ไปเยี่ยมสาวมัลดีฟส์๔

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 30 สิงหาคม 2009 เวลา 21:38 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2126

คราวที่แล้วเล่าให้ฟังว่าเราไปนั่งฟังบรรยายพิเศษจากผู้ดูแลศูนย์ เขาบรรยายให้เราฟังภาษาง่ายๆ ผมว่าผมจับใจความได้หมดเขาพูดให้เราฟังสองสามเรื่องครับ ตามมาครับผมจะเล่าให้ฟัง อิอิ

๑.เรื่องปะการัง การเกิดเหตุตามธรรมชาติเช่น เอนีโย่ El nino ส่งผลให้ปะการังที่เกาะที่ผมไปพักเสียหายไปถึง ๖๐ % เมื่อรายได้หลักของมัลดีฟส์ส่วนหนึ่งมาจากการท่องเที่ยว หากไม่มีปะการัง ไม่มีแหล่งดำน้ำ ไม่มีปลาสวยงามให้นักท่องเที่ยวชม มัลดีฟส์ก็จะขาดเสน่ห์ ดังนั้นโรงแรมก็ต้องพยายามแก้ไขปัญหา โดยนำโครงเหล็กเชื่อมเป็นคล้ายๆมงกุฏขนาดใหญ่ใส่ลงในทะเล แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าไปที่เหล็ก ก็จะทำให้แคลเซี่ยมในทะเลมาเกาะที่โครงเหล็ก เมื่อได้ความหนาที่ต้องการก็จะเอาปะการังที่แตกหักไปมัดไว้กับพลาสติก แคลเซี่ยมก็จะยึดปะการังกับโครงสร้างที่ทำไว้และเจริญเติบโตได้ดี ทำให้ปะการังเจริญงอกงามเร็วกว่าปกติด้วยซ้ำไป

ทราบไหมครับว่าเวลาแนวปะการังเสียหายไปถึง ๖๐ เปอร์เซนต์ มันจะเกิดผลกระทบอะไรบ้างกับธรรมชาติ ที่เกิดแน่ๆก็คือขาดแหล่งอาหาร ปลาก็จะน้อยลง เวลามีคลื่นใหญ่มามันก็จะถึงตัวเกาะเร็วขึ้น แล้วคลื่นมันก็จะทำให้พื้นที่เกาะหายไปเรื่อยๆ การปลูกปะการังก็จะทำให้ปะการังเป็นตัวช่วยกันคลื่น และกันพื้นที่เกาะได้ด้วยครับ
มัลดีฟส์

๒.เรื่องเต่า เขาเล่าว่าจากการศึกษาวงจรชีวิตของเต่าที่มัลดีฟส์ทำให้รู้ว่า เมื่อเต่าเกิดและลงสู่ทะเล มันจะว่ายมุ่งหน้าไปทางแอฟริกา แล้วมันก็จะว่ายไปตามกระแสน้ำวนไปตามเข็มนาฬิกาอยู่ประมาณ ๑๐ ปี ก็จะเข้าประเทศอินเดียหากินอยู่ประมาณ ๑๕ ปี รวมแล้วประมาณ ๒๕ ปี เต่าก็จะกลับมายังมัลดีฟส์อีกครั้ง แต่ปัจจุบันก่อนปล่อยเต่าลงไปเขาเอาเต่ามาเลี้ยง ๑ ปี ให้อาหารอย่างเต็มที่แล้วปล่อยไป มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์เพราะเต่าใช้เวลาเดินทางจากมัลดีฟส์แล้วไปทางแอฟริกา เข้าสู่อินเดียแล้วกลับมัลดีฟส์ใช้เวลาเพียง ๘ เดือน เท่านั้น โอ..พระเจ้าช่วยกล้วยทอด…

ทำไมเขาถึงรู้ ก็เพราะเขาติดเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียมที่กระดองเต่าโดยใช้เรซินติดเครื่องซึ่งมีอายุการใช้งาน ๑ ปี อ๋อ..ไม่ใช่อายุการใช้งานของเครื่องหรอกครับ อายุของเรซินที่ติดกับกระดองเต่าเพราะพออายุเต่าเพิ่มอีก ๑ ปีกระดองมันก็จะขยายตัวทำให้เรซินแตกและเครื่องมือก็จะหลุดหายไป เครื่องหนึ่งราคา ๑๐,๐๐๐ เหรียญครับ แต่ปัจจุบันมีแบบใหม่ตัวละประมาณ ๒,๐๐๐ เหรียญ ตอนนี้ที่โรงแรมปล่อยเต่าไป ๖๐ ตัว ได้มาจากเจ้าหน้าที่โรงแรมซึ่งเป็นคนพื้นเมืองเอาลูกเต่ามาให้เลี้ยง เพราะเต่าแถวนี้มีปัญหาถูกชาวประมงจับไปกินเยอะมาก บางทีเต่าก็ติดเบ็ดชาวประมงบ้าง จนเต่าหายไปเยอะ ผมฟังตอนแรกก็นึกหัวเราะในใจคงเหมือนผู้อ่านที่รู้ว่าเมืองไทยเราปล่อยกันทีเป็นพันๆตัวไม่ใช่แต่ ๖๐ ตัวแล้วมาคุย เขาเหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เขาก็เลยบรรยายต่อว่า การปล่อยเต่าที่นี่ไม่เหมือนที่เมืองไทยนะ เพราะเมืองไทยปล่อยเยอะมาก แต่..เป็นเต่าตัวเล็ก อัตรารอดก็ประมาณ ๑ ต่อ ๖๐๐ แต่ของเขาเลี้ยงจนตัวโตแล้วจึงปล่อยแม้จะปล่อย ๖๐ ตัวอัตราการรอดก็พอๆกับไทยปล่อยไป ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ตัว

ผมถามคำถามสุดเท่ว่าเต่ามันรู้ได้อย่างไรว่ามันจะต้องกลับมาวางไข่ที่เดิม และถ้ามันมาวางไข่จุดไหนแล้วมันรู้ได้อย่างไรว่าวันเวลาไหนสถานที่ไหนที่มันจะขึ้นมาวางไข่และเป็นเช่นนี้เป๊ะทุกปี

เขาบอกว่า ทุก ๒ ปีครับไม่ใช่ทุกปี เออ…หน้าแตก แต่เขาก็ไม่ใช่เต่าและไม่มีใครรู้ดีเท่าเต่า แต่ตอนนี้ยังคุยกับเต่าไม่รู้เรื่อง แต่มีข้อสันนิษฐาน ๓ ข้อ คือ เพราะเต่ามันจำสถานที่ที่มันคลานลงน้ำได้,สองเพราะเต่ามันว่ายน้ำแล้วมันต้องเงยขึ้นบนผิวน้ำเพื่อหายใจ มันจึงสังเกตและจำดวงดาวได้ และสามก็มันเป็นเรื่องของแม่เหล็กโลก อะไรทำนองนี้แหละ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันเป็นความเห็นของมนุษย์ที่ทำว่ารู้ดีเท่าเต่า ฮิ…เต่ามันอาจจะบอกว่าไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ กูไม่รู้จะไปไข่ที่ไหนต่างหาก ฮา..

๓.เรื่องฉลาม เขาบอกว่าคนชอบกินหูฉลามดังนั้นฉลามก็ถูกฆ่าตายลงไปเรื่อยๆ เขาจึงมีโครงการศึกษาชีวิตฉลาม โดยเอาฉลามมาเลี้ยง แต่การจับฉลามมาติดเครื่องมือเพราะต้องการติดตามเรียนรู้วิถีชีวิตและการเดินทางของฉลามซึ่งทำได้ยากมาก เพราะเขาเพิ่งจับฉลามมาติด tag สีเหลืองได้แค่ ๒ ตัวเป็นตัวผู้ตัวหนึ่ง และตัวเมียอีกตัว แต่รับรองไม่งงว่าตัวไหนตัวผู้ตัวไหนตัวเมียเพราะ ถ้าเป็นสามเหลี่ยมแสดงว่าเป็นตัวเมีย สี่เหลี่ยมก็ตัวผู้ครับ การจับฉลามซึ่งมันจะอยู่เป็นฝูงพอจับได้สักตัวฝูงมันจะตื่นแล้วมันจะหายไป จึงยังจับได้ไม่มาก และเมื่อจับมาจะติด tag ก็มีปัญหาอีกเพราะฉลามไม่อยู่นิ่ง แต่ในที่สุดเขาก็ทำให้ฉลามนิ่งได้ เพราะเมื่อฉลามคว่ำอยู่เลือดมันอยู่ที่ลำตัวทำให้มันสามารถเคลื่อนไหวได้ แต่พอจับมันหงายเลือดมันก็จะไปอยู่ที่หลังตามแรงโน้มถ่วงของโลกมันก็ดิ้นไม่ได้ ผมฟังจากที่เขาบรรยายนะครับ ถ้าเล่าให้ฟังผิดก็แสดงว่าแปลผิด เอิ้กๆๆ

น้ำเค็มที่มัลดีฟส์แปลกมากไม่เหนียวตัวเลยครับ นั่งอยู่ที่ศาลาเป็นชั่วโมงก็ไม่เหนียวตัวทั้งๆที่ลมพัดตลอดเวลา เหมือนอาบน้ำจืดธรรมดา ทำให้ผมสงสัยเป็นยิ่งนักว่าน้ำทะเลที่มัลดีฟส์มันเค็มหรือเปล่า น้ำทะเลบ้านเราเค็มจึงเหนียวตัว ทดสอบมาแล้ว ตอนดำน้ำสกูบ้าเผลอตอนหายใจ ทางปากในน้ำ ซัดเสีย ๒-๓ อึก เค็มครับขอบอก…..ฮึๆๆ
มัลดีฟส์มัลดีฟส์

เย็นวันนี้ ลูกสาวเขาจัดการความหรูหราให้อีกโดยมี Villa Dining ก็คือให้โรงแรมมาจัดอาหารเย็นให้เรากินดูพระอาทิตย์ตกน้ำอีก เมื่อเช้าเราไปทานอาหารดูพระอาทิตย์ขึ้นที่แซนด์แบ๊งค์ได้บรรยากาศไปแบบหนึ่ง ตอนเย็นก็เป็นอีกแบบหนึ่ง อาหารมื้อนี้เป็นซีฟู้ด กุ้งลายเสือ ปลาแซลมอนอบควัน (เหมือนเมื่อตอนเช้าแต่กุ้งลายเสือเขาย่างแล้วแกะเปลือกให้ด้วย ผิดกันแต่ว่ามื้อนี้เขามาย่างกุ้งที่ข้างห้อง ส่วนของตอนเช้าเป็นกุ้งที่เหลือจากคืนวาน ฮิๆๆ) เมนคอร์สเป็นกุ้งมังกรบาร์บีคิว ปลาบาร์บีคิว ข้าวโพดบาร์บีคิว(บ้านเราเรียกข้าวโพดปิ้งไง…แฮ่) แถมสลัดอีก ๒ อย่าง จากนั้นก็มีของหวานเป็นกล้วยอยู่หน้าคัสตาร์ดก็อร่อยดี บรรยากาศดีมากๆ เพราะเราทานอาหารกันสี่คนพ่อแม่ลูกที่ข้างห้องพัก แถมมีจุดเทียนรอบที่นั่ง หะรูหะรามาก ลูกสาวผมสนิทกับเขาไปทั่ว FB Manager ก็สั่งแชมเปญมาให้คนละแก้ว ผมถามว่าราคาต่อหัวเท่าไหร่ลูกสาวมันอ้อมแอ้มไม่ยอมบอก แต่ผมแอบไปดูราคา หัวละ ๘๐ เหรียญดอลล่าร์อเมริกัน เฮ้อ…ลูกตูหมดไปกี่ตังค์ละเนี่ย อ้อ..ขอบอกพระอาทิตย์ตกสีสรรค์สวยงามมาก
มัลดีฟส์

ยังมีเล่าต่ออีกตอนนะ…อิอิ

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : ไปเยี่ยมสาวมัลดีฟส์๓

Next : สาวมัลดีฟส์๕ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.68058800697327 sec
Sidebar: 1.0247709751129 sec