เมนูตามใจฉันของครูบา
วันนี้มื้อเที่ยงไปกินข้าวในห้องทำงานเจ้านาย เลขาเขาจัดเมนูมาให้มีหลายอย่าง เมนูปลาในรูปปลาทอดราดพริกและแกงส้มปลาย่างใส่สับปะรด เต้าหู้อ่อนผัดใส่เนื้อหมู ผัดไทยใส่ไข่ซึ่งมีถั่วงอกด้วยประปราย
มองเห็นเมนูก็ตัดสินใจบายผัดไทย เลือกกินแกงส้มปลาย่างกะว่าจะได้เลือกกินสับปะรดบ้าง ปลาย่างบ้างตามสมควร ผัดเต้าหู้ก็จะขอกินแค่เต้าหู้ หมูนั้นให้คนอื่นเขากินก็แล้วกัน
แต่ปรากฏว่าเมื่อตักสับปะรดใส่ปาก อื้อหือ เค็ม เคยคิดว่าน้ำแกงน่าจะเค็มกว่า ที่ไหนได้ ชิมน้ำแกงดูปรากฎว่าเค็มน้อยกว่าซะอีก
ทำให้นึกไปถึงสิ่งที่พ่อฉันสอนไว้ “ต้มแกงให้อร่อยใส่ผักแล้วให้รอน้ำแกงซึมเข้าเนื้อแล้วจึงยกลงจากเตา” ขึ้นมาทันที อืม วิธีทำแกงให้อร่อยแถมเกลือซึมเข้าไปอมอยู่ในสับปะรดด้วยอย่างนี้เอง
ปกติเวลาไปกินอาหารที่ร้านค้า่ในร.พ. แม่ค้าเขาทักบ่อยว่า “หมอกินแห้งๆ”
ด้วยความห่วงใยว่าจะกินติดคอ เขาก็จะคอยชวนว่า ราดน้ำแกงดีไหม เอาน้ำซุปไหมอยู่บ่อยๆ บอกเขาไปว่า ไม่เอา เอาอย่างนี้ เขาก็ยังไม่วายปรุงน้ำซุปยกมาให้เป็นประจำ
เรื่่องราวที่เขียนบันทึกอยู่ต่อเนื่องในขณะนี้ รวมทั้งการยังไม่ตกผลึกกับการแก้โจทย์ของอาหารคนไข้ที่ไปคุยกับโภชนากรมาเมื่อวันก่อนผสมกับรสแกงที่ได้ชิมผ่านมาเที่ยงนี้้ กระตุกให้ปิ๊งกับบางมุมกับเรื่องราวเที่ยงนี้
เมื่อนำเรื่องที่พ่อสอนมาเชื่อมโยงกับที่เคยเล่าไว้ว่าเวลาโซเดียมอยู่ที่ไหน น้ำจะตามไปอยู่ด้วย ได้เคล็ดลับนี้มาค่ะ
ปรุงน้ำแกงเพื่อกินเนื้อผัก ไม่ต้องการซดน้ำแกง เวลานำผักใส่หม้อ ให้ใส่ลงไปลวกพอสุกแล้วยกแกงลง ไม่ทิ้งนานจนกลายเป็นการเคี่ยวให้เข้าเนื้อ
แกงยิ่งอุ่นมื้ื้อต่อๆไปเนื้อผักยิ่งเค็มกว่าน้ำแกง จำไว้อย่าลืม
ผักที่ฟ่ามดูดน้ำแกง ใส่ผักในแกงสังเกตดูหน่อยนะ แกงที่ใส่ผักประเภทนี้ น้ำแกงเค็มน้อยกว่าเนื้อผักในแกง
กินข้าวเสร็จมีประชุมกันต่อจนถึงเย็น เลขาฯชวนให้อยู่ต่อเพื่อไปเยี่ยมคนไข้ด้วยกัน คุณสามีมารับซะก่อน จึงไม่ได้ไปด้วย
กลับถึงบ้าน ลงมือปรุงอาหารเย็น ใช้มันฝรั่งกับผักโขมขาวที่แช่ในตู้เย็น ใส่กะปิปลายช้อนชา ต้มตามวิธีต้มน้ำซุปผักที่ได้มาจากตำราทำอาหาร เตรียมส่วนประกอบไปก็วนเวียนดูบนโต๊ะบ้างตู้เย็นบ้าง ตาเหลือบไปเห็นฝรั่งสุกวางอยู่บนโต๊ะ ไม่รู้นึกอะไร คว้ามาสับปนในต้มซุปผักด้วย
ตอนเปิดตู้เย็นเห็นมีมะระอ่อนวางอยู่หนึ่งลูก นึกอยากกินมะระสด จึงแบ่งมาหั่น กินไปชิมไปนึกไปว่าจิ้มอะไรกินดีนะ นึกถึงน้ำพริกกะปิ อือ ขี้เกียวจตำ นึกถึงปลากระป๋องอยากกิน มือเอื้อมหยิบขึ้นมาดู แล้ววางลงเพราะนึกขึ้นได้ว่าอาการหายเค็มปากคอวันนี้ดีขึ้น ไม่อยากปากคอเค็มต่อ ขอพักก่อน เปลี่ยนใจปรุงเป็นมะระผัดไข่แทน เตรียมส่วนประกอบครบแล้วก็อ่านหนังสือรอซุปผักต้มได้ที่
ซุปผักได้ที่แล้ว ตั้งกะทะจะผัดมะระ เหลือบหาน้ำมัน อ้าว น้ำมันหมด ภาพบวบผัดไข่โผล่แวบขึ้นมาในห้วงคิด ผัดน้ำลองดูหน่อย รสเป็นยังไง ระหว่างผัดแวบถึงไข่เจียวดอกสะเดาที่สวนป่า ลองผัดไม่ใส่เครื่องปรุง(ซีอิ๊ว,น้ำตาล)ดูหน่อยดีกว่า ไข่เจียวดอกสะเดาออกอร่อยขมๆ เมนูนี้จะออกมาเป็นรสอะไร แล้วก็ได้มะระผัดไข่ด้วยน้ำสีชวนกินเป็นผลงาน
กับข้าวครบแล้วก็ลงมือเปิบซิ อือ มะระผัดไข่ขมๆหวานๆอร่อยดี อร่อยกว่าไข่เจียวดอกสะเดาซะด้วยนะ รสน้ำซุปที่ต้มนานกว่าคราวที่แล้ว รสก็หวานขึ้น อร่อยๆ อือ อร่อยๆๆ
กินๆไปรู้สึกว่าผัดมะระรสอ่อนไป จึงลุกไปหยดซีอิ้วขาวเจใส่ถ้วยมาไว้เติม ตักซีอิ๊วแค่ปลายช้อนหยดในข้าวแล้วกินต่อ อือ รสผัดมะระอร่อยขึ้นจมหูเชียวหละ ตักน้ำซุปผักกินไปด้วย กินๆไปสะดุดลิ้นรสเปรี้ยวทำให้เอ๊ะ ควานดูผักในถ้วยแล้วจึงรู้ ผักที่เปรี้ยวคือฝรั่งที่ใส่ลงไปด้วย
เย็นนี้ก็เลยได้ความรู้ใหม่ขึ้นมาอีกหลายเรื่อง :
ฝรั่งต้มไฟให้สุกให้รสเปรี้ยวได้นะ เปรี้ยวขนาดน้องๆมะขามอ่อนอะไรอย่างนั้น
รสน้ำซุปเวลามีรสเปรี้ยวอ่อนๆด้วยอร่อยนะ
กินเข้าไปแล้วเกินทำยากเรื่องรสเค็ม ปรุงอาหารโดยไม่ใส่เครื่องปรุงอะไรเลยเวลาปรุง แล้วใช้วิธีมาเติมแบบน้ำจิ้มทั้งหลาย สามารถคุมจำนวนเกลือได้ง่ายกว่าเติมตอนปรุงเยอะเลย
ที่พ่อครูตั้งใจว่าจะพาอาหารง่ายๆพกติดตัวไว้สำหรับสำรองยามเดินทางนั้นหรือว่าไปที่ๆมีอาหารขยะมากๆนั้น เป็นความตั้งใจดีมากๆ แต่ในทางปฏิบัติจริงๆนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ถึงแม้จะคอยหนีบยอดยาหยีติดตัวเป็นปิ่นโตไปด้วยทุกเมื่อเหมือนจอมป่วน
จึงขอแนะนำให้ใช้เคล็ดลับที่เพิ่งได้มาในเย็นวันนี้ไปใช้จะสะดวกกว่านะคะ
สังเกตดูเวลาที่พ่อครูไปที่ไหน ไม่มีครั้งไหนที่พาตัวเดินไปเองใช่ไหม แล้วก็ส่วนใหญ่คนเชิญก็เป็นขาประจำ จะสาธารณสุขหรือครูก็คนรู้จักกันทั้งนั้น ใช่ไหมๆ
แนะนำให้เลียนแบบการใช้บริการเครื่องบิน บอกคนเชิญไปเลยข้อแม้เรื่องอาหาร ออเดอร์เขาไปเลยว่า
“อาหารจานเดียว ผัด-แกงทุกอย่างที่จะเตรียมให้กิน ขอให้ไม่ใส่เครื่องปรุงรสเลยสักอย่างเดียว ไม่เอาผงชูรส น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสหรืออะไรทั้งหลาย เกลือ น้ำตาลที่จะแม่ครัวจะใส่ ขอมาใส่เองเวลากิน”
ทำตัวเป็นตัวประหลาดนำร่องให้หน่อย ไหนๆก็นำมาหลายร่องแล้ว
เชื่อฉันเถอะว่าคำที่ร้องขอไป (ออร์เดอร์)มีผล ได้มากกว่าไม่ได้ ฉะนั้นอย่าได้รั้งรอเลย ลงมือทำซะ
เวลาเขาติดต่อมาด้วยหนังสือ ติดต่อเขากลับ บอกเขาไปตรงๆได้อยู่แล้วค่ะ ปลดทิ้งความเกรงใจที่ไม่ได้เรื่องกับการไม่กล้าบอกทิ้งไปซะ จะได้เดินหน้าต่อไปในเวทีเดิมๆเพื่อช่วยดูแลสังคมสะดวกใจขึ้น
ที่กล้าแนะนำอย่างนี้เพราะความเป็นผู้ใหญ่ของพ่อครู เมื่อไรที่กล้าเอ่ยปากบอกตรงๆ มีคนสนองความต้องการให้อยู่แล้วค่ะ
ไม่ลองก็ไม่รู้นะคะ ลองแล้วเป็นจริงดีกว่ามาตรการสำรองเยอะเลย
ทำอย่างข้างบนไปแล้วถ้าไม่ไว้ใจว่าได้ผล แผนสำรองที่จะเตรียมไป ดึงมาใช้้ให้เขาเห็นประจักษ์ตาต่อหน้าเขา คราวต่อไป เมื่อใดก็เมื่อนั้น ถ้าเขาคนนั้นเป็นคนมีใจห่วงใยผู้คน เชิญพ่อครูอีกเมื่อไร เขาก็จะปรับตัวสนองให้ตามที่ขอ ฉันแน่ใจค่ะ
วิธีที่แนะนำวันนี้ ใช้ได้กับการเดินเข้าร้านกินอาหารตามสั่งด้วยนะคะ ขอเพียงแต่ความกล้าสั่งค่ะ
แล้วก็ยังสามารถใช้กับเมนูตามใจฉันของพ่อครูอย่างเมนูอ่อมแซบนี้ได้เช่่นกัน
อย่าลืมนะคะ ใช้ความเป็นผู้ใหญ่ดูแลตัวเองบ้างค่ะ อย่ามัวเกรงใจเด็กให้เสียเรื่องโดยใช่เหตุเลย
« « Prev : ชวนพ่อครูบาทำน้ำปรุงรสจากผักต้ม
Next : ขอบคุณพ่อครูที่เป็นครูอีกครั้ง ขอบคุณพี่บ่าวและเล่าฮูแสวงค่ะ » »
2 ความคิดเห็น
เพิ่งรู้ ว่าหมอตาเป็นแม่ครัวตัวยง นักทำอาหารดัดแปลง น่าสนใจมากค่ะ
ช่วงหลัง ๆ พ่อครูบาฯ วานให้ส่งเมล์ตอบรับการเข้าร่วมประชุมสัมนา ในนั้นมีช่องให้ระบุประเภทอาหารด้วย จึงเลือกระบุเป็นมังสวิรัติเสียเลยค่ะ เพื่อความสบายใจ ฮี่ ๆ ๆ ของพวกเราเอง (^_^)