เอ๊ะๆกับ..กรดยูริกสูง..อยู่เหมือนกันนะ
อ่านบันทึกถอดบทเรียนของน้องหนิงจบแล้ว รู้สึกเหมือนโดนทวงการบ้านอย่างไรก็ไม่รู้ คนให้การบ้านไม่ใช่น้องหนิงหรอก แต่เป็นฉันเองที่ให้กับตัวเองไว้ การบ้านนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกรดยูริกค่ะ
ในเมื่อมีคนที่อุทิศเรื่องราวของตัวเองเป็นทานแล้ว ก็ถือโอกาสนี้ส่งการบ้านให้ตัวเองเลยก็แล้วกัน ส่งแล้วก็นำมาบอกกันเพื่อเพิ่มเติมข้อมูล เผื่อว่าจะมีใครอยากนำไปใช้ช่วยคน จะได้หนุนให้เกิดคุณอย่างที่่ผู้อุทิศเรื่องอยากให้เกิดขึ้น
แค่ช่วยทำให้เกิดความสบายใจจากความเข้าใจที่กระจ่างขึ้นก็ได้บุญโขอยู่แล้ว ช่วยกันหน่อย…..ช่วยกันบอกต่อให้เกิดความเข้าใจ
ข้อความตรงนี้ของน้องหนิง “การตรวจสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญ .. แต่ควรเสริมความรู้บ้าง เช่น ถ้ามีค่ายูริกสูงเกินกว่าปกติ..แสดงแนวโน้มถึงการจะเป็นโรคอะไรได้…” และเรื่องราวที่เล่ามาก่อนหน้า เป็นโจทย์ส่วนหนึ่งของโจทย์ที่เกิดในใจฉันมาก่อนค่ะ
ชวนมาตามรู้กันหน่อยดีมั๊ย สำหรับคนที่สนใจ ถือซะว่าทวนความเข้าใจให้ตรงกันก็แล้วกันนะคะ
เชื่อว่าทุกคนที่เคยตรวจสุขภาพ เมื่อได้รับคำตอบกลับเกี่ยวกับกรดยูริกสูง จะมีคำว่า “เก๊าท์” เข้ามาเกี่ยวข้อง ขอยกเรื่องนี้มาทำความกระจ่างกันก่อนแล้วกัน
ขอเปรียบเทียบการเรียกกับการเรียกผู้หญิงพร้อมคำนำหน้านามนะคะ
ถ้าเปรียบกรดยูริกคือหญิงสาว สามีคืออาการปวดข้อ หรือก้อนผลึกยูริกใต้หนัง เมื่อไรที่เห็นผู้หญิงที่สามีเป็นตัวเป็นตนให้คนเห็น แล้วเรียกว่า “นาง”เมื่อนั้นภาวะที่พบกรดยูริคสูงก็จะถูกหมอๆอย่างฉันเรียกว่า “โรคเก๊าท์”
เมื่อไรที่ผู้หญิงเดินมาคนเดียว ถึงแม้รู้ว่ามีสามีแล้ว แต่เธอไม่ยืนยันหรือไม่เห็นสามี ก็เรียกเธอคนนั้นแค่ “นางสาว” เมื่อนั้นภาวะที่พบกรดยูริกสูงก็จะถูกหมอๆอย่างฉันเรียกว่า “ภาวะกรดยูริกสูง” เท่านั้นเอง จนกว่าเธอจะยืนยันว่ามีสามีด้วยปากตัวเองหรือเห็นด้วยตานั่นแหละ จึงจะกล้าเปลี่ยนคำเรียกให้เข้าเค้า
ใช่แล้วฉันกำลังจะบอกว่า “เก๊าท์” เป็นชื่อโรค ที่มาพิโยกพิกวนเจ้าของด้วยอาการปวดข้อ และหรือมีก้อนโผล่ขึ้นมาที่ข้อ อันเป็นผลมาจากกรดยูริกตกผลึกในร่างกาย เวลาเจาะเลือดจะพบว่า ระดับกรดยูริกสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานนั่นเอง
ถ้าไม่มีปวดข้อ ไม่เรียก เก๊าท์ อย่าลืมนะคะ
“โรคเก๊าท์” กับ “กรดยูริคสูง” จึงมีจุดคล้ายกันที่ระดับกรดยูริคสูงเท่านั้นเอง เป็นระดับที่สูงเกินกว่าที่ควรจะค้างอยู่ในร่างกาย
กรดยูริกในร่างกายของคน มาจากการสลายอาหาร ไม่ว่าอาหารนั้นจะมีที่มาจากสัตว์หรือพืช
กรดยูริกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชีวิตเชียว ใกล้ชิดถึงระดับ RNA และ DNA ของสิ่งมีชีวิตเชียวนะคะ
ใช่แล้ว มันเกิดจากการย่อยสิ่งมีชีวิตที่กินเข้าไปเป็นอาหารที่สลาย RNA และ DNA ไปด้วย
โดยธรรมชาติทางเคมี กรดยูริกนี้ตกผลึกได้ เช่นเดียวกับสารละลายอื่นๆ
ลองนึกถึงทรายเวลาติดเท้ากันหน่อย เม็ดทรายติดตรงไหน ขยับเดินทีไร ไม่สบายตัวทุกทีไป ตรงไหนที่ขยับแล้วมีแรงอัดลงบนเม็ดทรายนอกจากไม่สบายแล้วยังเจ็บอีกด้วย ใช่ไหม
ผลึกของกรดยูริกก็เป็นเช่นนั้น ตกผลึกทิ้งไว้ตรงไหน ที่ตรงนั้นก็ไม่สบายเท่าไรหรอก เช่น ตกในข้อทำให้เดินขัดๆหรือปวด ตกในกล้ามเนื้อก็ทำให้เมื่อย ตกผลึกที่ไตก็ทำให้เกิดนิ่วในไต ตกผลึกที่เส้นเลือดในไตก็ทำให้เส้นเลือดอักเสบจากฤทธิ์ของผลึกที่เป็นกรด ตกผลึกในถุงน้ำดีก็ทำให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ อย่างนี้แหละค่ะ
กรดยูริกทำให้เกิดโรคตามมานอกจากโรคเก๊าท์ก็คือ ผลึกกรดยูริกในไต (นิ่วในไต) เป็นนานหลายๆปี นิ่วจะทำให้ไตมีรูปร่างผิดปกติและการทำงานเสื่อมลงจากทำงานหนัก
คิดดูเวลาต้องอุ้มอะไรอยู่ในอกแล้วทำงานไปด้วย รู้สึกอย่างไร ไตคนก็เช่นนั้นเอง
เมื่อคนอุ้มอะไรนานๆ มือก็จะล้า และขอไม่อุ้ม ไตคน อุ้มนิ่วนานๆก็ทำงานแย่ลง วันไม่ดี คืนไม่ดี มันก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่อุ้มแล้ว แต่ก็ไม่สามารถวางนิ่วทิ้งไปได้ ด้วยนิ่วมันอุดอยู่เต็มในตัวมัน มันก็เลยแย่เอาจริงๆและเกิดไตวายขึ้นง่ายๆอย่างนั้นเอง
ไม่อยากให้ไตทำงานหนัก โปรดดื่มน้ำให้ได้วันละ 30 เท่าของน้ำหนักตัวนะคะ ได้เท่าไรให้ใช้หน่วยวัดมาตรน้ำเป็นมล.ค่ะ หรือถ้าอยากจะใช้หน่วยเป็นลิตรก็ให้เอาค่าที่ได้หาร 1,000
วันนี้ขอจบลงที่แค่นี้ก่อนค่ะ ว่างแล้วจะมาเล่าต่อว่า ภาวะกรดยูริคในเลือดสูง บอกอะไรอีก นอกจากแนวโน้มเรื่องเก๊าท์ เรื่องนิ่ว
« « Prev : พืชประเภทหัวและผลไม้ที่มีฟอสฟอรัสต่ำ
Next : แล้วยังไงอีก…กับกรดยูริกสูง » »
8 ความคิดเห็น
เอ๊ะๆ ดีจริงๆ
สวัสดีค่ะพี่หมอตา ขอบคุณสำหรับเจ้ากรดยูริกนะคะ เมื่อก่อนกว่า 10 ปี คุณแม่สลายนิ่วในไตแย่เลยค่ะ ขบไม่แตกละเอียด หาหมอกลางดึกเลยค่ะพี่หมอตา
จั่วหัวมาแบบนี้เหมือนถูกอาจารย์ทวงการบ้านเลยค่ะ จะรีบส่งนะคะ ขอเวลานิดหนึ่ง
งานนี้เป็นการผสานความรู้และเรื่องจริงๆ ของชีวิตโดยบังเอิญเนอะ พี่หมอเจ๊
#1 พ่อครูค่ะ จำนวนน้ำดื่ม 30 เท่าของน้ำหนักตัวที่บอกไว้นั้น ใช้เป็นเกณฑ์ในการปรับพฤติกรรมในวิถีของตนสำหรับคนที่อยากปรับตัว เป็นเกณฑ์ที่ช่วยให้ความตึงจากการปรับตัวของคนหน่อยลง 2 มุมค่ะ
ตึงหนึ่งที่หย่อนลง คือ ขยับเพิ่มได้ไม่ยากเกินไป ตึง 2 ที่หย่อนลง คือ ขยับพรวดๆแล้วไม่ทำให้เกิดผลลบที่ไม่ต้องการจากน้ำเป็นพิษในคนที่ขยันกินน้ำเพราะกลัวสุขภาพแย่ค่ะ
อีกเกณฑ์ที่สามารถใช้คือดื่มน้ำสะอาด 8-10 แก้วต่อวันค่ะ
#2 โชคดีแล้วน้องนิดเอ๋ย ที่นิ่วโดนกำจัดออกไปบ้างแล้ว
เจ้าผลึกของกรดยูริกนี่นะ เวลาไปถ่ายภาพรังสี มองไม่เห็นทึบแสงนะคะ บางครั้งมีอาการเหมือนมีนิ่ว ถ่ายภาพก็มองไม่เห็นได้ หากว่าเคยเป็นมาก่อนก็ยังต้องดูแลตัวเองอยู่ค่ะ
ด้วยว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อีก เพราะสาเหตุที่มันเกิดมาจากนิสัยการกินของคนๆนั้นค่ะ
#3 อิอิ…พี่ไม่ได้ทวง…ไม่ได้ทวง…การบ้านนะเป็นอีกคนทวง…สงสัยตอนนี้มัวแต่ตามไปสอนงานของชีวิต…เลยหายจ้อยไปเลย
คิดถึงนะน้อง
สวัสดีค่ะอ.หมอเจ๊
มาอ่านเรื่องเล่าดี ๆ จากอ.หมอค่ะ
ว๊าววววววววววว…..ปรากฎกายแบบไม่คาดฝัน….ดีใจจริงๆ…..หายไปซะนานเลยค่ะ….ดีใจใจใจใจใจใจใจ…ใจ…ที่ปรากฏตัวค่ะ