดท้ายไม่รับผิด แต่กลับมาสอนให้พวกเราไม่รักชาติในวันนี้เสียอีก หาว่าตกยุคแล้ว..ไอ้พวกด๊อกแด๊กหมาหัวนอกก็ขานรับกันเป็นแถวอีกต่างหาก ผมว่ามันสะถุนจริงๆ
พอฝรั่งมันแพ้จากยุคอาณานิคมด้วยเพราะพลังรักชาติของพวกเรา มันก็ยังไม่สำนึกผิด เห็นบาปเห็นบุญ ก็ยังโลภไม่หยุดเหมือนเดิม เพราะมันเห็นว่าพลังรักชาติเป็นภัยต่อเงินในกระเป๋าของพวกมัน มันก็ปลุกระดม สร้างวาทกรรมใหม่ ผ่านมายังพวกด๊อกบ้าโง่ และ พวกคอลัมน์ขะหมองนิดทั้งหลาย ที่เป็นลูกกะโล่ของพวกมันว่า เรื่องรักชาติมันตกยุคแล้ว ต้องโลกาภิวัฒน์สิ ถึงจะโก้ ไอ้พวกด๊อกบ้าโง่ก็ก้มกราบวาทกรรมกันใหญ่ ถึงกับหลายมหาลัยตั้งเป็นวิชาสอนในหลักสูตรไปแล้ว (รวมทั้งมหาลัยผมด้วย) เพื่อบังคับให้ลูกหลานของพวกเราต้องก้มกรานต่อวาทกรรมนี้ไปอีกนาน ..จนกว่าจะสิ้นชาติเป็นทาสพวกมันหมด (โหย..ก็ด๊อกจบนอกมาสอนเอง พวกเอ็งผู้แสนโง่ลูกชาวนาเสื้อแดง จะไม่เชื่อกระนั้นหรือ)
สมัยยุคอาณานิคม ไอ้พวกนี้ได้แต่โกงอาทรัพยากรธรรมชาติเราไปป้อนเมืองพ่อมัน แต่สมัยนี้เลวยิ่งกว่า เพราะมันเอาทั้งทรัพยากรเราไปแปรรูป แล้วยังเอากลับมาส่งขายให้เราอีกด้วย มันเลยได้สองต่อบนความโง่ของเราในสมัยนี้ยิ่งกว่าในสมัยโน้นเสียอีก พอเรารู้ทัน มันก็สั่งบ๋อยระดับ ศาสตราจารย์ ที่จบด๊อกเตอร์มาจากเมืองของพวกมันให้ด่าพวกเราว่า งี่เง่า เป็นพวก ”รักชาติ ตกยุค” ที่น่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน
ผมขอถามว่าถ้าคุณไม่รักแม้แต่ชาติของคุณเอง แล้วคุณจะไปรัก “มนุษยชาติ” ..หรือหะมาที่ไหนได้หรือ
พระพุทธเจ้าท่านฉลาดที่สุด ดังนั้นไม่เคยเลยที่ท่านจะสอนให้เสียสละ ให้ทำงานอุทิศตนเพื่อคนอื่น จนลืมตนเอง
ทุกครั้งที่ท่านสอน ลองไปสังเกตกันดู ท่านสอนว่าการทำอะไรก็ตาม ที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน (ซึ่งประเด็นนี้ผมไม่เคยได้ยินพระไทยท่านใดสอนมาก่อน…แม้แต่ท่านพุทธทาสภิกขุที่ผมเคารพสูงสุดกว่าพระใดในโลกก็ตาม)
การจะทำอะไรให้ได้ประโยชน์ตนนั้น ก็คือ การรักตน รักครอบครัว สังคม และชาติ เป็นสิ่งแรกก่อนอื่นนั่นเอง ส่วนประโยชน์ท่านนั้นมาทีหลัง เพราะเป็นเรื่องไกลตัว อนุโลมว่าก็คือ ต่างชาตินั่นเอง ดังนั้นใครที่เห็นว่าการรักชาติเป็นการตกยุคนั้น ผมเห็นว่าเป็นคนที่โง่ที่สุด ไม่คู่ควรต่อการเกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนเอาเสียเลย เท่ากับว่าเกิดมา “เสียชาติเกิด”
ถ้าพระนเรศวร พระเจ้าตาก ไม่รักชาติ ปล่อยให้ไทยเป็นเมืองขึ้นพม่าเรื่อยมา ผมถามว่าวันนี้พวกแกจะได้ภาษีไทยไปเรียนเมืองนอกจบมาเป้นด๊อก เป็น ผศ. รศ. ศาสตราจารย์ จนมามีโอกาสใส่สูตพ่นน้ำลายด่าคนรักชาติอยู่ในห้องแอร์จนทุกวันนี้ไหม รวมทั้งไอ้พวกคอลัมน์สมองนิดทั้งหลายด้วย
(ขออภัย..วันนี้วิญญาณไพร่แห่งยุคพระเจ้าอู่ทอง ออกอาการมากสักหน่อย คงเพราะอ่าน”โองการแช่งน้ำ”มาหยกๆ )
…สองชาติ ใจเต็ม ( ๖ กพ. พศ. ๒๕๕๔)