ดอกส้มสีทอง(๕)

อ่าน: 2203

เมื่อคืนดูดอกส้มสีทองต่อ ได้ตัวอย่างที่จะมาอธิบายเรื่องที่เขียนคาไว้คราวที่แล้ว นั่นคือเรื่องที่ว่า “ถ้าหย่ากันแล้วจนลงกว่าเดิมจะเรียกร้องอะไรได้อีก”

ตัวอย่างที่ว่านั้นก็คือ เด่นจันทร์จับได้ว่าสินธรไปมีเมียน้อยอีกก็เลยขอหย่าดีๆโดยขอให้สินธรเซ็นใบหย่าแล้วไปแต่ตัว ให้ออกจากงานของบริษัทฯของพ่อเด่นจันทร์ แต่สินธรไม่ยอมอ้างเรื่องลูก จึงถูกบังคับโดยทุบมือและหากยังไม่เซ็นอีกก็จะถูกยิง ในที่สุดก็ต้องยอมเซ็นชื่อในทะเบียนหย่า

แต่..ผมดูแล้วก็ขำ ที่เด่นจันทร์เอาสมุดทะเบียนหย่ามาจากไหนก็ไม่รู้ นั่นมันเอกสารราชการนะคุณเด่นจันทร์ ถ้ามันเป็นทะเบียนหย่าจริงก็ต้องลงชื่อต่อหน้านายทะเบียน ไม่ใช่เอามาเซ็นกันเองแล้วจบ เฮ้อ…

โดยปกติเมื่อหย่าขาดจากกันแล้วทำให้คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง คู่สมรสฝ่ายที่ยากจนลงมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้ครับ เพราะกฎหมายเขาบอกว่า

“มาตรา 1526 ในคดีหย่า ถ้าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และการหย่านั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลงเพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สินหรือจากการงานตามที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรส อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ค่าเลี้ยงชีพนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้ให้และฐานะของผู้รับและให้นำบทบัญญัติมาตรา 1598/39 มาตรา 1598/40 และมาตรา 1598/41
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพเป็นอันสิ้นสุด ถ้ามิได้ฟ้องหรือฟ้องแย้งในคดีหย่านั้น”

สังเกตไหมครับเขาใช้คำว่า “คู่สมรสฝ่ายใด” แสดงว่าถ้าการหย่ากันนั้นทำให้คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง(ที่เขาไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุหย่าตามกฎหมายหรือฝ่ายที่เขาไม่ผิดน่ะ)ต้องยากจนลงแล้ว ฝ่ายนั้นก็ย่อมมีสิทธิได้รับค่าเลี้ยงชีพได้ไม่ว่าจะเป็นคู่สมรสฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงครับ

เรื่องระหว่างสินธรกับเด่นจันทร์ สมมุติว่าฟ้องหย่ากันและเหตุฟ้องหย่าไม่ใช่เป็นความผิดของสินธรแต่กลายเป็นความผิดของเด่นจันทร์(ผมตั้งใจสมมุติไม่เหมือนในละครนะขอรับ) ทำให้สินธรต้องออกจากบริษัทของพ่อตา ขาดรายได้ไปเดือนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท อย่างนี้สินธรฟ้องเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ครับ

หรือสมมุติอีกทีว่าการที่คุณดี๋สมรสกับคุณใหญ่ก็เลยได้ทำงานอยู่กับบริษัทของครอบครัวคุณใหญ่ มีเงินเดือนๆละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท พอเรยาเอาลูกมาให้คุณดี๋ ความอดทนของคุณดี๋ถึงที่สุด ขอหย่ากับคุณใหญ่ก็ไม่ยอมหย่า คุณดี๋จึงฟ้องหย่า นอกจากจะขอแบ่งสินสมรส และฟ้องขอค่าทดแทนจากคุณใหญ่และเรยาแล้ว คุณดี๋ยังฟ้องขอเลี้ยงชีพจากคุณใหญ่ได้อีกอย่างน้อยก็เป็นไปตามเงินเดือนที่เคยได้รับ แต่ถ้าคุณดี๋แต่งงานใหม่ หรือในกรณีของสินธรตามตัวอย่างข้างต้น เงินค่าเลี้ยงชีพก็จะสิ้นสุดลงครับ
อธิบายอย่างนี้คงพอเข้าใจนะครับ

ทีนี้ลองมาดูกรณีคำแก้วซึ่งเป็นคนวิกลจริตไปแล้ว ถ้าเกิดเจ้าสัวเชงไม่ต้องการคุณนายที่สี่คำแก้วอีกต่อไป จึงฟ้องหย่าโดยอ้างเหตุตามมาตรา ๑๕๑๖(๗)ที่ระบุว่า “สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้” แต่กฎหมายเขาไม่ให้หย่ากันเฉยๆ เพราะการที่เขาวิกลจริตมิใช่ความผิดของเขาโดยตรง กฎหมายจึงให้ความเป็นธรรม ลองดูที่นี่ครับ

“มาตรา 1527 ถ้าหย่าขาดจากกันเพราะเหตุวิกลจริตตามมาตรา 1516(7) หรือเพราะเหตุเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงตามมาตรา 1516 (9)
คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งต้องออกค่าเลี้ยงชีพให้แก่ฝ่ายที่วิกลจริตหรือฝ่ายที่เป็นโรคติดต่อนั้นโดยคำนวณค่าเลี้ยงชีพอนุโลมตามมาตรา 1526”

เห็นไหมครับ ถึงจะกลายเป็นคนวิกลจริตแต่เมื่อเป็นสามีภริยากัน อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีสติสัมปชัญญะจะให้ปล่อยทิ้งขว้างได้อย่างไร

ความจริงรายละเอียดในเรื่องของการหย่ายังมีอีกมากครับ แต่จะมาบรรยายกฎหมายครอบครัวผมว่าท่านผู้อ่านคงเบื่อแย่ สังเกตได้ว่าพอมีหลักกฎหมายเยอะ เรตติ้งหดหายไปเรื่อยๆ ฮ่าๆๆ

อย่าลืมนะครับว่า ถ้ามีการให้อภัยกันแล้วหมดสิทธิฟ้องหย่า ใครจำไม่ได้ย้อนกลับไปอ่านตอนที่สามนะขอรับ ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังจริงเท็จไม่ยืนยัน เรื่องมันเกิดที่ศาลแห่งหนึ่ง

คดีนี้ สามีเจ้าชู้แบบสินธร ภรรยาดุดันแบบเด่นจันทร์ ภรรยาเป็นช่างตัดเสื้อรู้ว่าสามีแอบไปมีเรยา คว้ากรรไกรตัดผ้าได้ก็ตามล่าจนเจอ เรยาหนีทันแต่สามีนะสิโดนกรรไกรปักเข้ากลางหลัง แค่นั้นยังไม่พอภรรยาก็ปรึกษาทนายและฟ้องหย่าสามีโดยอ้างว่าสามียกย่องเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยา

แต่การฟ้องคดี กว่ากระบวนการต่างๆจะไปถึงชั้นสืบพยานใช้เวลานานหลายเดือน ระหว่างนั้นสามีก็ไปเอาอกเอาใจภรรยาจนภรรยาใจอ่อนยอมให้สามีกลับมานอนในห้องได้ แต่การดำเนินคดียังคงดำเนินการต่อ และแล้วก็มาถึงวันสืบพยาน

สามีเล่าให้ทนายฟังว่าตอนนี้คืนดีกันแล้ว มีอะไรกันแล้ว (อืมม์…แล้วมันมีอะไรล่ะ…อิอิ) แต่ฝ่ายภรรยามิได้เล่าให้ทนายฟัง ทนายฝ่ายภรรยาก็นำสืบไปตามปกติว่าสามีเจ้าชู้ มีภรรยาน้อย ตามไปเจอ มีหลักฐาน… หลังจากทนายฝ่ายโจทก์(ภรรยา)ซักถามแล้วก็เป็นหน้าที่ทนายฝ่ายสามีที่จะถามค้าน ทนายก็ถามว่า

ขอโทษครับคุณผู้หญิง หลังเกิดเหตุที่จับได้ว่าจำเลยไปมีภรรยาน้อยจนถึงวันนี้ คุณกับจำเลยได้คืนดีกันแล้วใช่ไหมครับ
ค่ะ
ขอโทษครับคุณผู้หญิง ที่ว่าคืนดีกันแล้วเนี่ย..หมายถึงนอนด้วยกันแล้วใช่ไหมครับ
ค่ะ
ขอโทษครับคุณผู้หญิง คำว่านอนด้วยกันหมายถึงการร่วมประเวณีด้วยใช่ไหมครับ
ค่ะ
ขอโทษครับคุณผู้หญิง กี่ครั้งแล้วครับ
สามค่ะ…
ทันใดนั้น สามีก็ยกมือลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า ศาลครับ หกครั้งแล้วครับ
ภรรยาขอโทษศาลที่พูดไม่ตรงความจริงแต่ไม่ได้เจตนา “ขอโทษค่ะ…หนูนึกว่ากลางวันไม่นับ” แฮ่ๆ….

เรื่องนี้จบลงที่ศาลยกฟ้องเพราะฝ่ายโจทก์มีพฤติการณ์ที่ให้อภัยฝ่ายจำเลยแล้วจึงหมดสิทธินำเหตุที่สามียกย่องหญิงอื่นฉันภริยามาฟ้องหย่า เอ้อ…ถ้าจะฟ้องหย่า…อย่า…ใจอ่อน อิอิ

ดอกส้มสีทองกำลังจะจบ ละครเรื่องนี้ดังขนาดท่าน ว.วชิรเมธี ยังเอาไปเทศน์ชี้ให้เห็นว่าตัวละครไม่มีความสุขเพราะอะไร ทั้งนี้เพราะได้รับนิมนต์ไปเทศน์แล้วเจ้าภาพขอให้เทศน์ก่อนเวลาเพราะคนที่มาร่วมงานศพจะรีบกลับไปดูละคร อิอิ คราวหน้าเรามาคุยกันเรื่องคุณธรรมจริยธรรมในละครเรื่องนี้กันนะครับ

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : ดอกส้มสีทอง(๔)

Next : ดอกส้มสีทอง…จะจบดีไหม » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.71888208389282 sec
Sidebar: 0.18972587585449 sec