สารพัดไฟที่แยงตา (ขับไปบ่นไป ๗)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 9 January 2012 เวลา 6:37 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1653

สารพัดไฟที่แยงตา (ขับไปบ่นไป ๗)

 

หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ต่างไม่ทำหน้าที่ของตน ปล่อยปละละเลยเรื่องไฟติดรถ และ ไฟริมถนน … ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เรื่องเดียวน่าจะส่งผลถึงร้อยละ 50 ของอุบัติเหตุทั้งหมด  (ผมเคยได้ยินแว่วๆ ว่าการมองไม่เห็น ไม่ชัด เป็นสาเหตุอุบัติเหตุถึง 70% ด้วยซ้ำไป)

 

เรื่องรถไฟตาบอด หรือไฟไม่สว่างพอนั้นไม่ต้องพูดถึง มีมากหลายทั้งรถยนต์ มอไซค์ รถเข็น รถพ่วงข้างมอไซค์  อีแต๋น  ซี่งก่ออบห.ได้มาก แต่รถที่มีไฟที่ติดดี แต่ติดไฟผิด ซึ่งทำให้แยงตารถคันอื่นและก่ออบห. ก็มีมากหลาย

 

ที่เห็นมากที่สุดคือไฟตาหน้ารถสูงเกินไป ทำให้แยงตารถที่สวนมา ซึ่งไฟหน้านี้สูงได้ด้วยสามสาเหตุคือ หนึ่ง รถบรรทุกของหนักด้านท้าย ทำให้ท้ายต่ำหน้าสูง สองไฟหน้ารถไม่ได้รับการปรับแต่งตำแหน่งให้ถูกต้อง  และสามเจ้าของรถจงใจปรับไฟให้สูงขึ้น เพื่อมองเห็นได้ไกลขึ้นโดยไม่สนใจสวัสดิภาพผู้อื่น

 

ผมเคยเอารถไปตรวจ ตรอ. (สถานตรวจรถเอกชน)  เพื่อต่อทะเบียน แล้วผมขอให้เขาช่วยแต่งไฟหน้ารถให้ด้วย เขาบอกผมหน้าตาเฉยว่าตั้นแต่เปิดกิจการมาได้ประมาณสิบปี ผมเป็นคนแรกที่ขอให้ปรับไฟหน้ารถ

 

 แต่เขาก็ยอมรับว่าทางกรมฯเขาก็บัญญัตินะว่าในการตรวจ ตรอ. ให้ตรวจไฟหน้ารถด้วย …ปรากฎว่าร้านนี้ก็มีเครื่องตรวจวัดไฟหน้าว่าสูงไปหรือไม่กะเขาด้วย (คงมีเอาไว้รับการตรวจจากเจ้าพนักงานกรมฯตอนเปิดร้านเท่านั้นเอง จากนั้นไม่ได้ใช้อีกเลย)  แต่พนักงานไม่มีความรู้ในการปรับแต่งไฟ  พวกเขาปล้ำแต่งไฟหน้ารถผมกันอยู่นานประมาณครึ่งชม.ก็ก็ไม่สำเร็จ  (ทั้งที่ควรใช้เวลาประมาณ 5 นาที)  ในที่สุดผมทนรอไม่ไหว ประกอบกับกลัวว่าไฟตาผมมันจะบิดเบี้ยวไปกว่าเดิมมากกว่านั้น  จึงบอกพวกเขาว่าต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยววันหลังไปหาทางปรับแต่งเอาเองก็ได้  (ซึ่งผมว่าผมแต่งเองได้ไม่ยากนักหรอก แต่ต้องการถนนจริงที่ว่างๆ ในเวลามืดๆ)  

 

ที่ usa รถต่อทะเบียนแม้เป็นรถใหม่ก็ต้องวัดไฟหน้าเสมอ เพราะของพวกนี้มันคลาดเคลื่อนได้ตามอายุกาการใช้งาน  ไฟหน้าที่สูงแยงตาผู้อื่นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะทำให้ตาพร่าและลดวิสัยทัศน์ในการขับขี่

 

ไฟแยงตาที่หนักหนามากอีกอย่างคือ ไฟตัดหมอก ซึ่งส่วนใหญ่ 99.9% ประเทศไทยเราไม่มีหมอก ถึงมีบ้างก็หมอกบางๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟตัดหมอกแต่ประการใด แต่นั่นแหละคนไทยเรามักเป็นนักบริโภคที่โง่และบ้าเห่อเสมอ..เห็นเขามีเราต้องมีกะเขาบ้าง ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนดูถูกหรือไม่ได้รับคำชม  และพอติดแล้วก็ต้องเปิดไฟตัดหมอกให้เขารู้ด้วยว่า “กรูก็คนมีสตังค์พอจะซื้อไฟตัดหมอกเหมือนกะมรึงเหมือนกันนะโฟ้ย”  (ผมเห็นที่ไรอดภาวนาในใจไม่ได้ว่า ขอให้ไอ้พวกนี้มันมองไม่เห็นซึ่งกันและกันและชนกันให้ตายหมดประเทศคงจะดี อิอิ)

 

ไฟตัดหมอกนั้นวิศวกรเขาออกแบบไว้ให้ใช้ส่องในระยะใกล้กับหน้ารถมาก และใช้เมื่อขับรถช้ามากยามหมอกลงจัด หรือ มีหิมะตกหนัก พอเปิดไฟนี้แสงมันจะได้ไม่สะท้อนมาเข้าตาเรา อีกทั้งช่วยให้พอมองเห็นระยะใกล้ อีกทั้งให้รถที่สวนมามองเห็นเราและกะระยะเราได้ถูกเนื่องจากแสงไฟมันจะกระจายไปรอบทิศ โดยไม่มีการหักเหสะท้อนกลับเข้าแยงตาตนเองแบบแสงของไฟตารถธรรมดา

 

แต่การเปิดไฟตัดหมอกในขณะที่ไม่มีหมอกนั้นแทนที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยกลับกลายเป็นการช่วยเพิ่มอุบัติเหตุเพราะมันไปแยงตารถที่สวนมานั่นเอง รวมทั้งส่งผลให้เจ้าคนขับรถเองก็มองเห็นถนนได้น้อยลงด้วยเพราะมันเกิดการสะท้อนแสงจากถนนระยะใกล้มาเข้าตาเจ้าของเสียเอง…นี่มันโง่ยกกำลังสองเลย..เอ้ายกกำลังสามก็ได้คือ มันเปลืองไฟและเปลืองน้ำมันรถมากขึ้นกว่าปกติ (หลอดไฟก็เสื่อมมากกว่าปกติอีกด้วย)

 

ผมเก็บสถิติบ่อยๆว่าวันนี้รถออกใหม่จะติดไฟตัดหมอกประมาณ 70% ในจำนวนนี้จะเปิดไฟตัดหมอกตอนกลางคืนเสีย 90%  ..ผมไม่โทษคนพวกนี้หรอกแต่โทษหน่วยงานของรัฐมากกว่าที่ไม่รณรงค์ให้เลิกใช้กัน หรือใช้เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น  แค่เอาป้ายไปติดเตือนตามริมถนนก็ช่วยได้มากแล้ว ดีกว่าเอาภาษีเราไปทำป้ายโฆษณาหน้าผู้กำกับการตำรวจท้องที่ที่นิยมติดกันเกร่อ เพื่อประโยชน์อะไรก็ไม่รู้

 

อ้อ..มีกฎกระทรวงคมนาคม ห้ามเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่จำเป็นด้วยนะครับ  ไอ้พวกด่านรีดไถเงินกั้นถนนนั้น ถ้ารีดไถไอ้พวกนี้บ้างก็คงดี ขอสนับสนุน

 

อีกพวกคือพวกไฟซีนอน ซึ่งเป็นไฟตารถที่ให้แสงส่องสว่างมาก เป็นไฟสีขาวออกน้ำเงิน เห็นติดกันประมาณสัก 10%  ของรถทั้งหมดเห็นจะได้ ไฟแบบนี้มันดีสำหรับเจ้าของคนขับ แต่มันเลวสำหรับรถที่สวนมา เพราะมันแยงตามาก ใน usa มีการบ่นกันมากในเรื่องนี้ทำให้ไฟซีนอนไม่เป็นที่นิยม (คนขับเขาละอายใจไปเอง ไม่กล้าซื้อมาติด)  ส่วนเมืองไทยเราบ่นกันปากฉีกก็คงไม่มีใครฟังหรอก

 

ว่าไปแล้วการติดไฟซีนอนนั้น ถ้าติดให้ดี ตรงตามหลักวิชาการ มันก็โออยู่หรอก เสียแต่ว่าเมืองไทยเราวิชาการมันต่ำ ก็ติดกันผิดๆ แม้แต่ใน usa ก็ยังติดกันผิด จนคนบ่นกัน จนไม่มีใครกล้าติดกัน ทั้งที่ไม่ผิดกฎหมาย

 

ไฟสารพัดรูปแบบ ทั้งไฟท้าย ไฟหน้า ไฟหลัง คนไทยเราจะหาซื้อมาติดกันเต็มคันรถไปหมด มีหลากสีไปหมด เช่น ไฟสีเขียวติดท้ายรถ ไฟสีฟ้า สีม่วง มีกระพริบด้วย ไฟราวพราวรอบคัน (โดยเฉพาะรถบรรทุก และรถบัส) ไฟพวกนี้ทำให้สับสน ก็ช่วยเพิ่มอุบัติเหตุอีก และผมเชื่อว่าผิดกฎหมายแน่ๆ  

 

แต่ด่านตำรวจท่านก็กักด่านตรวจดู แล้วก็ปล่อยไปทุกราย ไม่เห็นว่าอะไร..เออแปลกดีประเทศไทย (สงสัยพวกรถ ตร. ก็ติดกะเขาด้วย ..อยากโก้กะเขาบ้าง โก้แบบโง่ๆ กันทั้งประเทศ)

 

 

ไฟติดรถก็แย่แล้ว ยังไฟริมถนน และกลางถนนอีกที่แยงตาอีก  โดยเฉพาะที่มาจากร้านค้า โรงงานริมทาง ที่ชอบเอาไฟหลากหลายเฉดสีมาติดไว้ให้แยงตาคนขับรถ ไฟพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เพื่อจะบอกว่า ถึงร้าน บริษัท ของฉันแล้วนะ ดังนั้นมันต้องแยงตาให้มากๆ จึงจะเป็นที่สังเกต  บางแห่งทำเป็นไฟกระพริบด้วยซ้ำ  ที่สำคัญคือด่านตำรวจเองก็เอากะเขาด้วย มีตั้งแต่ไฟกระพริบ ไฟหมุน สีเหลือง เขียว ขาว ฟ้า  จ้ามากจ้าน้อยต่างกันไป บางด่านทำเป็นไฟราว สรุปคือไร้มาตรฐาน จนประชาชนไม่สามารถบอกได้ว่าข้างหน้ามีอะไรแน่ จะได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ได้ถูกต้อง ซึ่งช่วยลดอุบัติเหตุ

 

เกิดมาเป็นคนไทยใช้ถนน อันตรายรอบด้าน ขับรถมายาวไกลหลายสิบรอบประเทศไทย  รอดตายมาเล่าเรื่องได้ในวันนี้ แสดงว่าผมคงทำบุญไว้โขอยู่  (แต่พอเล่าแล้วไประบุความผิดจนท.ผู้เกี่ยวข้อง ถ้าเขาหมั่นไส้มากๆ ผมอาจจะอายุสั้นก็ได้นะ หึหึ)

 

…คนถางทาง ( ๙ มค. ๕๕)


เมืองไทยใหมเอี่ยม (๕..เริ่มต้นที่ไหนดี)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 January 2012 เวลา 6:09 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1265

เมืองไทยใหม่เอี่ยม ๕

 

 

เมืองไทยเราวันนี้มีของเก่าดีๆที่สะสมไว้มาก แต่ของใหม่ที่ไม่ดีที่แทรกเข้ามาก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะส่วนหลังนี้กำลังมีแรงแซงหน้าส่วนแรกไปแล้วก็ว่าได้  ส่งผลให้สังคมไทยเรากำลังเคลื่อนไปสู่ความน่าสะพรึงกลัวในหลายประการ

 

การจะสร้างเมืองไทยใหม่เอี่ยม  (หรือ “นิวไทยแลนด์” ตามสำเนียงภาษานอกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์) นั้น ถ้าถามกันไปมาว่าลึกๆแล้วจะเริ่มต้นกันที่ไหน ก็มักมาลงกันที่เด็ก (อนาคตของชาติ)  แล้วผมขอถามต่อว่า เด็กมาจากไหน..ก็ต้องตอบว่าพ่อแม่และครู (แม่พิมพ์ของชาติ)  ถ้าถามต่อว่า..แล้วพ่อแม่และครูถูกสร้างมาจากไหน…อ้อ..รร.ฝึกหัดครูงัย     แต่เรามีรร.ฝึกหัดพ่อแม่ไหม  อีกทั้งรร.ฝึกหัดครูนั้นมาจากไหน 

 

ดูเหมือนว่ายิ่งถามลึกลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งตอบยากขึ้นทุกที ..อีกสองสามวันก็จะถึงวันเด็กแห่งชาติ(อีก)แล้ว ท่านนายกฯก็คงรีดคำขวัญหรูๆ ออกมาให้เด็กๆและพ่อแม่ชื่นชมกันต่อไปอีกวาระ  แต่ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนที่คิด วางแผน  และทำ เพื่ออนาคตของชาติกันอย่างจริงจัง เป็นระบบ สักที  อย่างมากก็คิดกันได้แบบฉาบฉวยเพียงแค่ต่ออินเทอร์เน็ต แจกไอแพ็ด  เท่านั้นเอง 

 

ก็ธ่อ..จะเอาอะไรกันหนักหนากับนักการเมืองส่วนใหญ่ที่จ้างตั้งกันมา

 

ผมได้เคยเสนอให้จัดให้มี “วันคนแก่แห่งชาติ”  ด้วยเห็นว่าคนแก่นั่นแหละคืออนาคตของชาติที่แท้จริง เพราะท่านเป็นคณะกรรมการวางแผนบริหารจัดการเด็กๆ รวมทั้งจัดสรรนโยบาย  ลองช่วยกันคิดหน่อยสิครับว่าในวันนี้ จะเปิดสถานที่ราชการอะไรให้ชม หรือมีนิทรรศการอะไรบ้าง (เมรุเผาศพวัดสำคัญ  นั่งเก้าอี้นายก หรือประกวดเรียงความ “ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นนายก” )

 

แต่อนิจจจา..วันนี้คนแก่ไทยเรานั้นไม่อาจหวังเป็นที่พึ่งได้เลย เพราะเห็นมีแต่คนแก่โลภโมโทสัน ที่รวยเท่าไรไม่รู้จักพอ คนแก่ที่ไม่เคยปล่อยวาง  ไม่เสียสละ ให้อภัย ยอมเจ็บปวดแต่คนเดียว คนแก่ที่เงินเต็มกระเป๋าซื้อคะแนนเสียงได้แต่วิสัยทัศน์สั้นกระจู๋  คนแก่ที่มีทั้งเงิน ดีกรี ป.เอกจากนอก และอำนาจมหาศาล (ประธานคณะกรรมการสำคัญหลายชุด) แต่สุดงก หวงตำแหน่ง อำนาจ และไม่ยอมฟังความเห็นใคร  (นอกจากทฤษฎีฝรั่งเก่าๆที่เคยเรียนมาและที่ปรึกษาฝรั่งต่างชาติที่จ้างมา)

 

คนแก่แบบนี้เต็มประเทศ ..แล้วแบบนี้ “อนาคตของชาติไทย” มันจะเหลืออะไรไว้ให้เราหวังได้หรือ

 

เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์วาดหวังไว้นั้น ตราบเท่าที่เรายังมีคนแก่แบบเดิมๆเป็นคนกำหนดแนวทางและกติกาแล้วไซร้  ผมว่ามันน่าสะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่าเมืองไทยแบบเดิมๆ เสียอีก

 

เมืองไทยใหม่เอี่ยมที่ดีๆนั้น ผมว่าไม่อาจกำหนดได้หรอกว่าต้องเริ่มต้นที่ใคร แต่ถ้าพูดรวมๆ ก็ต้องว่ามันต้องเริ่มพร้อมกันทุกจุดนั่นแหละ ทั้งเด็ก คนหนุ่มสาว สื่อมวลชน ครู พระ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง

 

มีหลายท่านเสนอว่า เราต้องพึ่งตัวเอง  อย่าไปหวังพึ่งนักการเมืองเลย เพราะพวกนี้มันซื้อเสียงมา มันก็ต้องถอนทุนกันเป็นส่วนใหญ่  ..ซึ่งอันนี้พูดอีกก็ถูกอีกอยู่นั่นหละ แต่ถ้าเราได้นักการเมืองดีๆ มาช่วยเสริม (หรือถึงขนาดมานำเสียเอง) มันก็ยิ่งดีไปใหญ่ไม่ใช่หรือ

 

คำถามคือ เราจะสร้างนักการเมืองดีๆได้อย่าไร ถ้าเราทำได้ อะไรๆมันก็ง่ายนิดเดียว  เปรียบเสมือนการสร้างคานงัดที่ทุ่นแรง ทำให้เราไม่ต้องลงแรงดีดงัดสังคมมากเกินไป ซึ่งมันอาจเกินกำลังของเราด้วยซ้ำไป

 

ผมเห็นว่า การลงแรงสร้างนักการเมืองและระบบการเมืองที่ดีนั้น มันเป็นคานงัดที่ง่ายกว่าการสร้างเมืองด้วยตัวเอง (พึ่งตนเอง) หลายร้อยพันเท่า

 

พวกฝรั่งนั้นเขาสร้างระบบการเมืองด้วยมือของเขาเอง แต่ของไทยเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวก “คณะราษฎร์” เพียงหยิบมือเดียวที่จบนอกและเห่อฝรั่ง ไปถอดเอายอดชฎาปชต. ฝรั่งมาสวมให้ละครการเมืองไทย แล้วบอกเราว่า เอ้า..สูเจ้าเป็นปชต. แล้วนะ  จากนี้ไปขอให้จงเจริญเหมือนฝรั่ง

 

ผมขอเสนอว่า เมืองไทยใหม่เอี่ยม ที่ง่ายที่สุดต้องเริ่มที่การเมืองใหม่เอี่ยม ที่ปรับปชต.ฝรั่งให้เข้ากันได้กับลักษณะนิสัยของสังคมไทย  พึงระลึกด้วยว่า ปชต. นั้นมีทั้งแบบทางตรง (เลือกตั้ง) และแบบทางอ้อม ซึ่งแบบหลังนี้ฝรั่งไม่รู้จักแต่สังคมไทยเราใช้กันมาช้านานแล้วด้วยซ้ำไป แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชแต่สมัยอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์

 

ผมได้เขียนบทความนำเสนอระบบปชต.ที่สอดคล้องกับสังคมไทยไว้มากหลาย  แต่ได้รับคำด่ามากกว่าคำชมสิบเท่า  เช่น หาว่าล้าสมัย (ไม่เหมือนฝรั่ง)  สวนกระแส (กระแสฝรั่ง)  ไม่เป็นประชาธิปไตย (ทั่งที่เป็นปชต.มากกว่าปชต.ฝรั่งเสียอีก)

 

ความหวังของเมืองไทยใหม่เอี่ยมเรามีศูนย์รวมอยู่ที่ “คนไทยในแถวหน้าๆ”   ที่ต้องคิดกันให้ออกสักทีว่า การลอกระะบบปชต.ฝรั่งเขามาใช้ทั้งดุ้นแบบที่ผ่านมานั้น มันคือระบบที่กำลังทำลายชาติไทยอย่างรุนแรงที่สุด เพราะมันนำมาซึ่งการซื้อเสียงถอนทุน ที่ซึ่งไม่อาจกระทำได้ในระบบฝรั่ง เพราะคนฝรั่งเขามีนิสัยอิงตน (ปัจเจกชนนิยม)  ซึ่งต่างจากคนไทยเราโดยสิ้นเชิงที่มีนิสัย “อิงอำนาจ”

 

…คนถางทาง (๘ ธ๕. ๒๕๕๔)


วิธีขับรถให้ปลอดภัย

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 8 January 2012 เวลา 7:30 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2665

ผมได้อ่านบทความ “วิธีขับรถให้ปลอดภัยช่วงวันหยุดยาว”  จาก นสพ. ออนไลน์ฉบับหนึ่ง ซึ่งมีทั้งสิ้น ๑๐  ข้อ  ผมอ่านไปก็ขำไป เพราะ 10 ข้อนี้มีเพียงข้อ 6 ข้อเดียวเท่านั้นที่ตรงกับหัวข้อเรื่อง (วิธีขับรถ) แม้กระนั้นก็ตรงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะอีกครึ่งหนึ่งไปบอกให้พกใบขับขี่ ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับ “การขับรถให้ปลอดภัย”   ขอตัดตอนมาลงเฉพาะหัวข้อดังนี้ครับ

1.เข็มขัดนิรภัย
2.สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ขวบ ควรใช้ที่นั่งสำหรับเด็กและคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
3.ควรปรับที่ วางศีรษะให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และผู้นั่งรู้สึกสบายมากที่สุด

4.ไม่ควรวางสิ่งของด้านบนหรือรอบ ๆ ที่เก็บถุงลมนิรภัย
5.ผู้ขับขี่ควรทำความรู้จักและความคุ้นเคยกับรถและอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยก่อน ออกเดินทาง
6.ขับรถอย่างมีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมายและมีความรู้เรื่องระดับความเร็วของแต่ละสถานที่ นอกจากนี้ควรพกใบขับขี่และรายละเอียดของประกันติดรถไว้เสมอ
7.วางแผน ล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง

8.จัดสิ่งของหรือกระเป๋าที่หนักที่สุดให้อยู่ใต้สุด หรือเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

9.ถึงแม้ว่าช่วงหยุดยาวจะเป็นช่วง แห่งการเฉลิมฉลองก็ตาม แต่กฎทองที่ ผู้ขับขี่ทุกคนควรจำไว้คือ “อย่าขับรถ ในขณะเมาเหล้า”

10.หากรู้สึกเหนื่อยให้หยุดพัก

ผมจะลองเสนอวิธีขับรถให้ปลอดภัยตามวิธีของผมบ้าง (ซึ่งใช้ได้เสมอแม้ในช่วงนอกวันหยุดยาว)

1. ขับรถแบบ “ระแวงภัยไว้ก่อน” ซึ่งหมายถึงขับไปก็คาดการณ์ล่วงหน้าถึงอันตรายตลอดเวลาจนเป็นนิสัย ซึ่งมันมีเรื่องที่จะต้องคาดการณ์นับร้อยเรื่องทีเดียว เช่น ทางเลี้ยวซ้ายข้างหน้า เป็นป่าทึบบดบังทัศนวิสัย ทำให้มองไม่เห็นระยะไกล อาจมีรถจอดตายอยู่ริมทาง (หรือมีหินกั้นล้อรถสิบล้อวางทิ้งไว้) ถ้าขับเร็วเกินไปและไม่ระวังเตรียมการณ์เบรกไว้ล่วงหน้าบ้าง พอเจอเข้า มันโผล่ท้ายออกมา รถอีกด้านก็สวนมาพอดี หักหลบขวาก็ไม่ได้ เบรกก็ไม่ทันแล้ว หรือเบรกทันรถก็เซ ก็ชนเปรี้ยง หรือ เช่น อย่าไปคิดว่ารถที่อยู่ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างๆ มันขับรถเก่ง เราจะปาดหน้ามันเร็วๆ มันก็คงเบรกทันหรอก แต่ควรคิดแบบปลอดภัยไว่ก่อนว่า เพื่อนร่วมถนนทุกคนเป็นมือใหม่หัดขับให้หมด ดังนั้นการทำอะไรต้องเผื่อความอ่อนหัดของผู้อื่นไว้ด้วย ดังนี้เป็นต้นแล

2. อย่าเปลี่ยนเลนโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นให้ให้สัญญาณไฟเสมอเมื่อเปลี่ยนเลน (รถจำนวนมากเปลี่ยนเลนแซงแบบกะทันหันโดยไม่ให้สัญญาณ ก่ออันตรายได้มาก)

3. อย่าขับจี้ก้นคันหน้าเกินไป แต่ควรเว้นระยะห่าง สูตรของผมคือห่างคันหน้าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความเร็วที่ขับ เช่น ถ้าขับมา 100 กม./ชม. ควรเว้นระยะอย่างน้อย 50 เมตร (ที่ usa เขามีกฎ 12 วินาที ซึ่งผมว่ามันมากเกินไป 6 เท่า) …นิสัยคนไทยชอบขับจี้ก้นกันมากจริงๆ แต่สภาพถนนเมืองไทยมีอะไรที่จะต้องเบรกตัวโก่งกระทันหันอยู่เสมอ เช่น หมาแมวไก่ตัดหน้า ถนนเป็นหลุมใหญ่ หมาเน่านอนตายกลางถนน ด่านตำรวจ พอคันหน้าเบรกกะทันหัน หรือหักหลบกระทันหันคันหลังก็ชนท้ายเพราะเบรกไม่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคันหน้าเป็นรถใหญ่เช่น รถบัส รถบรรทุก ที่บังทัศนวิสัยเราหมด

4. อย่าขับรถเร็วเกินไป..บางท่านคิดว่ารถตัวเองดีเหยียบ 120 ยังนิ่งเฉยเลย แต่การขับเร็วจะทำให้เบรกไม่ทันเช่น หมาตัดหน้า มอไซค์ตัดหน้า หรือเวลาหักหลบเลี้ยวแล้วรถเสียหลักได้ง่าย อีกทั้งถ้ายางแตกกะทันหันรถก็เสียหลักได้ง่าย นอกจากนี้ขับเร็วมากจะทำให้เปลืองน้ำมัน

5. อย่าขับรถช้าเกินไป …ขับเร็วเกินไปนั้นพอเข้าใจได้อยู่ว่าก่อเกิดอุบัติเหตุอย่างไร แต่ขับช้าเกินไปนั้นอาจก่ออบห.มากกว่าขับเร็วเสียอีก ทั้งนี้เพราะรถคันอื่นเขาต้องแซงเราบ่อยมาก ซึ่งการแซงนั้นทำให้ก่ออบห.ได้มาก โดยเฉพาะบนถนนสองเลนที่การจจ.แออัด การขับที่ดีที่สุดคือ “ไหลไปกับการจราจร” การขับช้าเกินไปก็เปลืองน้ำมันด้วยนะครับ (การขับที่ประหยัดน้ำมันที่สุดสำหรับรถเก๋งเครื่องเบนซินคือ ที่ความเร็วรอบเครื่องประมาณ 2500 รอบต่อนาที ซึ่งสำหรับโตย้าวิออสก็ประมาณ 90 กม.ต่อ ชม. พอดี)

6. อย่าเปิด “ไฟผ่าหมาก” เมื่อผ่านสี่แยก …สังเกตว่าคนไทยจำนวนมากมักมีนิสัยนี้ (โรคโง่ผนวกเห็นแก่ตัวระบาดหนัก) โดยหารู้ไม่ว่าคนที่อยู่ทางขวาคุณเขาจะเห็นแต่ไฟเลี้ยวขวา ส่วนคนอยู่ทางซ้ายก็จะเห็นแต่ไฟเลี้ยวซ้าย ดังนั้นเขาก็คิดว่าคุณจะเลี้ยวขวา หรือ ซ้าย ส่วนคุณคิดว่าเขาทั้งสองต่างรู้ชัดว่าคุณจะผ่าหมาก แบบนี้หมากแตกกระจายตายไปหลายพันรายแล้วนะ สิบอกให้เอาบุญ

7. อย่าเปิดไฟตัดหมอก ไฟอื่นๆ โดยไม่จำเป็น…เพราะมันแยงตาคนขับที่สวนมา พอเขามองเห็นไม่ชัดเพราะไฟแยงตาก็เกิดอบห.ได้มาก ไฟซีนอนสีขาวก็จ้ามากเกินไป (เพราะติดผิดหลักวิชาการ) ให้เลิกใช้ซะ คุณอาจมองเห็นได้ดีมากขึ้น แต่มันแยงตารถทีสวนมา ทำให้เขามองทางไม่เห็น ก็อาจหักหัวรถเข้ามาชนคุณตายได้นะ (กรรมตามสนองคนโง่ที่เห็นแก่ตัว แต่มันไปทำให้คนอื่นเขาตายด้วย ยิ่งบาปยกกำลังสองเลยนะ)

8. ให้ทางรถที่ออกมาจากถนนอื่น…เขามีทางเร่งนิดเดียวเพื่อเร่งตัวออกมาขนานกับถนนที่คุณกำลังขับ ถ้าเลนขวาว่าง ควรตีออกให้ทางเขา ถ้าไม่ว่างก็ควรชะลอ พร้อมตีไฟเลี้ยวซ้ายบอกเขาว่าให้ทางนะ ส่วนคนที่กำลังออกก็ควรเร่งความเร็วให้ขนานกันแล้วเปลี่ยนเลนออกไป ไม่ใช่มัวอ้อยอิ่งอยุ่นั่นแหละ ก็ยิ่งก่ออบห.ได้มาก

9. อย่าจอดรถตรงเลนเร่งตัว…เห็นมากจริงๆ ที่รถจอดตรงเลนเร่งตัว (ตามข้อ ๘) โดยเฉพาะรถบรรทุก สองแถว แต่รถเก๋งก็มีบ้างเช่น จอดส่งลูก ซื้อไก่ย่าง (เห็นรถตร.จจ.วิ่งผ่านไปมาก็ไม่ลงไปจับปรับ) การจอดแบบนี้มันอันตรายมากที่สุด เพราะเลนนี้เขาเอาไว้ให้รถเร่งตัว ซึ่งผู้ขับจะต้องจรดสายตามองกลับหลังไปที่รถเร็วที่วิ่งขนานมาด้านหลัง อาจมองไม่เห็นรถที่จอด หรือมองเห็นก็ทำให้เขาเร่งตัวไม่ได้ ทำให้ต้องตีออกแบบช้าๆ แล้วอาจไปชนกับรถเร็วบนถนนหลัก

10. การจอดรถข้างทาง ไม่จำเป็นไม่ควรจอด (เช่นผู้ชายจอดยืนเยี่ยวทั้งที่ปั๊มเขาก็มีเป็นระยะถี่ๆ อดกลั้นซักนิดก็ไม่ยอม มักง่ายเข้าว่า) หรือจอดซื้อผลไม้ ไข่ปิ้ง โรตีสายไหม ฯลฯ แต่ถ้าจำเป็นให้จอดให้ชิดซ้ายให้มากที่สุด อย่าให้ล้นออกมาบนผิวจราจร เห็นจำนวนมากจอดล้นออกมาครึ่งคัน ทั้งทียังมีไหล่ถนนเหลืออีกมาก อย่างนี้ต้องให้สิบล้อเมายาเสยเสียให้เข็ดหลาบจำ

11. เมื่อจอดรถแล้ว ก่อนเปิดประตูรถลงมาให้ดูด้วยว่ารถหลังเขาตามมาหรือเปล่า …คนไทยจำนวนมากมักง่าย และไม่ระแวงภัย เปิดประตูออกมาแบบกว้างๆ โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ มีรถมอไซค์มาเสยประตูขณะกำลังเปิดอยู่บ่อยๆ

12. ก่อนเลี้ยวซ้ายออกจากซอย อย่ามองแต่รถทางขวา ให้ระวังรถมอไซค์และรถยนต์ที่วิ่งสวนทางมาตามไหล่ถนนทางซ้ายด้วย …ผมเองเกือบเสยไอ้พวกนี้บ่อยๆ เดี๋ยวนี้พัฒนานิสัยระแวงภัยได้แล้ว เราอยู่ในสังคมไร้วินัยและเห็นแก่ตัว ต้องรู้รักษาตัวรอดด้วยจะเป็นยอดดี

13. เมื่อเห็นไฟแดงข้างหน้า ให้ปล่อยคันเร่ง แล้วปล่อยให้รถไหล แตะเบรกแต่เนิ่นๆ ถ้าเบรกมีปัญหาเรายังมีเวลาแก้ไขสถานการณ์ เช่น ดึงเบรกมือ ใช้เกียร์ต่ำช่วยชะลอรถ ..สังเกตเห็นคนไทยส่วนใหญ่ จะเร่งรถ แล้วไปเบรกแรงๆ เอาที่ใกล้ๆ ไฟแดง ซึ่งมันโง่ได้ใจจริงๆ เพราะเร่งไปก็ไปไม่พ้นอยู่ดี ต้องติดเท่ากัน แถมเปลืองน้ำมัน เบรกสึกมาก และ ถ้าเบรกแตกก็ชนกันระเนนาด เพราะปรับตัวไม่ทัน เห็นมามากที่เบรกแตกชนกันที่สี่แยกไฟแดง

14. อย่าฟังวิทยุ เพลง คุยกัน กิน ในรถ …เพราะมันทำให้ด้อยสมาธิในการขับ ทำให้อาจหลบหลุมไม่ทัน หรือ ทับหมาเน่า หรือ ชนก้นค้นหน้าที่เขาเบรกอย่างกระทันหัน เพราะพอขาดสมาธิมันก็ทำให้เวลาในการสนองตอบน้อยลง …โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าอบห.ส่วนใหญ่เกิดจากผู้ขับที่ “ชำนาญ” เพียงส่วนน้อยที่เกิดจาก “มือใหม่หัดขับ”

15. อย่าขับรถกินเลน…โดยเฉพาะเข้าโค้งเลี้ยวขวา…นิสัยคนไทยชอบทำแบบนี้จริงๆ (ร้อยละ 80 ก็ว่าได้) ซึ่งมันอันตรายต่อรถที่เขาเลี้ยวซ้ายสวนมามาก โดยเฉพาะโค้งที่ทัศนวิสัยต่ำเช่น มีป่าไม้บัง

16. อย่าแซงคิวตรงที่วกกลับ (ยูเทิร์น) …การแซงคิวคันอื่นนั้นนอกจากเป็นมารยาทที่ทรามมากแล้ว ยังก่ออบห.ได้มากทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เพราะไปบังตารถคันอื่น (ที่เขามาก่อน) ทำให้เขามองไม่เห็นรถที่วิ่งมาทางซ้ายด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอารมณ์ด้วยที่ถูกแซงคิวหน้าด้านๆ เช่นนั้น

17. เร่งตัวให้เร็วที่สุดเมื่อวกกลับ (ยูเทิร์น )…รถจำนวนมากพวกวกกลับเสร็จก็ทำอ้อยสร้อย ไม่รีบเร่งตัวออกไป ทำให้รถที่เขาตามมาต้องเบรกตัวโก่ง ในกรณีที่มือใหม่ หรือ ขาดสติ (เพราะฟังเพลง คุย เหม่อ) ก็ชนกันตายมามาก

18. เช่นเดียวกับข้อ 17 เวลาออกจากปั๊ม ก็ต้องรีบเร่งตัวด้วยนะ อย่าทำอ้อยสร้อย

19. ตัดสินใจแซงให้ดี..ให้ทันกาล โดยเฉพาะถนนสองเลน แล้วมีรถช้าขวางหน้า เราต้องแซงในขณะที่ควรแซง (กะระยะรถสวนมาให้กำลังพอดี) ถ้าเราแซงช้าเกินไปแบบว่า “กลัวอยู่นั่นแหละ” รถที่ตามหลังมาเขาจะรำคาญแล้วทำการแซงซ้อนคัน ซึ่งก่อเกิดอบห.ได้มาก แต่การแซงที่เร็วเกินไปก็ก่ออบห.ได้มากพอกัน ของแบบนี้ต้อง”สายกลาง” เป็นดีที่สุด

20. เปิดไฟหรี่ ไฟหน้า ในเวลาโพล้เพล้ แต่เนิ่นๆ (ทั้งตอนเย็นและตอนเช้า) ..สังเกตดูคนขับไทยส่วนใหญ่จะรอจนมืดสนิทแทบมองไม่เห็นทางจึงจะเปิดไฟหรี่หรือไฟหน้า ซึ่งเป็นอันตรายมาก การเปิดไฟแต่เนิ่นๆ นั้นไม่ใช่เพื่อให้เราเห็นทาง แต่เพื่อให้คนอื่นเขามองเห็นเรา โดยเฉพาะรถที่สีมืดๆ (ซึ่งเป็นที่นิยมมาก) ตามสถิติอบห. อบห. จำนวนมากเกิดเวลาโพล้เพล้ (ยิ่งเมืองไทยยิ่งมากกว่าปกติเพราะมีชาวนาชาวไร่เดินทางกันมากในช่วงนี้ ใช้รถอีแต๋น อีตุ้ย ที่ไม่มีไฟ วิ่งช้าจำนวนมาก รวมทั้งมอไซค์ไม่มีไฟ) ยามฝนตกก็เช่นกัน แม้ตกเบาๆ ก็ต้องเปิดไฟ เพราะกระจกรถจำนวนมากจำเป็นฝ้า ทำให้เขามองเห็นเราไม่ถนัด เปลี่ยนเลนออกไปชนกันได้ง่ายๆ

21. บีบแตรเตือนรถคันอื่น (โดยเฉพาะมอไซค์) อย่างพอดี สังเกตว่าคนไทยเราวันนี้มีแตรเอาไว้บีบด่า (เมื่อเหตุการณ์เกิดไปแล้ว) แทนที่จะเอาไว้บีบเตือนไม่ให้เหตุการณ์เกิด …มอไซค์ต้องบีบเตื่อนให้มากที่สุดเพราะพวกนี่ส่วนใหญ่เป็นวัยรุนหรือชาวบ้านนอกที่ไม่ค่อยรู้และหรือเคารพกฎจราจร ..ทราบมาว่าอบห. 70% เกิดขึ้นจากรถมอไซค์เป็นสาเหตุ ผมเจอกับตา และ พบกับตนเองบ่อยๆ ที่รถมอไซค์เลี้ยวขวาจากเลนซ้ายอย่างกะทันหัน โดยไม่ให้สัญญาณใดๆ

22. ขับกลางคืน ถนนสองเลน รถสวนมาไฟสูงแยงตามาก มองทางไม่เห็น จะทำไงดี วิธีการของผมคือ ผ่อนเครื่องช้าลงไว้ก่อน เอาไฟลงต่ำ (อย่าไปเปิดสูงใส่มันจะยิ่งไปกันใหญ่ อย่างน้อยเรามองเห็นก็ยังดี ถ้ามันก็ไม่เห็นด้วยจะยิ่งไปกันใหญ่) จรดสายตาไปที่เส้นขาวขอบถนนด้านซ้าย แล้วรักษาทิศของรถด้วยเส้นขอบถนนนั้น (เสียแต่ว่าถนนไทยส่วนใหญ่นั้นไม่มีการทาสีเส้นถนนเมื่อมันจาง แบบนี้ก็ต้องหาแนวอื่นเป็นที่พักสายตา)

23. ขับกลางคืน ถนนสองเลน การแซงแล้วมีรถสวนมานั้น ต้องกะระยะรถที่สวนมาให้ดี บางท่านมีกฎว่า ให้มองที่ไฟหน้า ถ้าไฟหน้าคู่บีบตัวกันเป็นไฟดวงเดียว แสดงว่ามีระยะห่างพอ ให้แซงได้ ..อนึ่งควรระวังด้วยว่า รถไฟตาเดียวที่สวนมานั้นเป็นรถมอไซค์แน่ๆ ไม่ใช่รถสองตาแต่ตาบอดข้างหนึ่ง จนเหลือตาเดียว (แบบนี้ชนกันตายมาก็มาเหมือนกัน)

24. ขับกลางคืน ควรเรียนรู้การใช้ไฟสูงให้ถูกวิธี จะช่วยลดอบห.ได้มาก เช่น ขับคนเดียวไม่รบกวนผู้อื่นควรเปิดไฟสูง เข้าโค้งกลางป่าควรตีไฟสูงต่ำสลับกัน (เพื่อให้รถที่สวนมารับทราบ) ก่อนแซงควรกระพริบไฟสูงต่ำให้รถคันหน้ารับทราบ แต่พอเราถูกแซง เราต้องหลบไฟต่ำให้เขาด้วย (ไม่แยงตาเขาเข้ากระจกหลัง) ถ้าทัศนวิสัยข้างหน้าไม่ดี เราก็สามารถดึงไฟสูงเพื่อมองไกลสัก 1 วิ ก็ได้

25. เรียนรู้กฎจราจร เช่น ทำการตัดหน้าแบบรู้สิทธิตนเอง (กฎจราจร) เช่น ตรงสี่แยก หรือ สามแยก เราต้องการเลี้ยวขวาเข้าถนนอีกสายที่ตั้งฉากกัน แล้วมีรถจากฝั่งขวามือเราก็จอดรอเลี้ยวขวาอยู่ด้วย ซึ่งทำให้เส้นทางของทั้งสองตัดกัน (และชนกันบ่อยด้วย) ถามว่าถ้าไม่มีไฟสัญญาณใครควรให้ทางใคร (ถามมาหลายรายแล้ว ส่วนใหญ่ตอบว่าไม่รู้ หรือตอบผิด)

…เอาแค่นี้ก่อนนะครับ จริงๆแล้วยังมีอีกมากหลาย ทางที่ดีกรมการขนส่งทางบกและหรือตำรวจจราจรควรรณรงค์ผ่านทีวีให้คนไทยขับรถให้ปลอดภัยด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งควรกำหนดไว้ในข้อสอบใบขับขี่ด้วยก็จะดี


ดองเขมรด้วยเกลือสยาม

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 6 January 2012 เวลา 10:44 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2069

เขมรไม่ใช่ขอม…หลักฐานด้านเกลือ

 

ผมได้เขียนบทความทำนองว่า ขอมคือสยาม  และเขมรไม่ใช่ขอม  ไว้มากหลายนับสิบตอนยาวๆ  โดยได้อ้างหลักฐานและแนวคิดไว้พอควร ไม่ได้สักแต่เพียงโมเมเขียนเอามันแบบคลั่งเชื้อชาติ

 

วันนี้ (๖ มค. ๒๕๕๕) ผมขอเน้นย้ำเรื่อง เกลือ อีกเรื่องหนึ่ง เพราะสองสามวันที่ผ่านมานี้เพิ่งคิดปะติดปะต่อได้อีกนิดหน่อย

 

โจว ต้ากวน ทูตการค้าจีนที่นครวัด (คศ.  1296)  เมื่อปลายรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมัน ๙ ได้บันทึกไว้ว่า อาณาจักรขอมมีเทคโนโลยีผลิตเกลือจากน้ำทะเลโดยการใช้ความร้อน  (อ้างอิง “A Record of Cambodia” Peter Harris, Silkworm book, 2007, isbn: 978 974 9511 244, chapt. 21, p.75)

 

การผลิตเกลือดังกล่าวนั้นผมเดาว่าก็คงใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ในการทำนาเกลือแบบไทยเรานั่นเอง แต่…แต่ทำไม 600 ปีผ่านไป ชาวเขมรจึงผลิตเกลือไม่เป็น ??? ทั้งนี้เพราะมีหลักฐานระบุว่าต้องนำเข้าเกลือจากสยาม….ซึ่งเรื่องนี้ผมได้รับการบอกกล่าวเล่าขานยืนยันมาจากสองแหล่งโดยมิได้นัดหมาย

 

แหล่งแรกคือ จากชาวบ้านที่ อ.พิมาย  จ.นครราชสีมา  ที่เขาจะบริจาคเกวียนพิมายให้ผม  เราคุยกันถึงอดีตของเกวียนเล่มนี้ (ซึ่งสวยงามมากๆ) ท่านเล่าว่าเกวียนนี้เป็นของปู่ของท่าน ปู่ท่านเล่าให้ท่านฟังว่าสมัยปู่ (คงประมาณพศ. ๒๔๖๐) กองคาราวานเกวียนจากพิมายได้บรรทุกเอาของไปขายเมืองเขมรซึ่งมีสินค้าสำคัญอยู่เพียงสองอย่างคือ ผ้าไหมและเกลือ ส่วนขากลับก็บรรทุกเอาปลาแห้งปลาเค็มกลับมาขายที่พิมาย

 

เรื่องนี้ตรงกับคำให้การของคุณแม่ผมทุกประการ คือท่านเล่าว่าสมัยท่านเป็นสาวรุ่นวัยกะเตาะ (ราวพศ. ๒๔๙๐)  ท่านนั่งรถไฟจาก อ.วัฒนานคร จ.ปราจีนบุรี  ไปซื้อปลาจาก อ. ศรีโลภณ (จ. พระตะบอง) เพื่อเอามาขาย (เขมรมีปลามาก ราคาถูกมาก)   ท่านเห็นมีการบรรทุกเกลือใส่รถไฟไปขายทีเมืองเขมรมาก  เพราะเขมรทำเกลือไม่เป็น ต้องซื้อจากสยามเท่านั้น

 

นี่แสดงว่าชาวเขมรสมัยนั้นคงไม่สามารถผลิตเกลือใช้เองได้ ซึ่งแปลกมาก เพราะขอมนครวัดเคยผลิตได้มานานแต่อดีต อีกทั้งประเทศเขมรก็ติดทะเลเป็นแนวยาวมาก  ถ้าแขมรเป็นลูกหลานขอมก็ต้องย่อมผลิตเกลือเป็นสิ เพราะเกลือเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิต มีหรือที่พ่อแม่จะไม่ส่งผ่านความรู้อันสำคัญยิ่งนี้ไปสู่ลูกหลาน

 

นี่เป็นหลักฐานโดยอ้อมที่สำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีที่ผมตั้งไว้ว่า เขมรมาไล่ฆ่าขอมออกไปหมด จนทำให้ขอมหนีมาอยู่ที่อยุธยา…แล้วหอบเอาเทคโนโลยีต่างๆไปด้วย รวมทั้งการทำเกลือ จึงส่งผลให้เขมรทำเกลือไม่เป็น

 

ทอผ้าก็ไม่เป็น นับเลขก็นับได้เพียงแค่เลขห้า…ดังนี้แล

 

….คนถางทาง  (๖ มค. ๒๕๕๕)

 

 

 


ขับไปบ่นไป (๑..ความผิดใคร)

1 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 29 December 2011 เวลา 7:44 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1368

ขับไปบ่นไป (๑..ความผิดใคร)

 

 

วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันเริ่มต้นช่วงเดินทางเข้าสู่เทศกาลปีใหม่พศ. ๒๕๕๕ ทำให้การจราจรบนท้องถนนหนาแน่นกว่าปกติ …ได้ยินข้อมูลจากสื่อทุกระบบว่าจะพยายามช่วยกันลดอุบัติเหตุบนท้องถนนให้ได้มากกว่าทุกปี ซึ่งก็เป็นมาอย่างนี้หลายปีแล้ว แต่ก็เห็นสถิติว่าเลวร้ายลงกว่าปีก่อนๆเสมอ

 

 

ข้อมูลต่างๆที่ระดมกันออกมานั้นร้อยทั้งร้อยอ้างว่าอุบัติเหตุมีต้นเหตุมาจากผู้ขับยานยนต์ที่บกพร่องในด้านต่างๆ เช่น เมา ง่วง ประมาท สภาพรถไม่สมบูรณ์

 

ไม่มีสักรายที่บอกว่าเป็นความผิดของรัฐ เช่น กรมทาง สำนักงานต่างที่เกี่ยวข้อง ตำรวจ อบต. และที่สำคัญที่สุดคือนักการเมืองที่โกงกินโครงการที่เกี่ยวข้องกับถนน

 

สถิติในประเทศอังกฤษ  ระบุว่าอุบัติเหตุของเขาโดยเฉลี่ยหนึ่งปียังน้อยกว่าของเราในหนึ่งสัปดาห์ …ซึ่งผมขอแถมว่า ที่อังกฤษนั้นสถิติคนกินเหล้าเป็นอันดับหนึ่งของโลก และมีประชากรที่ขับรถมากกว่าเราหลายเท่าตัว นี่แสดงว่าอัตราการเกิดอุบัติเหตุต่อหัวผู้ขับรถต่อระยะทางที่ขับของเขาน้อยกว่าเรานับร้อยเท่าทีเดียว (ทั้งที่เขา “เมา” มากกว่าเราเสียอีก)

 

 

จากการที่ผมขับรถรอบประเทศไทยมาสักสิบรอบในรอบสิบปีที่ผ่านมา ได้เห็นได้ยินได้ฟังมามากหลายจากทุกกระแส ผมสรุปว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนแห่งประเทศไทเรานั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากความผิดของหน่วยงานของรัฐสัก 90% …อีก 10% เป็นความบกพร่องในด้านต่างๆของประชาชนผู้ขับ เช่น เมา ง่วง ประมาท สภาพรถไม่สมบูรณ์

 

แล้วผมจะมาแจงรายละเอียดในตอนต่อๆไป ว่าทำไม ….ในตอนนี้ขอเอาไอ้ที่ง่ายๆและอัดอั้นตันใจมานาน คือ ด่านตำรวจ ….ที่น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 7000 ด่านทั่วประเทศ (หนึ่งตำบลหนึ่งด่านโดยเฉลี่ย OTOP วันตำบลวันโปลิศ’s  road obstruction)

 

ด่านพวกนี้อ้างกันง่ายๆตามประสาตำรวจในประเทศด้อยพัฒนาว่า…เอาไว้ตรวจยาเสพติด  แต่เราท่านก็รู้กันดีอยู่ว่าเอาไว้ทำอะไร เอาละไม่อยากเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน เพราะรูกันดีอยู่แล้ว เพียงแต่อยากสะกิดว่า ท่านตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ตาม “จุดบริการประชาชน” ทั้งหลายทราบไหมว่า การทำเช่นนั้นมันผิดพรบ. จราจรในข้อที่ว่า “กีดขวางการจราจร”   (แต่พออ้างยาเสพติด ก็ได้รับการยกเว้น ๕5ห้า)

 

…นอกจากนั้นยังทำให้ปชช. เขาไม่สะดวก เสียเวลาและอารมณ์ แล้วยังก่อเกิดอุบิตเหตุมากหลายตรงจุดตรวจนั่นแหละ (ผมเองเกือบเสยก้นรถคันหน้าหลายครั้งที่เบรกกะทันหันตามด่านต่างๆ และได้เห็นอุบัติเหตุจากกรณีเช่นนี้นี้ก็มากครั้ง  ซึ่งจนท.ก็ชอบเสียอีกเพราะมีรายได้เสริมจากการค้าคดีอุบัติเหตุ )

 

อารยประเทศ เช่น  usa และยุโรปตะวันตก เขามีการขนส่งยาเสพติดมากหลายกว่าเราหลายเท่า แต่ทำไมเขาไม่มีด่านตำรวจสักด่านเดียว ทั่วประเทศ ..ส่วนทีอัฟริกา อินเดีย จีน ลาว เขมร พม่า ก็มีด่านมากหลายเหมือนเรา เลย

 

ทำให้ผมตั้งสูตรคำนวณความเจริญประเทศได้มานานแล้วว่า…. ความเจริญของประเทศใดย่อมแปรผกผันกับจำนวนด่านตำรวจต่อหน่วยระยะทางของถนนในประเทศนั้น

 

…คนถางทาง (๒๘ ธค. ๒๕๕๔)

 


น้ำท่วมแก้ว แล้วล้นไปท่วมโลก

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 19 December 2011 เวลา 6:37 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1377

น้ำแข็งขั้วโลกละลายแล้วน้ำจะท่วมโลกไหม…คำนวณได้ด้วยวิทยาศาสตร์ปอสี่(หลักสูตรกระทรวงศึกษาไทย)

 

ผมได้ฟังอ่านเห็นข้อมูลทำนองว่าโลกกำลังร้อนขึ้นและน้ำจะท่วมโลกเนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกจะละลายหมดมาหลายปีแล้ว

 

เมื่อสองปีที่แล้ว (พศ. ๒๕๕๒) ผมเริ่มเอะใจ  จึงได้ทำการคิดคำนึงนวณวนรอบไปตามประสาคนว่างงาน ผมสรุปได้ว่า งานนี้ถ้าไม่โง่บริสุทธิ์ก็น่าจะเป็นการแหกตาประชาโลกจากพวกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจอมเว่ออีกแล้ว  แต่ที่แปลกคือนักวิทยาศาสตร์ระดับโนเบลหลายคนก็นิ่งเฉย ..ซึ่งไม่รู้ว่านิ่งเพราะสมรู้ หรือว่า ไม่รู้ไปกะเขาด้วย

 

ลองทดลองทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆกันดูนะครับ  คือ เข้าไปซื้อกาแฟเย็นจากร้านแผงลอยริมทางที่กลังฮิตติตตลาดเมืองไทยราวดอกทอง..เอ๊ยเห็ด  (ราคาแก้วละแพงฉิบ ค่าวัสดุประมาณ 5 บาท แต่มันขายกันได้แก้วละร้อยหน้าตาเฉย แถมรากหญ้าขับรถติดไฟตัดหมอกแยงตาประชาราษฎร์ทั้งน้านที่เข้าไปซิ้อหากันกินเพื่อประกาศสถานะ ส่วนไอ้เราหลงเข้าไปครั้งเดียวเข็ดอุจาระอ่อนแก่และปวารณาว่าจะไม่เข้าไปอีกจนชั่วชีวิต)   …พวกนี้มันขายแบบเอาเปรียบมาก คืออัดน้ำแข็งเสียเต็มแก้ว ส่วนเนื้อกาแฟให้นิดเดียว  แต่นี่แหละ กลายเป็นเครื่องมือทดลองวิทยาศาสตร์เราได้อย่างดีที่สุด

 

เอาหละ ลองเสียสละเพื่อโลกดูสักที ด้วยการไม่ยอมกินกาแฟเย็นแก้วอันแสนแพงนั้น  แต่เอาแก้วมาตั้งทิ้งไว้ในรถที่ปิดกระจกจอดทิ้งไว้กลางแดด  ซึ่งรถมันจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากพฤติกรรมเรือนกระจก ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการเกิดพฤติกรรมเรือนกระจก (greenhouse effect) ที่โลกได้รับความร้อนจากก๊าซเรือนกระจกยังไงยังงั้นเลย   …. ทิ้งไว้ให้นานๆ จนน้ำแข็งละลายหมดแก้ว …แล้วไปสังเกตดูสิว่า    น้ำแข็งที่ละลายหมดนั้นมันท่วมล้นออกมานอกถ้วยกาแฟ หรือว่า มันลดลงไปจากระดับขอบถ้วยกาแฟ

 

…คำตอบคือ ……ใช่ใช่ใช่ นะคร๊าบ ..มันลดลงไปกว่าเดิมเสียอีก

 

แล้วถามว่า น้ำแข็งขั้วโลกเล่า ถ้ามันละลายหมด น้ำจะท่วมโลกจริงหรือ  หรือว่าจะลดลงไปอีก หรือว่า เท่าเดิม

 

ฝนข้อไหนดีหละ  ข้อสอบปรนัย …ถ้าเฉลยหมด เดี๋ยวหมดสนุก

 

…คนถางทาง (๒๐ ธค. ๒๕๕๔)


เมืองไทยใหม่เอี่ยม (๔ ปชต.ใหม่เอี่ยม)

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 19 December 2011 เวลา 1:09 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1697

 

 

ระบบการเมืองคือต้นธารของการพัฒนาประเทศ ถ้าระบบการเมืองไม่สอดคล้องกับลักษณะสังคมเสียแล้วก็คงเป็นการยากที่ประเทศชาติจะพัฒนาได้  แต่ที่ผ่านมา ๘๐ ปีเราไปลอกระบบการเมืองฝรั่งมาใช้แบบทั้งดุ้น (ที่เราเรียกกันสวยหรูว่าประชาธิปไตย) ทั้งลักษณะนิสัยของตนไทยต่างจากฝรั่งมาก

 

ระบบการเมืองแบบตะวันตก (ปชต.ตต.) นั้นผมวิเคราะห์ว่าเป็นวิวัฒนาการทางสังคม ตามเหตุปัจจัยบีบคั้นโดยธรรมชาติของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยปัจเจกชนนิยม (individualism)  การที่เราไปลอกเขามาใช้ทั้งดุ้นนั้น อุปมาไม่ต่างอะไรกับเอาไปขุดเอาแอปเปิ้ลเขามาปลูกในบ้านเราซึ่งเป็นเมืองร้อน  มันอาจจะพอแตกใบบ้างแต่จะให้ออกดอกผลดกอร่อยให้เรารับประทานนั้นคงยาก เพราะมันไม่สอดคล้องกับภูมิอากาศบ้านเรา ทางที่ดีต้องหาทางปรับปรุงบำรุงพันธุ์เสียก่อน ก่อนเอามาปลูก

 

ว่าแล้วคนไทยเราก็เทิดทูนระบบการเมืองแบบนั้นว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเลยก็มี ผู้ใดเสนอระบบอะไรที่ต่างไปจากนี้ก็จะถูกรุมจิกจากหลายฝ่าย

 

ที่ผ่านมา ๒๐ ปีผมได้ลองคิดและเขียนเสนอรูปแบบการเมืองแบบใหม่ออกไปหลายรูป โดยยังยึดหลักการปชต.อยู่ เพียงแต่ว่าวิธีการนั้นได้คิดปรับให้เข้ากับลักษณะสังคมไทย โดยผมพยายามมองแบบบูรณาการครบวงจร ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

 

ต้นน้ำหมายถึงประชาชนผู้ทำการเลือกตั้งและวิธีการเลือกตั้ง   กลางน้ำหมายถึงวิธีการปฏิบัติงานของนักการเมือง  ปลายน้ำหมายถึงการติดตามตรวจสอบนักการเมือง

 

ทุกวันนี้เราให้สิทธิ์ปชช.เกือบทุกคนที่มีอายุเกิน 18 ปีสามารถออกเสียงเลือกตั้งได้คนละหนึ่งคะแนน (ลอกฝรั่ง)  ซึ่งผมเห็นว่าไม่ดีเพราะคนไทยเรามีนิสัยไม่ใส่ใจเรื่องการเมืองเหมือนฝรั่ง ส่งผลให้ได้คะแนนเสียงที่ไม่มีคุณภาพ ยิ่งกฎหมายไปบังคับว่าการออกเสียงเป็น”หน้าที่” (ลอกฝรั่งอีกแล้ว)  ก็ยิ่งไปกันใหญ่

 

ผมเห็นว่าคุณภาพของเสียงสำคัญกว่าปริมาณมาก ในเขตเลือกตั้งหนึ่งถ้ามีคะแนนคุณภาพจริงๆ สัก 1000 คะแนนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ได้สส. สว. ที่ดี ตรงข้ามถ้ามีคะแนนมั่วๆสัก 50,000 คะแนนที่ถูกซื้อมา มันจะมีความหมายอะไรหรือ นอกเสียจากเป็นการสร้างภาพปชต.หลอกตนเองไปวันๆ

 

การจะคัดเอาคะแนนคุณภาพนั้นไม่ยาก มีได้หลากหลายวิธี ลองไปค้นหาอ่านเอาในไฟล์เก่าๆของผมนะครับ (ถ้าหาไม่เจอก็เมล์ไปหาผมได้) …ถ้าต้นน้ำดี ก็จะเลือกเอาสส. สว. ดีๆ เข้าสภา ก็แทบจะจบเกมส์ได้เลย

 

แต่นั่นแหละ สส. สว. ดีๆ ที่เลือกเข้าไปอาจดีแตกในภายหลัง จึงต้องมีระบบคานอำนาจกันเอง ระหว่าง สส. กับ สว. ก็มีได้หลายวิธีอีก วิธีหนึ่งที่ผมคิดเองชอบเองคือ ให้สส. มาจากเลือกตั้งทั่วไป (โดยต้นน้ำที่ดี) ส่วนสว. นั้นมาจากการกำหนดตำแหน่งจากทุกอาชีพสัก 70% และโดยการคัดสรรทั่วไปอีกสัก 30% 

 

ซึ่งวิธีเลือกสว. ดังกล่าวนี้แท้จริงแล้วยังเป็นปชต.อยู่ แต่เป็นปชต. “แบบธรรมชาติ” กล่าวคือ บุคคลเหล่านี้แท้จริงได้รับการคัดสรรโดยธรรมชาติจากสาขาอาชีพของตนมาเป็นเวลานานแล้ว จนได้ขึ้นมาเป็นยอดของสาขาอาชีพนั้นๆ ซึ่งดูให้ดีแล้วเป็นปชต. ยิ่งกว่าการเลือกตั้งทางตรงเสียอีก เพราะต้องใช้เวลานานในการพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่แค่หาเสียงประชานิยมกันเพียง 2 เดือน ก็ได้แล้ว

 

โดยวิธีนี้ สว. จะเป็นอิสระจากสส. และสามารถคานอำนาจสส.ได้เป็นอย่างดี เช่น ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น อาจให้สส. ทำหน้าที่อภิปราย แต่การโหวตให้สว.เท่านั้นเป็นผู้โหวต แบบนี้แม้รัฐบาลมีเสียงข้างมากเพียงใด ก็ไม่สามารถเป็นเผด็จการโดยรัฐสภาได้ ตรงข้ามแม้รัฐบาลมีเสียงข้างน้อยแต่หากทำดี ก็ไม่อาจถูกโหวตออกได้โดยพรรคฝ่ายตรงข้าม ก็จะทำให้เกิดการคานอำนาจอย่างบริสุทธิ์ และรัฐบาล(ที่ดี)ก็มีเสถียรภาพ ส่วนรัฐบาลเลวก็ง่อนแง่น (ซึ่งก็ดีแล้ว)

 

หรืออาจปรับใหญ่ ให้สว. ฟอร์มรัฐบาล แต่กลับให้สส. เป็นผู้คอยควบคุมดูแลการทำงานยังได้เลย เพราะสว. มาจากสาขาอาชีพต่างๆ มีความเชี่ยวชาญในอาชีพนั้นๆ ถ้าให้ไปบริหารกระทรวงที่เกี่ยวข้อง คงทำงานได้ดีกว่า สส. เป็นไหน ๆ เพราะสส.เหล่านี้จำนวนมากที่เข้าไปเป็น รมต. โดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานกระทรวงนั้นๆ เลย เท่ากับเอาประเทศเป็นที่ลองงาน ซึ่งทำความเสียหายกันมานักต่อนักแล้วมิใช่หรือ

 

หรืออาจกำหนดให้สว. ไปทำหน้าที่ “สภากระทรวง” คอยกำกับดูแลการทำงานของรมต.ก็ได้ เพราะการโกงกินนั้นส่วนใหญ่กระทำกันในระดับกระทรวงนี่แหละ

 

เรื่องปลายน้ำนั้นไม่ค่อยน่าเป็นห่วง เพราะขณะนี้ก็มีกฎหมายคอยจัดการหลายชั้น เสียแต่ว่าการคัดสรรบุคคลเข้าไปปฏิบัติงานนั้นยังอาจมีการซ้อนทับกันแบบหลายชั้น

 

หวนกลับมาที่ต้นน้ำใหม่ ..คิดไปแล้วก็ให้รู้สึกสังเวชใจว่า ในวันนี้การประกวดหมาเขาตัดสินโดยกรรมการผู้ชำนาญการด้านหมา แต่ในการประกวดคนเพื่อคัดเลือกให้ชนะเลิศเข้าไปบริหารประเทศเราตัดสินลงคะแนนโดยกรรมการที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเมืองแม้สักนิดก็ยังได้ … แล้วอย่างนี้อนาคตประเทศไทยจะไปรอดหรือ


แก้ภัยหนาววิถีพุทธ

2 ความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 18 December 2011 เวลา 11:59 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1853

วิธีแก้หนาวแบบชาวพุทธ

 

ปีนั้น (น่าจะพศ. ๒๕๔๓)  มันเป็นปีที่หนาวมาก ปีก่อนนั้นผมบวชพระ และเดินธุดงค์เข้าป่าทับลานไปกับหลวงพ่อแคน (นามสมมติ) เป็นเวลาประมาณ ๑ เดือน มันสนุกมากๆ จนติดใจ (กิเลส) มาปีนั้น (๒๕๔๓) ผมสึกแล้ว พอออกพรรษาเข้าหน้าหนาว ก็นึกสนุกไปชวนหลวงพ่อออกธุดงค์กันอีก  (ผมอายุ ๔๕ ท่าน ๖๒)

 

คราวนี้ง่ายหน่อยเพราะผมเป็นฆราวาสแล้ว ไม่ต้องถือศีล ๒๒๗  ข้อ ก็สามารถหุงหาอาหารได้ในกลางป่า หุงเสร็จก็ตักบาตรให้หลวงพ่อฉันวันละมื้อ

 

ธุดงค์คราวนี้เราหนึ่งรูปหนึ่งคนดั้นด้นตัดวนอุทยานปางสีดา โดยออกจากอ.ครบุรี โคราช เดินตัดป่าไปออกที่สระแก้ว ระยะทางสั้นเพียงประมาณ 100 กม. เท่านั้น โดยเดินบนถนน (ร้าง) ที่เคยตัดผ่านป่าแห่งนี้

 

คืนวันหนึ่ง เรามาปักกลดพักแรมบนยอดเขาสูง พอตกดึก มันหนาวเหน็บเอามากๆ ใส่เสื้อผ้าที่เตรียมมานับได้ ๕ ชั้นก็ยังไม่หายหนาว นอนขดอย่างไรก็หนาวทรมานเป็นที่สุด พลิกไปพลิกมาหลายรอบเป็นเวลานาน จนหมดหนทาง

 

แต่ในที่สุดก็คิดได้ว่า น่าจะแก้หนาวได้ด้วยการนั่งสมาธิ ว่าแล้วก็ขัดสมาธ แล้วเพ่งสมาธิ ทำใจให้สงบ เพ่งเอาความหนาวนั่นแหละให้เป็นอารมณ์สมาธิ

 

พอจิตนิ่งดิ่งลงลึก พลันความหนาวก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง อย่างเหลือเชื่อ …ทำอย่างนั้นจนรุ่งสาง จึงออกไปก่อกองไฟ เพื่อหุงต้มอาหารเพื่อถวายหลวงพ่อและตนเอง  ได้เห็นกับตาว่าใบไม้โดยรอบมีน้ำค้างแข็งเกาะโดยรอบ

 

พอดีหลวงพ่อก็ออกมาจากกลดของท่าน ก็ถามท่านว่าหนาวมากไหมครับ คิดสงสารท่านในใจที่มีเพียงจีวรหนึ่งผืนและผ้าสังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า ที่พระพุทธเจ้ากำหนดมาให้เอาไว้ห่มกันหนาว แต่เมืองไทยเรามันร้อนก็เลยผันเอามาเป็นผ้าพาดบ่า) …ท่านว่าหนาวมากเลย แต่ก็แก้อาการหนาวด้วยการทำสมาธิ…อ้าว…ลูกศิษย์และอาจารย์ใช้วิธีแก้หนาวแบบเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย

 

ประเด็นนี้ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์พันลึกอะไรหรอก แต่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ทางจิตที่คนไทยโบราณรู้มานานแล้ว แต่พวกฝรั่งยังไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก (ฝรั่งเขาเก่งวิทยาศาสตร์ แต่จิตศาสตร์เขายังล้าหลังเรามาก)  กล่าวคือ ผมเชื่อว่าเมื่อจิตนิ่งมันจะเกิดการ “ผ่อนคลาย” (ไม่เครียด) มันจะส่งผลให้เซลร่างกายผ่อนคลายไปด้วย

 

การผ่อนคลายในระดับ”ไมโคร”ของเซลนี้ส่งผลให้มีความต้องการความร้อนเพื่อเอามาเป็นพลังงานน้อยลงกว่าปกติ  (ซึ่งผมอธิบายตามหลักการทางเทอร์โมไดนามิกส์ที่ฝรั่งคิดค้นไว้นั่นเอง คือหลักการอนุรักษ์พลังงานนี่เอง)  ซึ่งทำให้เซล “คายความร้อน” ออกน้อยกว่าปกติอีกด้วย จึงทำให้ร่างกายอบอุ่น เพราะ “ความรู้สึกหนาว” นั้นแท้จริงแล้วก็สัมพันธ์กับอัตราการคายความร้อนของร่างกายนั่นเอง กล่าวคือ ถ้าคายความร้อนมากกว่าปกติก็จะรู้สึกหนาว ตรงกันข้ามถ้าคายความร้อนได้น้อยกว่าปกติก็จะรู้สึกร้อน

 

สัตว์เดรัจฉานบางจำพวกมีสัญชาตญาณรู้ความลับนี้ได้ด้วยตนเอง จึงทำการจำศีลในฤดูหนาว เช่น หมี กบ ปลาไหล เพราะฤดูหนาวหาอาหารกินยาก ต้องใช้พลังงานมาก ดังนั้น จำศีลดีกว่า เพระการจำศีลนั้นอัตราการเต้นหัวใจ และอัตราการเผาผลาญพลังงาน (metabolic rate) ลดลงมาก ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายลดลงด้วย

 

พระธิเบตจำนวนมากฝึกสมาธิแบบเข้าเงียบจนเก่งกาจ มีการบันทึกโดยนักวิทยาศาสตร์ฝรั่งว่า พระเหล่านี้สามารถนั่งสมาธิเปลือยกายได้ตลอดคืนบนหิมะที่แสนหนาวเย็นของฤดูหนาว

 

หนาวนี้ พศ. ๒๕๕๔  ก็ทำท่าว่าจะรุนแรงพอควร นอกจากจะใส่เสื้อกันหนาว หรือ เอาตะเกียงมาเผาหินในกระถางน้ำใจแก้ภัยหนาวแล้ว (ที่ผมได้นำเสนอไว้)  หรืออยู่ใกล้ไออุ่นของคนที่รู้ใจกัน แล้ว  ถ้านึกสนุกก็ควรลองทำสมาธิภาวนาดูบ้างนะครับ

 

ฟลุกๆได้นิพพานเป็นของแถมก็ขอนิมนต์ไว้ล่วงหน้าให้มาเทศน์โปรดกันบ้างนะครับ

 

…คนถางทาง (๑๘ ธค. ๒๕๕๔)


การทำความสะอาดร่างกายในฤดูหนาวอย่างประหยัด

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 14 December 2011 เวลา 11:54 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1417

การทำความสะอาดร่างกายในฤดูหนาวอย่างประหยัดให้ทำดังนี้

 

  • 1) อุปกรณ์: ขันบรรจุน้ำสะอาด 1 ใบ หม้อขนาดเล็ก 1 ใบ ถังใส่น้ำสะอาด 1 ถัง ผ้าขนหนูขนาดเล็ก 2 ผืน เตาถ่านหรือเตาแก๊ส 1 เตา (หรือตะเกียง หรือ เทียน แทนเตาก็ได้ก็ได้)
  • 2) นำผ้าขนหนูทั้งสองผืนไปจุ่มน้ำในขัน บิดพอหมาด แล้วเอา ๑ ผืนไปบรรจุไว้ที่ก้นหม้อโดยขยุ้มและคลี่ให้เต็มพื้นหม้อ แล้วนำไปตั้งเตาไฟอ่อน
  • 3) สังเกตว่าพอผ้ามีไอน้ำร้อนลอยขึ้นก็เอามาเช็ดตัวได้ พร้อมกันนั้นก็เอาผ้าอีกผืนลงไปนึ่งแทนที่
  • 4) พอเช็ดตัวจนพอใจแล้ว ก็เอาไปซักในถังน้ำให้สะอาด แล้วเอาไปจุ่มน้ำสะอาดในขัน บิดพอหมาด แล้วเอาไปนึ่งแทนที่ผ้าอีกผืน โดยเอาผ้าอีกผืนนั้นมาเช็ดตัวในรอบต่อไป
  • 5) ทำวนรอบไปเช่นนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจในความสะอาด

 

วิธีนี้ประหยัดทั้งน้ำและไฟ  สะอาด  และรวดเร็ว  ซึ่งจะนำไปใช้ในฤดูกาลปกติก็ย่อมได้

 

ถ้าไม่มีเตาแก๊สหรือเตาถ่าน จะใช้ตะเกียงนึ่งผ้าแทนก็ได้ หรือทำตะเกียงขึ้นใช้เองแบบง่ายๆ ก็ได้ เช่น เอาถ้วยน้ำพริกมาใส่น้ำพืชลงไป แล้วเอาก้อนถ่านหรือไม้ผุๆ ชุบน้ำมันเพื่อล่อน้ำมันแล้วเอาไปวางไว้ตรงกลางถ้วย ทำการจุดไฟให้ติด ก็จะได้เปลวเพลิง ให้ทำการทดลองปรับขนาดและรูปทรงของก้อนไม้หรือก้อนถ่านจนกว่าจะได้เปลวเพลิงที่ปราศจากควัน การจุดก้อนถ่านชุบน้ำมันนั้นให้ใช้ตะเกียบคีบก้อนถ่านไว้แล้วจุดไฟ จากนั้นคีบเอาไปวางไว้ตรงกลางถ้วยน้ำพริก  อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้เทียน ก้อนหุ้มโลหะ (tea candle) ซึ่งถ้าเป็นเชื้อเพลิงที่เป็นสารชั้นดี ตัวหนึ่งราคาประมาณ 1 บาท จะเผาไหม้ได้นานถึง 4 ชม. และไม่มีควันอีกด้วย

 

ประดิษฐ์คิดค้นโดย

นายทวิช จิตรสมบูรณ์

อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

อ.เมือง จ. นครราชสีมา


อุปกรณ์ราคาถูกช่วยแก้ภัยหนาว

ไม่มีความคิดเห็น โดย withwit เมื่อ 14 December 2011 เวลา 8:18 am ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1345

ภัยหนาวมักมาหลังน้ำท่วมเสมอ โดยเฉพาะปีนี้นอกจากน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยแล้วยังท่วมใหญ่ในประเทศจีนและเวียตนามอีกด้วย ซึ่งสองประเทศนี้นับเป็นประเทศ”ต้นลมหนาว”ของไทยเรา

 

 

“ประเด็นอากาศประเทศไทยปีนี้จะหนาวผิดปกตินั้น ผมได้ออกประกาศเตือนไปยังเว็บไซต์ต่างๆ และส่งอีเมล์ไปยังเครือข่ายของผมตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนในขณะที่น้ำกำลังท่วมประเทศ  เช่นที่  http://www.gotoknow.org/blogs/posts/467190    http://lanpanya.com/withwit/archives/747  แต่ดูเหมือนว่ามีคนสนใจอ่านหรือเห็นความสำคัญน้อยมาก”  รศ.ดร.ทวิช จิตรสมบูรณ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล ม.เทคโนโลยีสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา ให้การอธิบาย พร้อมให้เหตุผลว่า ” เมื่อเกิดน้ำท่วม ดินจะอุ้มน้ำไว้ได้มาก พอลมหนาวพัดผ่าน ไอน้ำจากดินจะระเหยสู่อากาศ ทำให้เกิดการดูดความร้อนแฝงจากอากาศ ทำให้อากาศเย็นลงได้มากกว่าปกติ”

 

เมื่อได้เล็งเห็นภัยหนาวรุนแรงล่วงหน้า อาจารย์ทวิชจึงได้คิดค้น ประดิษฐ์ และทดลองอุปกรณ์ช่วยบรรเทาภัยหนาวราคาถูกไว้แต่เนิ่นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเด็กนักเรียนและประชาชนในท้องถิ่นห่างไกลความเจริญและมีรายได้น้อย ปรากฏผลจากการทดลองว่าได้ผลดีมากทีเดียว อีกทั้งเป็นระบบราคาถูกที่ง่ายจนผู้คนส่วนใหญ่สามารถสร้างใช้ได้เอง

 

วิธีการประดิษฐ์และหลักการทำงานอุปกรณ์แก้หนาวนี้  เป็นดังนี้

  • 1) หากระถางดอกไม้ดินเผาที่มีการเจาะรูระบายน้ำไว้ที่ก้น ขนาดสักสองลิตรมาหนึ่งใบ
  • 2) เอากระถางกล้วยไม้ขนาดเล็กกว่าที่มีการเจาะรูโดยรอบครอบลงไปที่ก้น โดยเอาปากกระถางเล็กไปครอบรูที่ก้นกระถางใหญ่
  • 3) เอาหินขนาดก้อนใหญ่สักเท่าหัวแม่มือเทลงไปสักสองลิตร ให้เต็มกระถาง
  • 4) นำกระถางบรรจุหินนี้ไปวางตั้งไว้บนกระถางกล้วยไม้คว่ำหน้าที่มีการเจาะรูโดยรอบอีกใบหนึ่ง (ก้นกระถางกล้วยไม้นี้ก็ต้องมีการเจาะรูด้วย) โดยที่กระถางกล้วยไม้นี้ก็วางคร่อมตะเกียงน้ำมันไว้ด้วย
  • 5) ทำการจุดตะเกียง (ซึ่งอาจเป็นตะเกียงน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันพืชก็ได้ ..โดยเฉพาะน้ำมันพืชใช้แล้วจะทำให้ประหยัดได้มาก) ความร้อนจากเปลวไฟตะเกียงจะรอดผ่านรูที่ก้นกระถางเข้าไปในโพรงกระถางกล้วยไม้ที่คว่ำหน้าอยู่ด้านในของกระถางใหญ่ แล้วส่งความร้อนซึมผ่านชั้นหินขึ้นไป ทำให้หินร้อนขึ้นเรื่อยๆ ควรปรับแต่งตะเกียงให้ไม่มีควัน แต่ถ้ามีควันเล็กน้อย ควันจะถูกกรองโดยชั้นหินได้เกือบหมด
  • 6) ในเวลาประมาณ 15 นาที หินทั้งหมดจะร้อนมากจนสัมผัสไม่ได้ ณ จุดนี้สามารถยกเอาระบบทั้งหมดไปวางไว้ใต้เก้าอี้นั่ง เช่น เก้าอี้นักเรียน เพื่อทำความอุ่นให้แก่ผู้นั่ง ในระหว่างการทำอุ่นนั้นอาจดับไฟตะเกียงหรือจุดติดทิ้งไว้ก็ได้ (ขอแนะนำให้จุดติดทิ้งไว้เพื่อความอุ่นต่อเนื่องแต่หากดับไฟจะอยู่ได้ประมาณ 1 ชม.)
  • 7) สำหรับผู้นั่งนั้นให้สวมเสื้อกันฝนพลาสติกทับด้วย โดยเปิดคอเสื้อพอหลวมๆ แล้วปิดชายขอบเสื้อด้านข้างให้มิดชิด เช่น โดยการพับตะเข็บแล้วใช้คลิปหนีบกระดาษมาหนีบไว้เป็นระยะ ทั้งนี้เพื่อกันลมอุ่นจากภายในรั่วออกด้านข้างลำตัวเสียหมดก่อนที่จะทำความอบอุ่นให้แก่ลำตัว ชายขอบเสื้อกันฝนให้คลุมตัวเก้าอี้ไว้

 

(ถ้าไม่มีกระถางดอกไม้ให้หากระป๋องโลหะ หรือภาชนะอื่นใดมาดัดแปลงทดแทน โดยคำนึงให้ได้หลักการทำงานเดียวกัน โดยเฉพาะการระบายอากาศเย็นอากาศร้อน การเผาไหม้)

 

ระบบนี้เป็นระบบ “การเผาช้า” ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยมากเมื่อเทียบกับการก่อไฟผิง อีกทั้งยังสะอาดกว่ากันมาก กล่าวคือมีควันและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ คาร์บอนมอนนอกไซด์น้อยมาก (ตัวหลังนี้เป็นก๊าซที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย)  ทำให้สามารถใช้งานในห้องเรียนหรือห้องทำงานได้อีกด้วย

 

อาจารย์ทวิช อธิบายว่า การคายความร้อนออกจากร่างกายของคนเราถือเป็นสิ่งจำเป็นด้านสรีระ  การคายความร้อนในอัตราและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากจะทำให้ร่างกายรู้สึกสบายแล้ว ยังช่วยเสริมสุขภาพอีกด้วย แต่การคายความร้อนน้อยเกินไปจะทำให้รู้สึกร้อน ตรงกันข้าม..การคายมากเกินไปก็ทำให้รู้สึกหนาว คนไทยโดยเฉลี่ยและโดยปกติต้องการคายความร้อนออกจากร่างกายประมาณ  1 ล้านจูลส์ต่อวัน

 

ความรู้สึกหนาวจากการคายความร้อนมากกว่าปกตินั้นอาจบรรเทาได้ด้วยการทำให้อุณหภูมิแวดล้อมผิวกายให้สูงขึ้นเพื่อลดการสูญเสีย (หรือคาย) ความร้อน 

 

ระบบตะเกียงน้ำมันอุ่นหินเพื่อให้หินดูดซับความร้อนจากการเผาไหม้แล้วส่งความร้อนต่อให้แก่อากาศภายในเสื้อกันฝนพลาสติกนี้จะใช้เชื้อเพลิงน้อยมาก เพราะน้ำมันพืชใช้แล้ว 1 ขีด มีพลังงานความร้อนถึงประมาณ 4 ล้านจูลส์ ดังนั้นถ้านำความร้อนที่ได้จากการเผาไหม้ทั้งหมดมาปลดปล่อยแบบช้าๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียความร้อนของร่างกายได้อย่างหมดจรด ในเวลาหนึ่งวันเราจะต้องการน้ำมันเพียงหนี่งในสี่ของหนึ่งขีดเท่านั้นเอง ถ้าน้ำมันพืชใช้แล้วราคากิโลละ 5 บาท ก็เท่ากับว่าเราจะเสียค่าเชื้อเพลิงในการอบอุ่นร่างกายด้วยวิธีนี้เพียง ครึ่งสลึงต่อวันเท่านั้นเอง

 

สำหรับการเผาไหม้ทั่วไป (เช่น การก่อกองฟืน) เป็นการเผาแบบเร็ว ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมาก โดยที่พลังงานส่วนใหญ่เป็นการสูญเสียไปสู่บรรยากาศ ไม่ได้นำมาช่วยลดการสูญเสียความร้อนให้แก่ร่างกาย

 

“จากการที่ผมได้ทำการทดลองด้วยตัวเอง พบว่าระบบการเผาช้า แล้วหน่วงความร้อนด้วยหินนี้ ให้ความอบอุ่นได้ดี โดยใช้เชื้อเพลิงประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อชั่วโมง ซึ่งแม้จะมากกว่าค่าการคำนวณทางทฤษฎีไปมาก ก็ยังน้อยกว่าการก่อกองฟืนนับพันเท่า อีกทั้งยังสะดวกกว่า และสะอาดว่ามากอีกด้วย”

 

สำหรับการนอนหลับในช่วงกลางคืน อาจารย์แนะนำให้เอาอุปกรณ์นี้ตั้งไว้ใต้เตียงนอน จากนั้นทำการคลุมผู้นอนด้วยผ้าพลาสติกก่อนที่จะคลุมด้วยผ้าห่มที่ชั้นด้านนอก อย่าลืมด้วยว่าต้องเปิดรูเล็กให้อากาศบริสุทธิ์ซึมเข้าไปใต้เตียงได้ด้วย เพื่อความจำเป็นในการเผาไหม้ของตะเกียง โดยที่ผ้าพลาสติกจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความอุ่นรั่วออกด้านนอกผ่านรูพรุนของผ้าห่มไปเสียก่อน

 

ถ้าไม่มีตะเกียงจะใช้เทียนขนาดใหญ่ เช่น เทียนพรรษาที่เอามาหั่นเป็นแว่น แทนก็ได้ ส่วนตะเกียงนั้นอาจหาซื้อมา หรือทำขึ้นเองแบบง่ายๆ ก็ได้ เช่น เอาถ้วยน้ำพริกมาใส่น้ำพืชลงไป แล้วเอาก้อนถ่านหรือไม้ผุๆ ชุบน้ำมันเพื่อล่อน้ำมันแล้วเอาไปวางไว้ตรงกลางถ้วย ทำการจุดไฟให้ติด ก็จะได้เปลวเพลิง ให้ทำการทดลองปรับขนาดและรูปทรงของก้อนไม้หรือก้อนถ่านจนกว่าจะได้เปลวเพลิงที่ปราศจากควัน การจุดก้อนถ่านชุบน้ำมันนั้นให้ใช้ตะเกียบคีบก้อนถ่านไว้แล้วจุดไฟ จากนั้นคีบเอาไปวางไว้ตรงกลางถ้วยน้ำพริก  อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้เทียน ก้อนหุ้มโลหะ (tea candle) ซึ่งถ้าเป็นเชื้อเพลิงที่เป็นสารชั้นดี ตัวหนึ่งราคาประมาณ 1 บาท จะเผาไหม้ได้นานถึง 4 ชม. และไม่มีควันอีกด้วย

 

“วิธีการอุ่นอากาศเช่นนี้อาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ความจริงแล้วมีหลักการทางฟิสิกส์ วิศวกรรมศาสตร์ และสรีรวิทยา ที่ซับซ้อนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งครูอาจารย์ที่สอนวิชาวิทยาศาสตร์ในระหว่างช่วงหน้าหนาวนี้อาจใช้เป็นหัวข้อการสอนให้นักเรียนที่กำลังนั่งคร่อมเตาอยู่ได้อย่างดีทีเดียว พร้อมทั้งให้นักเรียนคิดค้นหาทางปรับปรุงอุปกรณ์ให้ดีขึ้นด้วย”   อาจารย์ทวิช กล่าวในที่สุด



Main: 0.27789282798767 sec
Sidebar: 0.010219097137451 sec