รักชาติ…ตกยุคและล้าสมัย (ตอนที่ ๑)

4 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 February 2011 เวลา 5:12 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1699

รักชาติ…ตกยุคและล้าสมัย (ตอนที่ ๑)

 

วันนี้ ๖ กพ. ๒๕๕๔ ไทยยิงกับเขมรริมชายแดน สืบเนื่องมาแต่การจับกุมนายวีระ และนางสาวราตรี  ที่เขมรอ้างว่าบุกรุกเข้าไปในดินแดน จนศาลเขมรพิพากษาเร่งด่วน รุกรน ปราศจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ให้ติดคุกหลายปีโดยไม่รอลงอาญา ซึ่งนับว่าเป็นการเย้ยหยันศักดิ์ศรีของประเทศไทยมาก (อย่างน้อยก็ในมุมมองของคนที่ “รักชาติ”)

 

วันนี้ประเทศไทยเรามีนักวิชาการ “กรรมมารอ”  และ คอลัมน์(สมอง)นิด จำนวนหนึ่งออกมาตะโกนโหวกเหวก ทำเป็นหรั่งจ๋า หัวทันสมัยว่า เรื่อง”ความรักชาติ”นั้นมันตกยุค ล้าสมัยไปแล้ว ..มันต้องแบบพวกเราสิ ที่หัวก้าวหน้าล้ำยุคนำสมัยเสียเหลือเกิน ..ที่ไร้พรมแดน (โดยหาสำเหนียกไม่ว่าพรมแดนกับเขตแดนมันคนละเรื่องกัน)

 

ไอ้พวกนี้ (ขออภัยที่หยาบคาย ขึ้นไอ้ขึ้นอี เพราะมันยั้งไม่อยู่จริงๆ) มันก็เป็นพวกทาสความคิดฝรั่ง ดูดอมขี้ปากฝรั่งมาพ่น ทำเป็นเสรีนิยมเก่งก๋าเสียเหลือเกิน โดยไม่สำเหนียกเท่าทันอะไรเลยว่าแนวคิดนี้ฝรั่งมัน “วางยา” เรามาตั้งแต่เลิกยุคอาณานิคมมาสู่ยุคนายทุน

 

ก่อนหน้านี้ฝรั่งไม่กี่ประเทศมากดขี่ยีย่ำพวกเราหมดทั้งเอเชีย อัฟริกา เมกาใต้ ตะวันออกกลาง  จนพวกเราต้องยกเรื่องรักชาติมาเป็นพลังในการปลดแอกจากการเป็นขี้ข้าของพวกมัน  รบกันตายไปหลายล้าน (ฝรั่งตายหนึ่งพวกเราตายพัน)  และยังรบกันเป็นผลพวงมาจนบัดนี้โดยเฉพาะในอัฟริกา ตะวันออกกลาง และ พม่า ..รวมถึงไทยเขมรด้วย  …เรารบกันแต่พวกมันอมยิ้ม  ขายอาวุธให้เรามาฆ่ากันเองจนร่ำรวยผิดปกติ

 

ลองคิดดู..เราเคยอยู่กันสุขพอสมควรมานานหลายร้อยปี แต่ผลพวงจากยุคอาณานิคมของฝรั่ง ที่มาแบ่งพวกเราเป็นประเทศจนแตกเป็นเสี่ยงๆ จนต้องมารับกันจนทุกวันนี้ สุดท้ายไม่รับผิด แต่กลับมาสอนให้พวกเราไม่รักชาติในวันนี้เสียอีก หาว่าตกยุคแล้ว..ไอ้พวกด๊อกแด๊กหมาหัวนอกก็ขานรับกันเป็นแถวอีกต่างหาก ผมว่ามันสะถุนจริงๆ

 

พอฝรั่งมันแพ้จากยุคอาณานิคมด้วยเพราะพลังรักชาติของพวกเรา มันก็ยังไม่สำนึกผิด เห็นบาปเห็นบุญ  ก็ยังโลภไม่หยุดเหมือนเดิม   เพราะมันเห็นว่าพลังรักชาติเป็นภัยต่อเงินในกระเป๋าของพวกมัน  มันก็ปลุกระดม สร้างวาทกรรมใหม่  ผ่านมายังพวกด๊อกบ้าโง่ และ พวกคอลัมน์ขะหมองนิดทั้งหลาย ที่เป็นลูกกะโล่ของพวกมันว่า  เรื่องรักชาติมันตกยุคแล้ว ต้องโลกาภิวัฒน์สิ ถึงจะโก้  ไอ้พวกด๊อกบ้าโง่ก็ก้มกราบวาทกรรมกันใหญ่ ถึงกับหลายมหาลัยตั้งเป็นวิชาสอนในหลักสูตรไปแล้ว (รวมทั้งมหาลัยผมด้วย) เพื่อบังคับให้ลูกหลานของพวกเราต้องก้มกรานต่อวาทกรรมนี้ไปอีกนาน ..จนกว่าจะสิ้นชาติเป็นทาสพวกมันหมด (โหย..ก็ด๊อกจบนอกมาสอนเอง พวกเอ็งผู้แสนโง่ลูกชาวนาเสื้อแดง จะไม่เชื่อกระนั้นหรือ)

 

สมัยยุคอาณานิคม ไอ้พวกนี้ได้แต่โกงอาทรัพยากรธรรมชาติเราไปป้อนเมืองพ่อมัน แต่สมัยนี้เลวยิ่งกว่า เพราะมันเอาทั้งทรัพยากรเราไปแปรรูป แล้วยังเอากลับมาส่งขายให้เราอีกด้วย มันเลยได้สองต่อบนความโง่ของเราในสมัยนี้ยิ่งกว่าในสมัยโน้นเสียอีก   พอเรารู้ทัน มันก็สั่งบ๋อยระดับ ศาสตราจารย์ ที่จบด๊อกเตอร์มาจากเมืองของพวกมันให้ด่าพวกเราว่า งี่เง่า เป็นพวก  ”รักชาติ ตกยุค”   ที่น่าขยะแขยงเสียเหลือเกิน

 

ผมขอถามว่าถ้าคุณไม่รักแม้แต่ชาติของคุณเอง แล้วคุณจะไปรัก “มนุษยชาติ” ..หรือหะมาที่ไหนได้หรือ

 

พระพุทธเจ้าท่านฉลาดที่สุด ดังนั้นไม่เคยเลยที่ท่านจะสอนให้เสียสละ ให้ทำงานอุทิศตนเพื่อคนอื่น จนลืมตนเอง 

 

ทุกครั้งที่ท่านสอน ลองไปสังเกตกันดู ท่านสอนว่าการทำอะไรก็ตาม ที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน  (ซึ่งประเด็นนี้ผมไม่เคยได้ยินพระไทยท่านใดสอนมาก่อน…แม้แต่ท่านพุทธทาสภิกขุที่ผมเคารพสูงสุดกว่าพระใดในโลกก็ตาม)

 

การจะทำอะไรให้ได้ประโยชน์ตนนั้น ก็คือ การรักตน รักครอบครัว สังคม และชาติ เป็นสิ่งแรกก่อนอื่นนั่นเอง  ส่วนประโยชน์ท่านนั้นมาทีหลัง เพราะเป็นเรื่องไกลตัว อนุโลมว่าก็คือ ต่างชาตินั่นเอง  ดังนั้นใครที่เห็นว่าการรักชาติเป็นการตกยุคนั้น ผมเห็นว่าเป็นคนที่โง่ที่สุด ไม่คู่ควรต่อการเกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนเอาเสียเลย  เท่ากับว่าเกิดมา “เสียชาติเกิด”

 

ถ้าพระนเรศวร พระเจ้าตาก ไม่รักชาติ ปล่อยให้ไทยเป็นเมืองขึ้นพม่าเรื่อยมา ผมถามว่าวันนี้พวกแกจะได้ภาษีไทยไปเรียนเมืองนอกจบมาเป้นด๊อก เป็น ผศ. รศ. ศาสตราจารย์ จนมามีโอกาสใส่สูตพ่นน้ำลายด่าคนรักชาติอยู่ในห้องแอร์จนทุกวันนี้ไหม รวมทั้งไอ้พวกคอลัมน์สมองนิดทั้งหลายด้วย

 

(ขออภัย..วันนี้วิญญาณไพร่แห่งยุคพระเจ้าอู่ทอง ออกอาการมากสักหน่อย คงเพราะอ่าน”โองการแช่งน้ำ”มาหยกๆ )

 

…สองชาติ ใจเต็ม ( ๖ กพ. พศ. ๒๕๕๔)


ขอม สยาม เขมร: ทฤษฎีใหม่ (ตอนที่ ๔)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 February 2011 เวลา 2:34 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2191

อล. บทความนี้ผมตั้งใจว่าจะเอาลง ผจก. ออนไลน์ ตามคิวที่ได้รับในวันจัทร์ที่ ๑๔ เลยเอามาโพสต์ไว้ให้ยิงกันเล่น เป็นอาหารว่างครับ..ทวิช

 

ขอม สยาม เขมร: ทฤษฎีใหม่ (ตอนที่ ๔)

 

เพิ่งได้รับทราบว่าที่  ”สยามมิวเซียม” มีข้อมูลทฤษฎีพระเจ้าอู่ทองหลากหลาย หนึ่งในทฤษฎีนั้นระบุว่า พระเจ้าอู่ทอง “เป็นกษัตริย์มาจากเขมร “ อ้าว…แบบนี้ผมไม่หัวเดียวกระเทียมลีบอีกต่อไปแล้วสิ

 

Charles Higham นักโบราณคดีชื่อก้อง เขียนหนังสือ  ”Civilization of Angkor”  ได้ยกอ้างบันทึกของนักสำรวจชาวปอร์ตุเกสที่เดินทางไปสำรวจนครวัดในปี คศ. 1601 (ซึ่งขณะนั้นนครวัดเป็นเมืองร้าง เต็มไปด้วยป่าปกคลุม)  สรุปสาระสำคัญได้ว่า   1) คนพื้นเมือง (ซึ่งคงยังมีหลงเหลืออยู่บ้างรอบๆนครวัด) ให้การว่านครวัดนี้สร้างโดย “คนต่างชาติ”  2) นักสำรวจปอร์ตุเกสมีความเห็นว่า กษัตริย์ผู้สร้างสยาม (ศรีอยุธยา) ไปจากนครวัด

หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งถือเป็นพงศาวดารสำคัญของล้านนาบันทึกไว้ว่า  “…ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาทเกิดทุพภิกภัย พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จมาจากแคว้นกัมโพช ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้….”

 

พระเจ้ารามาธิบดี ก็คือพระเจ้าอู่ทอง นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ตีความกันว่า กัมโพช เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของ ลพบุรี  แต่ผมขอแย้งว่าไม่ใช่ โดยผมเห็นว่ากัมโพช หมายถึงอาณาจักรกัมพูชาโบราณเสียมากกว่า (ซึ่งไม่ใช่เขมรในวันนี้หรอกนะ) 

 

มันคงยากที่ลพบุรี..ซึ่งมีตัวตนเป็นที่รู้จักไปทั่วสารทิศว่า ลวปุระ (และ ละโว้ด้วย) มานาน 500 ปี..จู่ๆจะไปใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า  “กัมโพช”  ซึ่งเป็นชื่อที่นครวัดก็ได้ใช้มาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปนานกว่าสามร้อยปีอีกแล้วด้วย จู่ๆเมืองสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่จะไปใช้ชื่อเหมือนกัน เช่น ลอนดอน จะไปใช้ชื่อว่า ปารีส  อีกชื่อหนึ่งด้วย..มันจะเป็นไปได้หรือ  อีกทั้งชินกาลฯนั้นเวลาเอ่ยถึงลพบุรีและอยุธยาจะเรียกว่า “เมือง”ลวปุระ และ เมืองอโยชชปุระ แต่พอเอ่ยถึงกัมโพชเรียกว่า “แคว้น”กัมโพช ซึ่งคำว่า”แคว้น”ในสมัยโน้นหมายถึง “ประเทศ” ในสมัยนี้

 

การที่ชินกาลฯใช้ภาษาเช่นนี้ เป็นเพราะเกิดจากความเข้าใจของกษัตริย์ล้านนาว่า…พระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์กัมพูชาที่ย้ายเมืองหลวงจากนครวัด มาอยู่ที่อโยชชปุระ ดังนั้นพระเจ้าอู่ทองจึงคือ “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” ดังเดิม

 

นับเป็นความฉลาดทางการทูตของพระเจ้าอู่ทองที่ทำให้ทั้งลพบุรี หริภุญชัย ล้านนา ยอมรับว่าพระองค์ยังคงเป็น “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” แม้นว่าจริงๆแล้วถูก ทาสแตงหวาน (ตระซ็อกประแอม) ไล่ฆ่าเสียจนเสียมเรียบ จนต้องกระเจิงหนีมาสร้างกรุงศรีอยุธยา

 

มีหลักฐานโดยอ้อมระบุว่าพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่าก็เรียกสยามในสมัยโน้นว่า กัมโพช หลักฐานนี้คือชื่อพระราชวังที่เรียกชื่อว่า “กัมโพชาธานี” ซึ่งมีบันทึกว่าสร้างด้วยแรงงานเชลยศึกจากอยุธยา ผมเลยต่อกระเบื้องแตกว่าคงตั้งชื่อเอาไว้เย้ยหยันแคว้นกัมโพชาที่ไปตีมาเป็นเมืองขึ้นได้นั่นเอง

 

 

การนับเลขในโลกนี้มีระบบฐานสิบสอง (ฝรั่ง)  ฐานสิบ (ไทย) ขอมโบราณออกเสียงหนึ่งถึงสิบว่าอย่างไรคงต้องไปศึกษากันต่อ แต่น่าเชื่อได้ว่าสำเนียงคล้ายๆมอญนี่แหละ เพราะอักษรขอมโบราณนั้นไม่อาจเรียกว่าคล้ายแต่ต้องบอกว่าเหมือนอักษรมอญโบราณทีเดียวแหละ และจารึกอักษรมอญโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็เจอในประเทศไทยนี่แหละ เก่ากว่าภาษาขอมโบราณเสียอีก  ผมไปสืบมาพบว่าภาษามอญออกเสียงนับเลขเป็นระบบฐานสิบ (ดังนั้นขอมก็คงฐานสิบด้วย) ส่วนเขมรตั้งแต่สมัย ๘๐๐ ปีก่อนจนถึงวันนี้ใช้ระบบฐานห้ามาตลอด เรื่องนี้เป็นหลักฐานสำคัญสุดว่าเขมรไม่ใช่ขอม

 

บทก่อนเมื่อตอนที่ ๓ มีคนด่าผมไว้ท้ายบทความว่าแปลภาษาอังกฤษแบบมั่วๆ..หนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่แปลบันทึกโจวตากวนโดยตรงจากภาษาจีน (A RECORD OF CAMBODIA  โดย Peter Harris) คือ:- None of the locals produced silk. Nor do the women know how to stitch and darn with a needle  and thread. ผมแปลว่า “ชาวบ้านไม่รู้จักใช้เข็มในการเย็บและชุนผ้า “  แต่เขาด่าผมว่าควรแปลว่า..ชาวบ้านเขมรใช้เข็มและด้ายไม่ค่อยชำนาญ (ท่านคงเกรงใจเขมร กลัวเขมรจะโกรธแล้วบุกเอาเข็มมาทิ่มให้”เสียมเรียบ”ครั้งที่สองกระมัง จึงไม่กล้าแปลตรงๆและถูกต้องแบบผม )

 

ผมกำลังเสนอทฤษฎีใหม่ที่ต่างไปจากทฤษฎีเก่า  ถ้าใครจะเถียงโต้กับผมกรุณาอย่าหน่อมแน้มอ้างทฤษฎีเก่ามาเป็นหลักฐานว่าผมผิดสิครับ ซึ่งทฤษฎีพวกนี้มีรากเหง้ามาจาก จอร์จ เซเดย์ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคนฝรั่งเศส ที่ทำงานรับใช้เจ้าอาณานิคม เพื่อหวังฮุบเอาดินแดนเขมรไปจากเรา เขาก็สร้างนิยายว่าเขมรเป็นลูกหลานวรมัน ทั้งที่พงศาวดารดั้งเดิมเขมรฉบับแรกระบุด้วยความภาคภูมิใจว่าบรรพบุรุษเขาคือนายแตงหวานที่ฆ่าวรมันตายเรียบ (เสียมเรียบ) ต่างหาก  

 

ส่วน “สยาม” นั้นเซเดย์ ยัดเยียดทฤษฎีใหม่ให้ว่าถอยร่นหนีการบุกของกุบไลข่านลงมาจาก”น่านเจ้า”โน่น  ไม่ได้อยู่ตรงนี้มาแต่แรก แล้วเราก็กราบทฤษฎีฝรั่งว่าแสนศักดิ์สิทธิ์ คนไทยด้วยกันมาเสนอทฤษฎีใหม่อย่างมีหลักฐานและเหตุผล พวกเขากลับหาว่าบ้าบอ โง่เขลา กระทั่งคลั่งชาติไปโน่น

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๖ กพ. พ.ศ. ๒๕๕๔)


พระเจ้าอู่ทอง (อู๋ตงฮ่องเต้)

8 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 February 2011 เวลา 5:30 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2921

พระเจ้าอู่ทอง (อู๋ตงฮ่องเต้)

 

ทฤษฎีที่ว่าพระเจ้าอู่ทองนำผู้คนอพยพมาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรี แล้วมาสร้างกรุงศรีอยุธยานั้น  (ทฤษฎีนี้สันนิษฐานโดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) บัดนี้นักโบราณคดีได้พิสูจน์แล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเมืองอู่ทองได้ถูกปล่อยทิ้งร้างก่อนหน้านี้สองร้อยปีแล้ว

 

พงศาวดารฉบันวันวลิต (พ่อค้าชาวฮอลันดา) ระบุว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นเศรษฐีเชื้อสายจีนมาจากเมืองเพชรบุรี

 

พงศาวดารมาลายูระบุว่าเป็นสุลต่านมุสลิม และพระศพยังฝังอยู่ที่เมืองกลันตันจนบัดนี้ เรื่องนี้สอดคล้องกับหลักฐานที่ว่ากรุงศรีอยุธยาในยุคแรกๆ มีมัสยิดมากทีเดียว

 

บ้างก็ว่ามาจากเชียงแสนเป็นลูกขุนบรม แต่บ้างก็ว่ามาจากสุโขทัย เป็นลูกพระราเมศวร

 

ท่าน admin ลานปัญญา ไปพบที่สยามมิวเซียมว่ามีอีกสามทฤษฎีคือ  เป็นพระราชบุตรของพระเจ้ากรุงจีน เป็นลูกของท้าวแสนปม และ เป็นกษัตริย์เขมร  …ซึ่งอันสุดท้ายนี้แปลกมาก เพราะมาตรงกับทฤษฎีที่ผมเสนอโดยมิได้นัดหมาย

 

ส่วนข้าพเจ้าเสนอว่าอพยพหนีตายมาจาก “นครวัด” เพราะถูกพวกทาสล้มบัลลังก์  ดังตรรกะ หลักฐานต่างๆที่ข้าพเจ้าได้เขียนเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

 

แต่เมื่อมาลองคิดทวนดูแล้ว ทฤษฎีทั้งหลายแหล่นี้อาจเป็นจริงพร้อมกันได้ทั้งหมดเลยก็เป็นได้

 

เช่น อาจเป็นชาวจีนนักผจญภัย เผชิญโชค และเป็นพ่อค้าไปด้วยในตัว อาจมีชื่อว่า อู๋ตง  (แปลว่าอะไรดี?) ล่องเรือจากเมืองจีนล่องแม่โขงมาเชียงแสน จากนั้นล่องออกแม่น้ำโขงมาเที่ยวนครวัดอยู่พักหนึ่ง แล้วไปมาลายู ไปแต่งงานกับบุหงาตันหยง เลยต้องเปลี่ยนไปนับถืออิสลามตามประเพณี จากนั้นลุยมาถึงเพชรบุรีค้าขายจนร่ำรวย แต่ยังไม่หายสนุกก็เลยขยายกิจการไปยังนครวัด เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่โตมาก คงค้าขายสนุก ก็ค้าขายจนรวยร่ำไปอีก

 

พอพวกทาสกบฏ พวกวรมันก็ถูกฆ่าตายหมดแล้ว พวกขอมสยามขาดผู้นำก็เลยยกอู๋ตงให้เป็นหัวหน้าพาหนีมาพึ่งลพบุรี แล้วมาสร้างกรุงศรีในที่สุด อู๋ตง ในลิ้นคนไทยก็เปลี่ยนมาเป็นอู่ทอง

 

ส่วนเมืองเขมรที่ไปรบชนะแล้วเปลี่ยนชื่อเสีย ก็คือ อู๋ตงมีชัย ในวันนี้เรียกว่า อุดงมีชัย   (อุดงเมียนเชย) ก็ถือว่าไม่เพี้ยนนัก

 

เมื่อมาสร้างอยุธยา ประดามเหสีและญาติๆทั้งหลายคงมีเชื้อสายมุสลิมจากกลันตันอยู่มาก ก็เลยต้องสร้างมัสยิดให้ประดาคนพวกนี้  พอสวรรคตบรรดามเหสีอาจนำศพกลับไปฝังที่บ้านเกิดของพวกเธอ แถวกลันตันนั่นเอง

 

เอ้า..โยงไปเชื่อมกับรัฐปัตตานียังได้เลย จะได้เลิกทะเลาะกันเสียที หันมาพึ่งพระบารมีของพระเจ้าอู่ทองกันดีกว่า

 

(แหม..ใครจะเอาพลอตนี้ไปสร้างหนัง คงได้หนังฟอร์มโต สนุกสนานโลดโผนพิลึกเลยแหละ)

 

..ทวิช


ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๖)…ยุคพระนารายณ์

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 3 February 2011 เวลา 4:58 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1977

ทำไมฝรั่งเจริญกว่าไทย (๖)…ยุคพระนารายณ์

 

กันยายน ๒๕๕๓

ในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยานั้น ข้าพเจ้าได้วิเคราะห์ไว้แต่เมื่อกว่า ๑๕ ปีผ่านมาแล้วว่า  สยำประเทศมิได้ด้อยไปกว่ายุโรปเลย ชาวยุโรปที่เดินเรือเข้ามาอยุธยาในครั้งนั้นต่างบันทึกไว้ว่า ประทับใจเหลือล้นกับความอลังการ์ของอยุธยา ที่เหมือนดังเมืองในเทพนิยาย

 

ความอลังการ์ของอยุธยาตอนนั้นคือวัดนั่นเอง ที่เป็นศูนย์รวมของเทคโนโลยีและศิลปะทั้งปวงแห่งชนชาวสยำ

 

 การสร้างโบสถ์และเจดีย์อันสูงล้ำ การหล่อพระพุทธรูป นั้นคือเทคโนโลยีอันสูงส่ง ส่วนการตบแต่ง การออกแบบอันอ่อนช้อยบ่งบอกถึงความสูงส่งด้านศิลปะ เรียกได้ว่าอยุธยาสมัยนั้นสูงส่งทั้งด้านศาสตร์และศิลปะ ไม่ด้อยไปกว่ายุโรปเลย

 

เทคโนโลยีสูงสุดในยุคนั้นมีสามอย่าง คือการต่อเรือ การเดินเรือ และการหล่อปืนใหญ่ ใครมีสามสิ่งนี้ก็คือผู้ที่สามารถครองโลกได้ ดังที่ปอร์ตุเกส และ วิลันดา ก็กำลังแข่งกันทำอยู่ในขณะนั้น  อุปมาดั่งเทคโนโลยีอวกาศในสมัยนี้นั่นเอง

 

อยุธยามีเทคโนโลยีทั้งสามอย่างพร้อมมูล เพราะพงศาวดารระบุว่า มีการต่อเรือใหญ่ขนาดที่สามารถบรรทุกช้างได้ถึง ๕๐ เชือก (ลองคิดดูว่าใหญ่ขนาดไหน) แล้วถามต่อไปว่าจะบรรทุกช้างไปไหน ก็ตอบได้เป็นสองทางว่า บรรทุกเอาไปทำสงคราม หรือไม่ก็เอาไปขาย

 

ถ้าเอาไปทำสงคราม เห็นว่าคงไม่สมเหตุผลนัก เพราะช้างมันเดินไปได้อยู่แล้ว แถมยังบรรทุกปืน ดินปืนไปทำสงครามได้อีก จะต้องสร้างเรือมาขนให้เมื่อยเปล่าทำไม   แต่กรณีเอาไปขายนี้ฟังขึ้นมากเสียกว่า คะเนว่าคงไม่เอาไปขายพม่าหรือจีนเป็นแน่ แต่คงเอาไปขายให้พวกฝรั่งวิลันดาที่กำลังปกครองชวาอยู่เสียมากกว่า เพื่อเอาช้างที่ฝึกดีแล้วไปชักลากไม้ออกจากป่า เพื่อทำการค้าไม้นั่นเอง  (การฝึกช้างให้เชื่อง ถือเป็นเทคโนฯล้ำยุค ที่ฝรั่งก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป)

 

..การต่อเรือใหญ่ปานนั้น  แสดงว่าก็ต้องมีเทคโนฯการเดินเรือไปค้าขายยังเกาะชวาอีกด้วย อันว่าการต่อเรือและเดินเรือทางไกลนี้อย่างน้อยก็มีมาแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรแล้ว ดังที่พงศาวดารระบุว่าทรงยกทัพเรือไปตีหงสาวดี

 

ส่วนการปืนนั้นก็มีระบุว่าสมเด็จพระนเรศวร ทรงพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง (สาละวิน ?) แสดงว่าการปืนของสยำนั้นมีมานานแล้ว ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์นั้นได้มีความเจริญด้านการหล่อปืนใหญ่ ถึงขนาดที่ญี่ปุ่นได้มาขอเรียนรู้เทคโนโลยีด้านนี้ โดยแลกกับความรู้ด้านการรบบนหลังม้าอันเก่งกาจของพวกเขา ดังนั้นญี่ปุ่นจึงส่งกองร้อยทหารม้ามาประจำที่กรุงศรีอยุธยา หลักฐานยังมีอยู่จนวันนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเข้ามาท่องเที่ยวกันหนาตาทีเดียว ..เรานิยมโตโยต้า โซนี่ รุ่นใหม่ แต่ญี่ปุ่นนิยมมาดูประวัติศาสตร์รุ่นเก่าแก่สามร้อยปี คิดดูก็แล้วกัน

 

นี่ถ้าสยำมีความทะเยอทะยานอยากเป็นเจ้าโลกกะเขาบ้างในช่วงนั้น ก็มีศักยภาพที่อาจทำได้ทีเดียว อย่างน้อยก็เป็นเจ้าในย่านเอเชียอาคเนย์นี้ อาจเลยไปถึงผนวกเอาญี่ปุ่นด้วยซ้ำ (ก็หล่อปืนใหญ่ยังไม่เป็นเลย)  โดยเฉพาะในช่วงนั้นกษัตริย์ได้มีแนวคิดที่ต่างไปจากเดิมมากทีเดียว กล่าวคือ “วังใหญ่กว่าวัด” เช่น วังพระนารายณ์ที่ลพบุรี ที่ยังคงเห็นได้ในวันนี้นั้น นับว่าใหญ่โตพอควร  เมื่อเทียบกับวังในสมัยก่อนที่มักเล็กกว่าวัดมาก และมักสร้างด้วยไม้อีกต่างหาก ดังเช่น วังจันทรเกษม ที่เป็นบ้านไม้ขนาดย่อมธรรมดาของผู้มีอันจะกินในหัวเมืองทั่วไป ทั้งที่เป็นวังที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยซ้ำ

 

แล้วลองไปมองวังกษัตริย์ฝรั่งบ้าง เช่น บัคกิงแฮม แวร์ซาย ซึ่งอลังการ์มาก ใหญ่กว่าวัดมาก (ซึ่งวัดเองก็ใหญ่มากอยู่แล้วด้วย เพราะสร้างมาจากภาษีบุญ ที่เรียกกันว่า “indulgence”) ยังไม่ต้องเอ่ยถึงปราสาทที่ใหญ่โตลดหลั่นกันลงไปของเหล่าเจ้านายฝรั่งทั้งหลายที่ยังปรากฏให้เห็นมากมายจนถึงวันนี้  จนนักทำสารคดีไทยไปหลงไหลไคล้คลั่งกันหนักหนา จนถ่ายทอดมาให้เราพลอยหลงใหลไปด้วย ทั้งที่สร้างมาจากเลือดและเหงื่อของ รากหญ้า ฝรั่งทั้งสิ้น

 

ถามว่า วังเหล่านี้มีปฐมเหตุมาจากไหน นอกเสียจาก “ความโลภ” ของกษัตริย์และเจ้านายฝรั่งทั้งหลาย ในขณะที่ประชาชนทุกข์ยากแสนเข็ญไปทั่ว ที่ต้องจ่ายภาษีหนักทั้งต่ออาณาจักรและศาสนจักร จนเป็นเหตุให้มีการขัดแย้งจนก่อสงครามไปทุกหย่อมหญ้าเป็นเวลานานนับพันปี

 

ความโลภของฝรั่งในอดีต เป็นเชื้อพันธุ์ให้เป็นความโลภไม่สิ้นสุดมาจนบัดนี้ ( พศ. ๒๕๕๓)  จนนำสู่ยุค โล”ภา”ภิวัฒน์ ที่เราซึ่งเป็นลูกหลานของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่มีวังเป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กๆ ต่างก็กำลังชื่นชอบกันหนักหนา

 

 

…จนหลงใหลได้ปลื้มว่า อัตราการเพิ่มขึ้นของจีดีพีในแต่ละปีคือผลสำเร็จของประเทศสยำ (หรือขยำ) ของเรานี้

 

…ทวิช จ. (๓๐ กันยายน ๒๕๕๓)


นโยบายการศึกษาไทย

3 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 1 February 2011 เวลา 1:34 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1728

นโยบายการศึกษาไทย..ทำไมถึงห่วยแตกมาทุกยุคสมัย (ขออภัยใช้คำหยาบ ..มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ)

 

เมื่อประมาณ พศ. ๒๕๔๓ (หรือสิบปีมาแล้ว ) ผมได้ เขียนบทความวิงวอนให้รัฐบาลไทย ปรับนโยบายการผลิตนศ. คือให้ลดปริญญาตรีลงมา แล้วเพิ่ม ปวช. ปวส. ผมเห็นว่ามันสำคัญมาจึงเอาบทความนี้ผมเอามาพิมพ์ใหม่แจกใหม่หลายรอบ แต่คงไม่มีใครสนใจอ่าน อย่าว่าแต่ทำตาม

 

จนวันนี้ พศ. ๒๕๕๓ รัฐบาลไทย ที่มีองคาพยพยั้วเยี้ย มีคณะกรรมการที่ปรึกษา ที่มีดีกรี ดร. ทางการศึกษาหลายพันคน เพิ่งมารู้กันว่า  ชิกไหเลี้ยว เรามีป.ตรีล้นตลาดไปมาก และขาดแคลน ปวช. ปวส. ไปมาก  (อย่างนี้ยุบ  คกก. ทางการศึกษาบ้าบออะไรเนี่ย เสียให้หมดแล้วเอาสักเสี้ยวเงินเดือนของพวกนี้มาจ้างผมเป็นที่ปรึกษาแทนดีกว่าไหม ??? ประหยัดงบไปได้ปีละหลายร้อยล้าน แล้วยังได้ข้อมูลเร็วกว่ามากอีกด้วย)

 

ก็มันจะไม่ขาดได้ยังไงในเมื่อรัฐบาล (โดยคำแนะนำของคกก. ที่ปรึกษา) มันโง่ขนาดยกระดับ ราชมงคล ราชภัฎ ที่เคยผลิต ปวช. ปวส. ไปเป็นมหาวิทยาลัยกันหมด   (ซึ่งผมค้านหัวชนฝามาคนเดียวตั้งแต่แรก)  จนเดี๋ยวนี้หันไปสร้างหลักสูตรปริญญาโท-เอกกันเกร่อ  ทั้งที่อาจารย์แทบไม่มีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการอะไรเลย

 

ผมเคยเขียนบอกมาแล้วในบทความก่อนๆ ว่าในสรอ. นั้น เลขานุการสำนักงานส่วนใหญ่จบแค่ม.๖ ส่วนของเราจบ ป. ตรีเป็นอย่างต่ำ บางคนจบโทด้วยซ้ำ  แต่ทำงานไม่เป็น สู้ ม ๖ ในสรอ. ก็ไม่ได้  นี่มันปริญญาเฟ้อ ที่มากับค่านิยมงี่เง่า ที่มีสาเหตุมาจากความง่าวของรัฐบาลไทยนั่นเอง ซึ่งยังทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล (เช่นเสียงบการศึกษาโดยไม่จำเป็น สู้เอาไปทำอย่างอื่นจะดีกว่า และเสียแรงงานไปสี่ปีฟรีๆ)

 

หนทางแก้คือ  เสนอให้ปรับสถาบันราชภัฎ ราชมงคล ให้สอนสายวิชาชีพเท่านั้น จะสอนถึงป.เอก ก็ได้แต่ต้องยังคงเป็นสายวิชาชีพ คือเน้นไปทางการปฏิบัติการนั่นเอง  การสอนป.ตรีก็สอนทางปฏิบัติการด้วย แต่เป็นปฏิบัติการขั้นสูงกว่าปวส.  เช่น การควบคุมการผลิตด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

 

อีกหนทางคือ เราต้องเลิกแบ่งสายวิทย์ สายศิลป์ ในมัธยมปลายได้แล้ว แล้วเปลี่ยนมาเป็น “เมเจอร์” แทน เช่น ให้มีเมเจอร์ วิทย์ ศิลป์ เกษตร ธุรกิจ ช่างยนต์ ไฟฟ้า ช่างเชื่อม คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ถ้าทำได้เพียงเท่านี้เราจะมีสายอาชีพเหลือเฟือที่มาจากนักเรียนมัธยมนั่นเอง

 

ทุกวันนี้เราสูญเสียทางการศึกษาไปมาก จากการที่ไปบังคับให้นร.เลือกเพียงสองสายคือ วิทย์ กับ ศิลป์ ทั้งที่จบออกมาเพียง 30  % เข้าเรียนมหาลัย ที่เหลือส่วนใหญ่ก็ไปสายอาชีพ (เช่นลูกจ้างโรงงาน ห้างร้าน) แต่พวกนี้ดันมีแต่ความรู้ด้านวิชาการวิทย์และศิลป์ที่เอาไปใช้งานโดยตรงไม่ได้ มันเลยเป็นการสูญเสียทางการศึกษาดังกล่าว

 

การทำเช่นนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไร ในช่วงแรกๆ การเรียนสายอาชีพอาจเอาไปฝากเรียนกับรร.อาชีวที่มีอยู่แล้ว ส่วนในระยะยาว รร.มัธยมจะต้องสร้าง “ช็อป” สายอาชีพขึ้นมาแล้วมีครูประจำมาสอนด้วย

 

ถ้าเราทำแบบนี้ แล้วเรามีโควตากำหนด มีระบบการแนะแนวที่ดี  เราก็จะมีบุคลากรสายอาชีพทีเพียงพอ  (70% ของ นร.มัธยมทั้งหมด ก็ลองคิดดูว่ามากแค่ไหน)

 

ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องหาทางสร้างค่านิยมในการทำงานสายอาชีพด้วย ให้เป็นแนวทางที่มีรายได้ดี และมีเกียรติด้วย เช่น ในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนนั้นสายอาชีพมี “บันไดอาชีพ” เป็นของตัวเอง คนที่ไต่ไปถึงตำแหน่งสูงๆ ก็อาจมีเงินเดือนและมีเกียรติไม่แพ้ตำแหน่งบริหารมากนัก 

 

เช่น ถ้ามีตำแหน่ง ผอ.หน่วยงาน ก็อาจให้มีตำแน่ง รองผอ.ฝ่ายปฏิบัติการด้วย โดยเอาคนสายอาชีพเข้ามาดำรงตำแหน่ง (ที่อาจจบเพียงปวช. หรือ ปวส. เท่านั้นเอง หรือ ป.ตรี โท เอก สายปฏิบัติการ จากราชภัฎ ราชมงคล)  รองฯนี้จะทำหน้าที่รับนโยบายจากผอ. เพื่อนำสู่การปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเขามาจากสายนั้นเขาย่อมคุยกันกับคนสายปฏิบัติการได้รู้เรื่องมากกว่า เอา คนจบ โท เอก สายวิชาการ นี่เท่ากับว่าได้นกสองตัวโดยกระสุนนัดเดียว

 

ในสายทหารก็เช่นกัน เรามีแต่นายร้อย นายพัน นายพล เดินกันพุงพลุ้ยเต็มไปหมด  ส่วนนายสิบ จ่า แสนต่ำต้อย เกียรติก็ไม่มี เงินก็ไม่พอกิน ต้องไปรับจ้างเฝ้ายามตอนกลางคืน (แล้วก็ไปหลับยามเสียเป็นส่วนใหญ่ ..รวมทั้งในมหาวิทยาลัยของผมด้วย)  ทั้งที่ในเวลารบนั้นพวกนายสิบ และ จ่า นี่แหละ คือกำลังหลักในการควบคุม “สายอาชีพทหาร” ให้ทำงาน (เพราะเขาใกล้ชิดกัน ส่วนนายร้อย นายพันนั้น วันๆ อยู่แต่สนามกอล์ฟ ลูกน้องระดับพลทหารมันไม่ฟังหรอก)  ส่วนของฝรั่งนั้นพวกไม่จบ รร. นายร้อย นายเรือ  แล้วไต่เต้าไปเป็นจ่านายสิบอาวุโสได้  (Sergeant Major)  ก็จะมีเกียรติและมีอำนาจมาก (เท่ากับเป็นรองผอ.หน่วยงานนั่นแหละ)  จนนายพันก็ต้องเกรงใจ จะสั่งงานปฏิบัติการใดก็ต้องสั่งผ่านคนพวกนี้

 

พวกฮินดูเขาเก่ง ที่แบ่ง ชนชั้น เป็นห้าพวก  (ไอเดียดีแต่ปฏิบัติห่วย ไม่มีการเลื่อนชั้นและยึดติดมากเกินไป)  แต่ไทยเราวันนี้ทุกคนอยากเป็นวรรณะพราห์มณ์ เป็นกษัตริย์ กันหมด (อยากจบตรี เพื่อชี้นิ้ว)  แถมรัฐงี่เง่าส่งเสริมอีกต่างหาก   ถ้ามีแต่นายแล้วไม่มีลูกน้องที่ดีมารองรับ มันจะไปรอดหรือ

 

 

แม่ทัพชี้นิ้วทำการรบไม่ได้หรอก ซีอีโอก็เช่นกัน สมองมันต้องดี แต่ลำแข้งแรงขาก็ต้องดีด้วย และต้องมีระบบเส้นเอ็นประสาทที่ดีคอยประสานงานต่อเชื่อมส่วนทั้งสองด้วยนะ

 

…ทวิช จิตรสมบูรณ์ (๕ ธค. ๕๓)



Main: 0.11129212379456 sec
Sidebar: 0.010098934173584 sec