สกุลงานศิลปะแนว Expressionismเติบโตและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยการนำของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่นาม Edvard Munchผู้ซึ่งปฏิวัติการแสดงออกทางศิลปะที่เน้นการระบายออกของจิตใจภายใต้แรงบีบบังคับซึ่งทะลักออกไม่ได้ด้วยภาวะจิตใจของตนเองซึ่งขาดพลังบางอย่าง ดังนั้นการระบายด้วยการแสดงออกทางศิลปะจึงเป็นสิ่งช่วยศิลปินให้มีความผ่อนคลาย
Expressionism ถือกำเนิดจากแนวคิดการแสดงออกอย่างฉับพลันทันใด ไม่เน้นว่าต้องร่างภาพ ไม่ต้องคิดวางแผนอะไรมาก แต่แสดงออกภายใต้แรงขับภายในของศิลปิน โดยไม่ได้ยึดถือกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับใด ๆ แม้แต่ทฤษฎีสีที่ศิลปินยอมรับเป็นตำราเรียนต่อ ๆ กันมาดังนั้นฝีแปรงจึงดิบ ๆ แรง ๆ
ผลงานของ Edvard Munch
เช่นเดียวกับการสอนเด็กน่ารักพิเศษวันนี้ ครูออตเอาแนวคิดในเรื่องนี้กลับมาสอนเด็กน่ารักพิเศษ โดยให้เขาได้ปลดเปลื้องและระบายสิ่งที่กดดันออกมาเป็นงานศิลปะ ซึ่งน้องมีจินตนาการและความต้องการวาดสิ่งต่าง ๆ มากมายแต่หลายครั้งกลับวาดสิ่งนั้นออกมาเป็นภาพไม่ได้ ความหงุดหงิดนี้บางครั้งทำให้แสดงออกมาแบบกร้าวร้าวอยู่บ้าง ดังนั้นการให้เขาผลักแรงขับออกมาจึงน่าจะเป็นช่องทางให้เขาได้ผ่อนครายความกดดันลงบ้าง ไปตามดูการทำงานของเด็กน่ารักพิเศษคนนี้ครับ
ครูออตติดกระดาษไว้บนกระดานเพื่อให้ง่ายต่อการออกลีลาท่าทาง ซึ่งการยืนทำงานทำให้อิสระในการเคลื่อนไหว
แม้จะมีกระดาษ แต่ศิลปินน้อยระบายออกนอกกระดาษทุกครั้ง ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะเขาต้องการพื้นที่ที่ลื่นไหลและอิสระกว้างใหญ่
บางครา พู่กันอย่างเดียวระบายออกไม่ถึงใจ เด็กน่ารักพิเศษของครูออต ขอเปลี่ยนเป็นฟองน้ำแทน อิอิ มีหรือครูออตจะหวง จัดไปปปปปปปปปปปปปปปปปปปป
ผลงานของเด็กน่ารักพิเศษของครูออตครับ ตอนแอบถ่ายเวลาทำงานไม่เคยอาย แต่พอให้ถ่ายกับผลงาน ผมอายครับ อิอิ อาย อาย อาย
เสร็จภารกิจและผ่อนคลาย ครูออตให้น้องทำความสะอาดวัสดุอุปกรณ์ด้วยตนเอง เพราะในอนาคตต้องช่วยเหลือตนเองให้มาก ๆ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นศิลปะนิสัย ที่ครูควรคำนึง
เป็นอย่างไรบ้างครับ ห้องเรียนศิลปะสกุล Expressionism ของเรา ท่านไหนสนใจลุกขึ้นมาวาดรูป เชิญเลยครับ ระบายมันออกมาก่อนที่เส้นเลือดในสมองจะแตก อิอิ
เสียงเด็ก ๆ เจี้ยวจ้าวมาแต่ไกล เมื่อผลักประตูเข้าห้องเรียนศิลปะก็ได้รับการตอบรับจากเด็ก ๆ วิ่งกรูเข้ามาทักทายครูกันอย่างสนุกสนาน เด็ก ๆ ที่น่ารักต่างแย่งเล่าเรื่องของตนเองให้ครูฟัง อิอิ ครูออตรับไม่ไหวก็ได้แต่อื้อๆๆ ครับๆๆ หลังฟังพอหอมปากหอมคอแล้ว เด็ก ๆ ก็กระจายกันไปเข้าประจำเก้าอี้ตัวเอง
วันนี้ครูออตคิดถึงงานของศิลปินเอกของโลกที่ใช้การสร้า้งสรรค์งานศิลปะด้วยจุด คือ แทนที่จะใช้การลากเส้นให้เกิดรูปทรงแต่ศิลปินใช้จุดเล็ก ๆ ต่อกันหรือประสานกันเพื่อสร้า้งรูปร่างรูปทรงตามจินตนาการของศิลปินเอง เราเรียกศิลปะสกุลนี้ว่า Pointillism แม้แต่ Vincent van Gogh ก็ยังเคยใช้เทคนิคการจุดนี้สร้า้งสรรค์ผลงานของเขา ศิลปินไทยเช่นธีระวัฒน์ คะนะมะ ก็ใช้เทคนิคนี้ในการทำงานศิลปะของเขา
( Vincent van Gogh วาดภาพเหมือนตัวเองด้วยจุด ภาพประกอบจาก http://en.wikipedia.org)
(ตัวอย่างผลงานการสร้างสรรค์จุดของธีระวัฒน์ คะนะมะ ศิลปินชาวอีสาน)
การวาดภาพด้วยจุดแบบนี้ หากสังเกตให้ดีเราจะพบว่า มันช่วยฝึกสมาธิได้้เป็นอย่างดี เพราะเราจะจดจ่ออยู่กับตำแหน่งที่เราจะแต้มจุดหรือแต้มสีลงไปเสมอ ๆ ที่ละจุด ๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า การสร้า้งสรรค์งานจิตรกรรมด้วยจุดนี้จะช่วยให้เด็ก ๆ มีสมาธิมากขึ้น ดังนั้นวันนี้ครูออตจึงเอาการทำงานแบบนี้มาทดลองให้เด็ก ๆ ทำ
แต่เพื่อให้ทันเวลา ครูออตเปลี่ยนจากการจุดด้วยพู่กันมาใช้นิ้วมือแทน ซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ ทำงานเสร็จทันเวลาและพอเหมาะกับสมาธิของเด็กในช่วงวัยนี้เนื่องจากจุดของนิ้วมือใหญ่กว่าจุดพู่กัน อันจะทำให้งานเสร็จได้ในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงนี้
เมื่ออธิบายเรื่องราวของศิลปินและตัวอย่างผลงานให้เด็ก ๆ เข้าใจคร่าว ๆ แล้ว ครูออตก็ปล่อยให้เด็ก ๆ ลงมือทำงานของตนเองอย่างอิสระ แน่นอนครูออตเป็นเพียงผู้ดูแล อำนวยความสะดวกในการทำงานของเด็ก ๆ เท่านั้น การวาดภาพด้วยการจุดด้วยนิ้วมือแสดงผลอย่างชัดเจนเพราะชั่วโมงนี้เสียงเจี้ยวจ้าวในห้องเรียนเปลี่ยนเป็นความเงียบสงบอย่างไม่น่าเจอว่านี่เป็นห้องศิลปะของเด็ก อิอิ
(บรรยากาศการทำงานของเด็ก ๆ ที่ต่างจดจ้องอย่างมีสมาธิอยู่กับผลงานศิลปะของตนเอง)
เด็ก ๆ กับผลงานศิลปะที่ภาคภูมิใจ
วันนี้เป็นวันแรกที่ ผอ. จับเด็กน่ารักพิเศษของผมออกมาสอนต่างหากจากกลุ่มเพื่อน ด้วยเพราะเธอเป็นเด็ก(น่ารัก)พิเศษนั้นเอง เรื่องนี้เป็นปม(คิดคำอื่น ๆ แทนไม่ออกตอนนี้)ที่เราต้องหาทางออกช่วยกัน ระหว่าง ผู้ปกครอง เจ้าของโรงเรียนและครูผู้สอน ซึ่งกรณีนี้เป็นกรณีแรก ๆของโรงเรียนศิลปะแห่งนี้
น้องบั๊ค เป็นเด็กน่ารักพิเศษของผม ซึ่งมาเรียนศิลปะในช่วงเช้าของวันอาทิตย์ได้สามสี่ครั้งแล้ว และทุกครั้งที่เข้าห้องเรียนร่วมกับเพื่อน ๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกันก็มักเจอปัญหาเพราะน้องบั๊คจะอาละวาดเมื่อมีเพื่อนร่วมห้องทำเสียงดังหรือมีการกระตุ้นด้วยเสียงดังทั้งที่เพื่อนไม่ได้ตั้งใจ จนเพื่อนในห้องหวาดกลัวและไม่อยากเรียนด้วย
เรื่องนี้เราผู้สอนเข้าใจผู้ปกครองดี ที่ต้องการให้ลูกเรียนร่วมกับคนอื่น แต่กระบวนการเรียนในห้องซึ่งมีแต่ความหวาดระแวงก็ทำให้เสียบรรยากาศของความคิดสร้า้งสรรค์ได้ เรื่องนี้เราจบลงด้วยการแยกน้องมาเรียนเฉพาะกับผมโดยค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมก่อนส่งกลับเข้าไปเรียนร่วมกับเพื่อนใหม่อีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ผู้ปกครองก็ยอมรับได้ เจ้าของโรงเรียนก็ยอมรับได้ส่วนผมเองก็พร้อมอยู่แล้ว
วันนี้จึงเป็นวันแรกที่น้องบั๊คกับผมเรียนด้วยกันสองคน ซึ่งบรรยากาศการเรียนวันนี้เป็นไปตามแผนการสอนที่วางเอาไว้และเกินความคาดหวังเสียด้วยซ้ำ
หลังเรียนด้วยกันมาระยะหนึ่งผมจับ “จุดพิเศษ” ของน้องบั๊คได้สองอย่างคือ น้องชอบทดลองชอบเล่นสี น้องชอบวาดงานศิลปะบนกระดาษแผ่นใหญ่ ๆ กว้าง ๆ ดังนั้นแนวทางของชั่วโมงแรกจึงเป็นเรื่องของการทดลองและความกว้างใหญ่ ซึ่งผมออกแบบการเรียนรู้โดยการทดลองผลิตสีธรรมชาติซึ่งเคยใช้กับเด็กปกติ บวกกับการเพิ่มพื้นที่ในการวาดให้ใหญ่ขึ้นพิเศษให้สมเป็นเด็กน่ารักพิเศษ
บรรยากาศวันนี้จึงสนุกสนานและไร้การอาละวาดจากน้องบั๊ค อาจจะมีบ้างที่เธอเล่นแผลง ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรแต่ดีกับน้องเสียด้วยซ้ำที่ได้ทดลองอะไรแปลก ๆ วันนี้บั๊คได้ทดลองผลิตสี ผสมสี ระบายสีทั้งนั่งระบาย ยืนระบาย ขึ้นเก้าอี้ระบาย ซึ่งตลอดเวลาเราจะพบรอยยิ้มและหัวเราะตลอดชั่วโมง ส่วนหนึ่งเพราะน้องได้สัมผัสสุนทรีย์ผ่านสัมผัสครบทุกด้าน(ผมคิดเอง)
ตาของน้องได้ดู ชม งานศิลปะ หูของน้องได้ยินเสียงครกกระทบสากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตสี ลิ้นของน้องยังได้มีโอกาสชิมสีที่เราผลิตขึ้นจากอัญชัน จมูกของน้องยังได้กลิ่นหอม ๆ จากกาแฟที่เราเอามาทำสี กายของน้องยังได้สัมผัสสีสัมผัสงานศิลปะและลงมือทำงานศิลปะเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่กระตุ้นให้น้องได้สนุก ๆ สนานในทุกสัมผัสและโดยเฉพาะ “ใจสัมผัส” กับครูใจดีอย่างผม (อิอิ ชมตะเอง)
กิจกรรมการผลิตสี กิจกรรมที่น้องชอบเพราะได้ทดลอง ได้ลงมืือด้วยตนเอง สังเกตรอบยิ้มซิครับ(มีความสุข)
Action การทำงานศิลปะของศิลปินน้อยตั้งแต่ ยืนวาด ยินบนเก้าอี้วาด การราดสีที่ผลิตขึ้นด้วยช้อนแทนการวาดด้วยพู่กัน
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา HUG SCHOOL ได้จัดงาน tuning up at Hug School โดยเชื้อเชิญคุณครูที่สอนที่โรงเรียนมาเจอกันและเปิดเวทีแนะนำทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก โยมีทีมบริหารโรงเรียนและทีมที่ปรึกษามาเจอคุณครูถ่ายทอดแนวคิดและประสบการณ์ให้แก่คุณครูได้รับฟัง
สิ่งที่พิเศษของโรงเรียนศิลปะ ดนตรีและเต้นรำแห่งเมืองขอนแก่นนี้มีจุดพิเศษอยู่ที่การพยายามผลักดันแบรนด์ท้องถิ่นให้เติบโตและแข็งแรง อยู่กับคนท้องถิ่นได้และมีคุณภาพเทียบแบรนด์ดัง ๆ ที่ขยายกิจกรการมาอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งหัวใจของการต่อสู้กับแบรนด์ใหญ่ ๆ ของแบรนด์ท้องถิ่นคือ หัวใจ นั้นเอง
ครอบครัว วัฒนศัพท์ เป็นครอบครัวหนึ่งที่พยายามมุ่งสร้างแบรนด์ของท้องถิ่นและโรงเรียนศิลปะ ดนตรีและเต้นรำนาม HUG SCHOOL นี้ก็เป็นอีกแบรนด์ที่ครอบครัวนี้พยายามผลักดันให้เกิดขึ้น โดยนำเอาแนวคิดที่ครอบครัวประสบอยู่และเห็นว่ามันต้องเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตสมัยใหม่เช่นการปลูกฝังศิลปะให้ทุกคนในครอบครัว
ครอบครัวนี้มีจุดร่วมทที่สำคัญอย่าหนึ่งคือ ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวศิลปะ แม้ว่าภาพรวมของคนในครอบครัวจะออกไปทางวิทยาศาสตร์และเน้นไปทางวิทยาศาสตร์สุขภาพด้วยอย่างคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์เป็นแพทย์ศัลยกรรมมือฉมัง คุณแม่รัตนภรณ์ก็เป็นพยาบาลมาก่อน คุณหมอหนึ่งลูกชายคนโตก็เป็นหมอผ่าตัดทางด้านหูคอจมูก และสมาชิกอีกกลุ่มก็หันไปสนใจวิชาชีพทางด้านศิลปะ พี่โหน่งเป็นนักแต่งเพลงและนุช(เพื่อนผม)ก็สนใจงานด้านการออกแบบ แต่ไม่ว่าจะสนใจสายวิชาชีพไหนแต่ทุกคนครอบครัวนี้ล้วนสนใจศิลปะทั้งการเป็นศิลปินและการเป็นผู้เสพในศิลปะบางแขนง
HUG SCHOOL ปรารถนาให้ ศิลปะ เป็นส่วนหนึ่งหรือปัจจัยหนึ่งของชีวิตผู้คนไม่ได้มองว่าเป็นความต้องการแต่อยากให้ศิลปะเป็นความจำเป็นสำหรับชีวิต ดังนั้นศิลปะที่นี่จึงหลากหลายชนิดและหลากหลายกลุ่มคนที่สนใจมาเรียนไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น คนทำงาน ผู้สูงอายุ
HUG SCHOOL ปรารถนาให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ผ่านการปลูกฝังวิชา เอ๊ะศาสตร์ (วาทกรรมของคุณหมอวันชัย วัฒนศัพท์) ที่มุ่งเน้นให้นักเรียนศิลปะมีคำถามต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ เพราะเมื่อเดคำถามก็จะเกิดจินตนาการเพื่อแสวงหาคำตอบ และนำมาซึ่งการค้นพบคำตอบ ส่วนบางคำตอบที่ไม่ใช่ก็จะกลายเป็นจินตนาการที่สักวันหนึ่งกลายเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมันคือความคิดสร้างสรรค์
ท่านไหนสนใจก็ลองแลกเปลี่ยนกับโรงเรียนแห่งนี้ได้ครับที่ www.hugschool.com
วันเสาร์และวันอาทิตย์รับหัวโขนของการเป็นครูศิลปะที่ HUG SCHOOL ซึ่งสุดสัปดาห์นี้ผมมีห้องเรียนทั้งสองวันคือเสาร์เช้าและอาทิตย์บ่าย งานนี้จึงต้องการพลังงานอยู่พอสมควรทั้งพลังงานในการเตรียมการสอนและพลังงานในการสอน
สัปดาห์นี้ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต ผมวางแผนการสอนเรื่องการคิดที่หลากหลายไว้สำหรับเด็ก ๆ ซึ่งการคิดที่หลายหลายนี้จะช่วยกระตุ้นให้เด็ก ๆ เปิดลิ้นชักสมองของตนเองได้หลายช่องมากขึ้น เรื่องนี้จะช่วยให้เด็ก ๆ เขียนรูปที่มีรายละเอียดมากขึ้นได้ เรื่องนี้ผมเห็นว่าจำเป็นเอาอยู่มาก
หากเราลองสังเกตเด็ก ๆ ที่ขาดการส่งเสริมเรื่องการคิดที่หลากหลายจะวาดรูปซ้ำ ๆ กันไปเกือบทุกครั้งเหมือนที่เราพบ ภูเขา ต้นมะพร้าว พระอาทิตย์และกระท่อม ซึ่งไม่ว่าต้นเทอมหรือปลายเทอม รูปทรงที่นำเสนอในภาพวาดของเราก็ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงวนเวียนอยู่เช่นเดิม ดังนั้นครูศิลปะจึงควรกระตุ้นการคิดที่หลากหลายให้แก่เด็ก ๆ
เด็กเล็กผมเริ่มด้วยกิจกรรมที่ง่านแสนง่าย โดยการเอานิทานเรื่องสวิมมี่ ๆ มาเล่าให้เด็กฟัง เรื่องสวิมมี่เป็นเรื่องของปลาตัวเล็ก ที่โดนปลาใหญ่ในท้องทะเลไล่กิน เมื่อหลุดออกไปจากฝูงก็ไปเจอสิ่งต่าง ๆ มากมายในท้องทะเลทั้งแมงกรพรุน สาหร่ายทะเล ดอกไม้ทะเล ปลาอื่น ๆที่สวยงาม
นิทานเรื่องนี้จะชวยให้เด็ก ๆ ค้นพบสิ่งแปลกใหม่ หลากหลายในท้องทะเล ซึ่งนิทานที่นำมาเล่าเป็นนิทานภาพที่ครูออตเล่าไปอ่านไปและบางตอนก็เผลอแสดงเป็นเจ้าสวิมมี่ด้วย การกระตุ้นด้วยนิทานในเด็กเล็กได้ผลไปซะทุกครั้ง เพราะนิทานกับเด็ก ๆ เป็นของคู่กัน
หลังจากจุดประกายด้วยนิทาน ก็มาถึงเวลาของเด็ก ๆ ในการคิดฝันถึงทะเลในจินตนาการของตนเอง ซึ่งแต่ละคนก็กลายร่างตัวเองเป็น เจ้าสวิมมี่ แวกว่ายน้ำทะเลไปพบสัตว์ต่าง ๆ ที่ตนเองเปิดลิ้นชักสมองเจอ ซึ่งสัตว์ที่เจออยู่ในทะเลนั้นอาจจะแตกต่างกันไป โดยหลายคนก็เอาตัวตนและสิ่งที่ตนเองชอบลงไปในทะเลด้วยซึ่งก็ไม่ผิดแต่ประการใดเช่น ไอ้มดแดง(น้องเคน) ก็มีสัตว์ทะเลที่เป็นหุ่นยนต์ด้วยสมกับเป็นไอ้มดแดงจริง ๆ
KID4s.jpg
HUG SCHOOL ได้ส่งสมุดบันทึกหลังสอนให้ครูศิลปะ ทุก ๆ ครั้งในการสอน ครูมีหน้าที่บันทึกพัฒนาการของเด็กแต่ละคนลงในสมุดบันทึกนี้ โดยการเขียนบันทึกหลังสอนแยกรายละเอียดเป็นเล่ม ๆ ตามเด็กแต่ละคนและรูปแบบการเขียนก็ไม่ได้มีรูปแบบอะไรตายตัว เป็นสิทธิ์ของครูผู้สอนในการบันทึก
หลังสอนเสร็จในวันเสาร์ วันจันทร์เจ้าหน้าที่โรงเรียนก็แกะรายมือเน่า ๆ ของผมออกมา พิมพ์เรียบร้อยสวยงามส่งมาให้ผมเก็บเอาไว้ และเพื่อไม่ให้บันทึกสูญเปล่า ผมจึงขออนุญาตเอาบันทึกที่ผมเขียนถึงเด็กแต่ละคนมาลงอ่านเอาสนุก ๆ ครับ ไปดูกันครับว่าเด็กแต่ละคนของครูออตเป็นอย่างไง
วันนี้เป็นวันแรกที่มาสอน ยูคิ เธอมาแต่เช้าก่อนใคร ครูนุชกลัวเหงาเลยส่งครูออตไปคุยด้วย เราใช้เวลาไม่นานในการทำความรู้จักกัน ครูออตเล่าเรื่องตลกๆให้เธอฟัง เช่นเรื่องเสียงออตที่ดังเป็นที่มาของชื่อครูออต แค่นั้นละ ไม่นานเราก็สนิทกัน ยูคิเป็นเด็กช่างสังเกต ช่างสงสัย และช่างเรียนรู้ เธออยู่ป.1 แต่รู้รอบยังกะเด็กป.6 คุยไปคุยมาจึงถึงบางอ้อ เพราะเธอบอกว่า พ่อ-แม่ มีห้อง Lab ครูออตเดาเอาว่าต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์อะไรราวนั้น มิน่าเธอถึงได้รอบรู้นัก ก่อนสอนครูออตให้เธอเล่นบอร์ดเปล่า เราสร้างสวนยางพาราและโรงงานยางพารากัน สนุกสนานใหญ่ เพราะโรงงานเรามีระบบดีมาก (คิดเป็นวิทยาศาสตร์มีระบบระเบียบ) ยูคิบอกว่าอนาคตอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็อยากวาดรูปและทำงานศิลปะได้ อันนี้ดีจัง เพราะเธอจะได้พัฒนาสมองสองซีกไปพร้อมกันตั้งแต่เด็ก
(สมุดบันทึกน้องยูคิ)
ไอ้มดแดงเดินมาดมั่นเข้ามาในห้อง ทุกคนมองด้วยสายตาจ้องไปที่จุดเดียวกัน หลังจากจ้องหน้าครูออตด้วยความสงสัย เราก็แนะนำตัวกันและกัน พร้อมแนะนำเพื่อนร่วมห้อง (น้องยูคิ อายุ 7 ขวบ) ช่วงนี้เรารอสมาชิกครูออตจึงให้น้องเคนวาดรูปที่บอร์ดกับพี่ยูคิ ซึ่งทั้งสองก็เข้ากันได้ดี โดยเคนวาดรูปไอ้มดแดง ฮีโร่ในฝันก่อนจะจบลงที่ไอ้มดแดงปกป้องโรงงานยางพาราของพี่ยูคิ เคนเป็นเด็กอนุบาลที่ช่างพูด ช่างนำเสนอเรื่องราวของเคนเป็นเรื่องผจญภัยและต่อสู้ อันนี้เห็นทีครูออตต้องลดความดุลงสักหน่อย เพราะดูจากการทำงานศิลปะ เคนจะสนุกสนานแต่รีบมากทำทุกอย่างเร็วเร็วเร็ว ดังนั้นครูออตต้องให้ช้าลงบ้าง ช้าลงบ้าง ดูท่าทางเคนจะสนุกจนไม่อยากไปเรียนดนตรี
(สมุดบันทึกน้องเคน)
ผมรู้จักชอบมิ้นเพราะหลังจากที่เรารู้จักกัน เธอก็ทำตัวเป็นกัญญามิตรที่ดี ชวนคนนั้นคนนี้เล่นด้วยกัน แม้พี่ยูคิกะน้องเคนจะไม่ว่างก็ตาม แต่เธอเองก็ตั้งใจชวน เมื่อทุกเธอคนไม่ยอมเล่นเธอก็มาชวนครูออต อ ิ อิ (ครูออตก็ไม่ว่างครับเพราะล้างจานสีอยู่)
มีเด็กใหม่มาจ้องที่หน้าห้องหนึ่งคน มิ้นก็ทำหน้าที่ PR ชวนเพื่อนใหม่มาวาดรูปที่บอร์ด มิ้นฝีมือและลายเส้นหวานมากมีบุคลิกที่ชื่อและหวานลายเส้นของรูปร่างของเธอจึงถูกใจครูออตมาก วันนี้เธอก็แสดงลายเส้นรูปใบหน้าเธอได้สวยโดยเฉพาะหัวจุกกับดอกไม้ เธอมั่นใจอยู่ในทีเวลาวาดรูปตัวเอง แม้จะหมดเวลาไปนานแต่มิ้นก็ไม่อยากกลับ อิอิ ท่าทางชอบคุณครูแน่ๆเลย
(สมุดบันทึกน้องมิ้น)