เอ๊ะๆกับ..กรดยูริกสูง..อยู่เหมือนกันนะ

อ่าน: 3011

อ่านบันทึกถอดบทเรียนของน้องหนิงจบแล้ว รู้สึกเหมือนโดนทวงการบ้านอย่างไรก็ไม่รู้  คนให้การบ้านไม่ใช่น้องหนิงหรอก แต่เป็นฉันเองที่ให้กับตัวเองไว้  การบ้านนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกรดยูริกค่ะ

ในเมื่อมีคนที่อุทิศเรื่องราวของตัวเองเป็นทานแล้ว  ก็ถือโอกาสนี้ส่งการบ้านให้ตัวเองเลยก็แล้วกัน ส่งแล้วก็นำมาบอกกันเพื่อเพิ่มเติมข้อมูล เผื่อว่าจะมีใครอยากนำไปใช้ช่วยคน  จะได้หนุนให้เกิดคุณอย่างที่่ผู้อุทิศเรื่องอยากให้เกิดขึ้น

แค่ช่วยทำให้เกิดความสบายใจจากความเข้าใจที่กระจ่างขึ้นก็ได้บุญโขอยู่แล้ว ช่วยกันหน่อย…..ช่วยกันบอกต่อให้เกิดความเข้าใจ

ข้อความตรงนี้ของน้องหนิง  “การตรวจสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญ  .. แต่ควรเสริมความรู้บ้าง เช่น ถ้ามีค่ายูริกสูงเกินกว่าปกติ..แสดงแนวโน้มถึงการจะเป็นโรคอะไรได้…”  และเรื่องราวที่เล่ามาก่อนหน้า เป็นโจทย์ส่วนหนึ่งของโจทย์ที่เกิดในใจฉันมาก่อนค่ะ

ชวนมาตามรู้กันหน่อยดีมั๊ย สำหรับคนที่สนใจ  ถือซะว่าทวนความเข้าใจให้ตรงกันก็แล้วกันนะคะ

เชื่อว่าทุกคนที่เคยตรวจสุขภาพ เมื่อได้รับคำตอบกลับเกี่ยวกับกรดยูริกสูง จะมีคำว่า “เก๊าท์” เข้ามาเกี่ยวข้อง  ขอยกเรื่องนี้มาทำความกระจ่างกันก่อนแล้วกัน

ขอเปรียบเทียบการเรียกกับการเรียกผู้หญิงพร้อมคำนำหน้านามนะคะ

ถ้าเปรียบกรดยูริกคือหญิงสาว สามีคืออาการปวดข้อ หรือก้อนผลึกยูริกใต้หนัง เมื่อไรที่เห็นผู้หญิงที่สามีเป็นตัวเป็นตนให้คนเห็น แล้วเรียกว่า “นาง”เมื่อนั้นภาวะที่พบกรดยูริคสูงก็จะถูกหมอๆอย่างฉันเรียกว่า “โรคเก๊าท์”

เมื่อไรที่ผู้หญิงเดินมาคนเดียว ถึงแม้รู้ว่ามีสามีแล้ว แต่เธอไม่ยืนยันหรือไม่เห็นสามี ก็เรียกเธอคนนั้นแค่ “นางสาว”  เมื่อนั้นภาวะที่พบกรดยูริกสูงก็จะถูกหมอๆอย่างฉันเรียกว่า “ภาวะกรดยูริกสูง” เท่านั้นเอง  จนกว่าเธอจะยืนยันว่ามีสามีด้วยปากตัวเองหรือเห็นด้วยตานั่นแหละ จึงจะกล้าเปลี่ยนคำเรียกให้เข้าเค้า

ใช่แล้วฉันกำลังจะบอกว่า  “เก๊าท์” เป็นชื่อโรค ที่มาพิโยกพิกวนเจ้าของด้วยอาการปวดข้อ และหรือมีก้อนโผล่ขึ้นมาที่ข้อ อันเป็นผลมาจากกรดยูริกตกผลึกในร่างกาย เวลาเจาะเลือดจะพบว่า ระดับกรดยูริกสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานนั่นเอง

ถ้าไม่มีปวดข้อ ไม่เรียก เก๊าท์  อย่าลืมนะคะ

“โรคเก๊าท์” กับ “กรดยูริคสูง” จึงมีจุดคล้ายกันที่ระดับกรดยูริคสูงเท่านั้นเอง เป็นระดับที่สูงเกินกว่าที่ควรจะค้างอยู่ในร่างกาย

กรดยูริกในร่างกายของคน มาจากการสลายอาหาร ไม่ว่าอาหารนั้นจะมีที่มาจากสัตว์หรือพืช

กรดยูริกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชีวิตเชียว  ใกล้ชิดถึงระดับ RNA และ DNA ของสิ่งมีชีวิตเชียวนะคะ

ใช่แล้ว มันเกิดจากการย่อยสิ่งมีชีวิตที่กินเข้าไปเป็นอาหารที่สลาย RNA และ DNA ไปด้วย

โดยธรรมชาติทางเคมี กรดยูริกนี้ตกผลึกได้  เช่นเดียวกับสารละลายอื่นๆ

ลองนึกถึงทรายเวลาติดเท้ากันหน่อย  เม็ดทรายติดตรงไหน ขยับเดินทีไร ไม่สบายตัวทุกทีไป ตรงไหนที่ขยับแล้วมีแรงอัดลงบนเม็ดทรายนอกจากไม่สบายแล้วยังเจ็บอีกด้วย ใช่ไหม

ผลึกของกรดยูริกก็เป็นเช่นนั้น ตกผลึกทิ้งไว้ตรงไหน ที่ตรงนั้นก็ไม่สบายเท่าไรหรอก เช่น ตกในข้อทำให้เดินขัดๆหรือปวด ตกในกล้ามเนื้อก็ทำให้เมื่อย ตกผลึกที่ไตก็ทำให้เกิดนิ่วในไต ตกผลึกที่เส้นเลือดในไตก็ทำให้เส้นเลือดอักเสบจากฤทธิ์ของผลึกที่เป็นกรด  ตกผลึกในถุงน้ำดีก็ทำให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ อย่างนี้แหละค่ะ

กรดยูริกทำให้เกิดโรคตามมานอกจากโรคเก๊าท์ก็คือ  ผลึกกรดยูริกในไต (นิ่วในไต)  เป็นนานหลายๆปี นิ่วจะทำให้ไตมีรูปร่างผิดปกติและการทำงานเสื่อมลงจากทำงานหนัก

คิดดูเวลาต้องอุ้มอะไรอยู่ในอกแล้วทำงานไปด้วย รู้สึกอย่างไร ไตคนก็เช่นนั้นเอง

เมื่อคนอุ้มอะไรนานๆ มือก็จะล้า และขอไม่อุ้ม ไตคน อุ้มนิ่วนานๆก็ทำงานแย่ลง  วันไม่ดี คืนไม่ดี มันก็บอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่อุ้มแล้ว แต่ก็ไม่สามารถวางนิ่วทิ้งไปได้ ด้วยนิ่วมันอุดอยู่เต็มในตัวมัน มันก็เลยแย่เอาจริงๆและเกิดไตวายขึ้นง่ายๆอย่างนั้นเอง

ไม่อยากให้ไตทำงานหนัก โปรดดื่มน้ำให้ได้วันละ 30 เท่าของน้ำหนักตัวนะคะ ได้เท่าไรให้ใช้หน่วยวัดมาตรน้ำเป็นมล.ค่ะ หรือถ้าอยากจะใช้หน่วยเป็นลิตรก็ให้เอาค่าที่ได้หาร 1,000

วันนี้ขอจบลงที่แค่นี้ก่อนค่ะ  ว่างแล้วจะมาเล่าต่อว่า ภาวะกรดยูริคในเลือดสูง บอกอะไรอีก นอกจากแนวโน้มเรื่องเก๊าท์ เรื่องนิ่ว

« « Prev : พืชประเภทหัวและผลไม้ที่มีฟอสฟอรัสต่ำ

Next : แล้วยังไงอีก…กับกรดยูริกสูง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

8 ความคิดเห็น

  • #1 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 ธันวาคม 2009 เวลา 3:58 (เช้า)

    เอ๊ะๆ  ดีจริงๆ

  • #2 สุวรรณา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 ธันวาคม 2009 เวลา 7:06 (เช้า)

    สวัสดีค่ะพี่หมอตา ขอบคุณสำหรับเจ้ากรดยูริกนะคะ เมื่อก่อนกว่า 10 ปี คุณแม่สลายนิ่วในไตแย่เลยค่ะ ขบไม่แตกละเอียด  หาหมอกลางดึกเลยค่ะพี่หมอตา

  • #3 นักการหนิง ให้ความคิดเห็นเมื่อ 4 ธันวาคม 2009 เวลา 16:50 (เย็น)

    จั่วหัวมาแบบนี้เหมือนถูกอาจารย์ทวงการบ้านเลยค่ะ  จะรีบส่งนะคะ ขอเวลานิดหนึ่ง

    งานนี้เป็นการผสานความรู้และเรื่องจริงๆ ของชีวิตโดยบังเอิญเนอะ พี่หมอเจ๊

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 ธันวาคม 2009 เวลา 13:08 (เย็น)

    #1  พ่อครูค่ะ จำนวนน้ำดื่ม 30 เท่าของน้ำหนักตัวที่บอกไว้นั้น ใช้เป็นเกณฑ์ในการปรับพฤติกรรมในวิถีของตนสำหรับคนที่อยากปรับตัว เป็นเกณฑ์ที่ช่วยให้ความตึงจากการปรับตัวของคนหน่อยลง 2 มุมค่ะ

    ตึงหนึ่งที่หย่อนลง คือ ขยับเพิ่มได้ไม่ยากเกินไป  ตึง 2 ที่หย่อนลง คือ ขยับพรวดๆแล้วไม่ทำให้เกิดผลลบที่ไม่ต้องการจากน้ำเป็นพิษในคนที่ขยันกินน้ำเพราะกลัวสุขภาพแย่ค่ะ

    อีกเกณฑ์ที่สามารถใช้คือดื่มน้ำสะอาด  8-10 แก้วต่อวันค่ะ

  • #5 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 ธันวาคม 2009 เวลา 13:12 (เย็น)

    #2  โชคดีแล้วน้องนิดเอ๋ย ที่นิ่วโดนกำจัดออกไปบ้างแล้ว
    เจ้าผลึกของกรดยูริกนี่นะ เวลาไปถ่ายภาพรังสี มองไม่เห็นทึบแสงนะคะ บางครั้งมีอาการเหมือนมีนิ่ว ถ่ายภาพก็มองไม่เห็นได้  หากว่าเคยเป็นมาก่อนก็ยังต้องดูแลตัวเองอยู่ค่ะ
    ด้วยว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อีก เพราะสาเหตุที่มันเกิดมาจากนิสัยการกินของคนๆนั้นค่ะ

  • #6 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 ธันวาคม 2009 เวลา 13:15 (เย็น)

    #3  อิอิ…พี่ไม่ได้ทวง…ไม่ได้ทวง…การบ้านนะเป็นอีกคนทวง…สงสัยตอนนี้มัวแต่ตามไปสอนงานของชีวิต…เลยหายจ้อยไปเลย

    คิดถึงนะน้อง

  • #7 คนไกลบ้าน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 11 ธันวาคม 2009 เวลา 17:45 (เย็น)

    สวัสดีค่ะอ.หมอเจ๊

    มาอ่านเรื่องเล่าดี ๆ จากอ.หมอค่ะ

  • #8 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 ธันวาคม 2009 เวลา 9:25 (เช้า)

    ว๊าววววววววววว…..ปรากฎกายแบบไม่คาดฝัน….ดีใจจริงๆ…..หายไปซะนานเลยค่ะ….ดีใจใจใจใจใจใจใจ…ใจ…ที่ปรากฏตัวค่ะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.61241102218628 sec
Sidebar: 0.26989197731018 sec