สีชมพูลานตา
ออกเดินทางกันมาต่อ คุยกันในรถมาได้เรื่อยๆ รถบัสคันหนึ่งที่นั่งกันมา คุยแลกเปลี่ยนกันเรื่องวิชาการหลายเรื่อง ได้พี่โจวิเคราะห์เรื่องการเมืองให้ฟัง ขอไม่เล่าในที่นี้ดีกว่า กลัวว่าจะโดนปิดบล็อกอ่ะค่ะ
ทิวทัศน์์ริมทางที่ผ่าน พอจะเห็นการใช้ชีวิตของผู้คน ช่วงต้นๆของเส้นทางจะเห็น อาชีพของคนว่าใช้ประโยชน์จากทรายมาทำอิฐมากมาย มีการทำการเกษตรประปราย ส่วนใหญ่เป็นไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีไร่ถั่วปอเทืองด้วย ต้นสูงท่วมหัวเชียวแหละ
ห้องแถวรอคนมาเช่าเห็นแล้วเป็นไง เลี้ยงม้าไว้หน้าบ้านเหมือนเลี้ยงไก่เลย สังคมเล็กๆริมทางเป็นอย่างที่เห็น..สบายๆดีเนอะ
การสัญจรในแถบชนบทที่เห็น ต่างจากที่ผ่านมาตรงที่ รถลากใช้ม้า ล้อรถลากมีลักษณะที่แปลก ไม่เห็นรถยนต์เลย สภาพบ้านเรือนที่อาศัยเป็นบ้านสร้างๆค้างๆแบบไม่เสร็จหรือดูเหมือนตึกที่ถูกรื้ออย่างงั้นแหละ เห็นแล้วแปลกที่มีคนอยู่
ไม่ใคร่มีร้านค้าริมทางให้เห็นเหมือนกับเมืองที่เพิ่งผ่านมา แผ่นป้ายโฆษณาต่างๆก็ไม่เห็น แดดเยอะมากเช่นกัน ที่แปลกกว่าบ้านเราก็คือ เขาเลี้ยงม้า เลี้ยงควายกันไว้ที่ลานบ้าน เหมือนชนบทบ้านเราเลี้ยงไก่แฮะ
บ้านเราเลี้ยงควายไว้ช่วยทำนา คนอินเดียเขาเลี้ยงควายไว้ใช้มากกว่าเรา เขารีดนมไว้ดื่มเหมือนนมวัว นมแพะด้วย
ควายอินเดียนี่ดูไกลๆเหมือนวัว ถ้าไม่เห็นสีดำๆของหนังอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นวัว หัวเล็ก คอบาง ตัวกว้างใหญ่ หน้าผากกว้างนูน เขาบิดโค้งไปด้านหลังม้วนเข้าในคล้ายวัวมากเลย ตัวมันหนักเหมือนควายไทย เขาว่าตัวเมียอุ้มท้องนานเกือบปีจึงคลอด ไม่รู้ว่าลูกดกหรือเปล่า แม่ควายตั้งท้องนาน ๓๑๔ วัน ให้นมได้นาน ๓๐๐ วัน ตัวหนึ่งให้นมเฉลี่ยวันละ ๔-๕ ลิตร ควายไทยก็เป็นอย่างนี้
นี่ก็เป็นอีกภาพทัศน์ของชีวิตสบายๆ เปลี่ยนจากเลี้ยงม้าเป็นเลี้ยงควายตรงลานบ้าน ชีวิตพอเพียงหรือเปล่าต้องให้เจ้าของเป็นคนตอบ
ใครไม่รู้รู้ไว้นะว่านมควายมีสารอาหารมากกว่านมวัว มีไขมันเนยสองเท่าของนมวัว แต่คอเลสเตอรอลต่ำกว่า มีโปรตีนสูงกว่านมวัว นมแกะ นมแพะ มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส และวิตามินเอ นมสดจากเต้าให้สารต้านอนุมูลอิสระ คนแพ้นมวัวดื่มนมควายไม่แพ้
นมควายถูกนำไปทำโยเกิร์ตและมอสซาเรลลาชีส ชีสที่ใช้ในพิซซ่า เป็นวัตถุดิบที่ใช้ในปริมาณน้อยกว่านมวัว
ชีส ๑ กิโลกรัม ใช้นมควายแค่ ๕ กิโลกรัม แต่ใช้นมวัว ๘ กิโลกรัม เนย ๑ กิโลกรัม ใช้นมควาย ๑๐ กิโลกรัม แต่ถ้าใช้นมวัวต้องใช้ ๑๔ กิโลกรัม
เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าเขตตลาด สิ่งที่แปลกตาไปยังมีเรื่องขยะ มีขยะเกลื่อนเหมือนกัน ดูสะอาดตากว่าหลายเมือง ชีวิตผู้คนในเมือง ดูเหมือนๆในตลาดบ้านเรา พาหนะที่ใช้สัญจรมีทุกรูปแบบให้เห็น จักรยาน มอร์เตอร์ไซด์ รถเมล์ และไม่ใคร่เห็นรถเก๋ง
มาที่นี่ไม่เห็นทหาร เห็นก็แต่ตำรวจจับกลุ่มหลบแดดกัน รถยนต์ไม่ใคร่เห็น เห็นมอร์เตอร์ไซด์ สามล้อถีบ กับจักรยานมากกว่า
ระยะเวลาเดินทางของวันนี้ถูกใช้ไปพอๆกับการเดิน ทางจากเดลีไปอัครา คือ ๔-๕ ชั่วโมง ถึงกันประมาณบ่าย ๒ กว่าๆ เห็นสภาพเมืองก็พอเข้าใจว่าเหตุใดพี่แดงจึงเลือกให้พวกเรากินอาหารเที่ยงในโรงแรมที่พัก
อาหารของโรงแรมพอกินได้ในความรู้สึกของฉัน สงสัยจะเป็นเพราะกินอาหารซ้ำๆมาหลายมื้อเลยชักเบื่อ เมนูส่วนใหญ่ไม่ใคร่มีเนื้อสัตว์ มื้อนี้พวกเราได้ไข่เจียวมาช่วยให้เจริญอาหาร เติมพลังกันเรียบร้อย ก็เดินทางต่อเข้าไปสัมผัสเมืองกัน
เมืองนี้แปลกกว่าเมืองอื่น มีพนักงานกวาดถนนด้วย เป็นผู้หญิงใส่ส่าหรีทำงาน เป็นเครื่องแบบ ตึกเก่าๆบางตึกยังเห็นสีชมพู บางตึกก็ไม่เห็นแล้ว ความสวยงามของตึกต่างไปจากเมืองที่ผ่านตามาแล้ว
บรรยากาศของเมือง ตลาด และโรงแรมแห่งหนึ่งกลางตลาด (ภาพที่ ๒ จากขวา )
เมืองใหม่นี้ชื่อว่า “นครแห่งชัยชนะ” หรือ เมืองชัยปุระ เมืองหลวงของรัฐราชสถาน เมื่อเห็นเมือง ก็รู้สึกว่ามีสีสันเต็มไปหมด เฉดเดียวกันซะด้วย ที่เมืองถูกทาสีเฉดนี้ก็เพื่อต้อนรับการเสด็จเยือนของของ Prince of Wale ซึ่งต่อมาคือ King Edward VII แห่งสหราชอาณาจักร และเมืองนี้เป็นชุมชนศิลปินและช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตสินค้า หัตถกรรมหลากหลายชนิด และเป็นที่มาของฉายา”นครสีชมพู” ที่ใช้เรียกกัน ผู้สร้างเมืองนี้ขึ้นมาคือมหาราชาไสว ชัย สิงห์ ที่ ๒
๘ สิงหาคม ๒๕๕๓
« « Prev : ระเบิดเวลาอยู่ที่นี่เอง
1 ความคิดเห็น
ภาพชัดมากเลยค่ะ
ดูแล้วเมืองอินเดียน่าไปนะคะ ความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างไรบ้างคะ