เมื่อผมไปเป็นกรรมการยกร่างรายงานแก้ไขสถานการณ์ภาคใต้๒.

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 15 มิถุนายน 2009 เวลา 15:21 ในหมวดหมู่ พระปกเกล้า, เรื่องทั่วไป, เสริมสร้างสังคมสันติสุข #
อ่าน: 1406

คราวที่แล้วผมเล่าให้ฟังถึงการร่วมมือกันแก้ปัญหาระหว่างไทยพุทธและมุสลิมแก้ปัญหาความขัดแย้งร่วมกัน นั่นจบไปครั้งหนึ่ง แต่จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหาไม่ใช่พุทธแก้ฝ่ายเดียวแล้วจะแก้ปัญหาได้ ปัญหานี้เราต้องแก้ด้วยกันทั้งพุทธและมุสลิมครับ แต่ในการปกครองมักเกิดปัญหากระทบกระทั่งกันอยู่เรื่อยแหละครับ ท่านนายกฯชวน ได้เล่าให้ฟังสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการรณรงค์วัฒนธรรมนำไทย หรือวัฒนธรรมไทยนิยม (ให้คนไทยสวมหมวก(มาลานำไทย) ห้ามกินหมาก อันนี้ผมว่าเอง….) ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านไปพบนายอดุลย์ ณ สายบุรี หรือตวนกูยะลานาแซร์ อดีต ส.ส.ที่ไม่พอใจการกระทำของจอมพล ป.หลังจากถูกจำคุกในคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ๗ ปี แล้วท่านก็ไปอยู่ที่รัฐกลันตันไม่ยอมกลับไทย ท่านนายกฯชวนและเพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไปเยี่ยม ขอให้ท่านกลับมาเมืองไทยแต่ท่านไม่ยอมกลับ เพราะรับไม่ได้กับจอมพลป.ที่บังคับให้ท่านคำนับพระพุทธรูป ในที่สุดนายอดุลย์ ณ สายบุรี ก็เสียชีวิตที่รัฐกลันตัน

ในสมัยจอมพลป.คนไทยได้รับผลกระทบมาก เราจะเห็นนิยาย ละคร ที่พูดถึงความไม่เป็นธรรมที่ได้รับจากรัฐบาลสมัยนั้น ถูกบังคับอย่างภาพยนตร์เรื่องโหมโรง ที่ถูกคำสั่งห้ามเล่นดนตรีไทยให้เล่นดนตรีสากล หรือนักเขียนอย่างกุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่ถูกจับเนื่องจากไปเขียนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เป็นต้น (ย่อหน้านี้นายกฯชวนไม่ได้เล่า ผมเล่าเอง อิอิ)

แล้วท่านนายกฯชวนก็เล่าให้ฟังว่าการแก้ปัญหาภาคใต้ในสมัยที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี กำลังเดินหน้าไปด้วยดีเหตุการณ์สงบลงเรื่อยๆ ในปี ๒๕๔๓ เกิดเหตุการณ์ไม่สงบเพียงไม่เกิน ๑๐ ครั้ง แต่มาถึงปัจจุบันมันเกิดมากเหลือเกิน ท่านเล่าให้พวกเราฟังถึงนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนใต้ เริ่มเขียนใช้ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๒๑ สมัยพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ฉบับนี้ใช้ถึง ๑๐ ปี ฉบับต่อๆมาใช้ฉบับละ ๔ ปี

นโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนใต้ได้ศึกษามาจากทุกกลุ่ม พี่น้องพุทธ มุสลิมและศาสนาอื่น ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ ทหาร ตำรวจ พลเรือนทุกฝ่าย ผู้นำศาสนา ทั้งฝ่ายต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในบ้านเมืองมามีส่วนรวมในการกำหนดแนวนโยบายว่า ในท่ามกลางความหลากหลายในพื้นที่ เราควรจะมีแนวนโยบายเป็นหลักอย่างไร พื้นที่นี้จึงจะมีความเจริญก้าวหน้าในวันข้างหน้า….

ปัญหาภาคใต้มารุนแรงในสมัยรัฐบาลนายกฯทักษิณ แต่ผมไม่โทษท่านเพียงลำพังหรอกครับ(นี่ผมว่าเองนะ..ไม่เกี่ยวกับนายกฯชวน) เพราะปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับมลายูปาตานีมันมีมาก่อนเป็นร้อยปีแล้วจะโยนใส่ท่านคนเดียวก็ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะหากมลายูปัตตานีเพิ่งได้ความเดือดร้อนจากการกระทำของคนไทยในปัจจุบันก็ไม่น่าจะทำให้เหตุการณ์ลุกลามขนาดนี้ แต่พฤติกรรมและวจีกรรมของท่านเป็นตัวจุดเชื้อประทุมากกว่า…

การแก้ปัญหาด้วยการหมกเม็ดปกปิดความจริง ไม่ยอมรับเรื่องการแบ่งแยกดินแดน เป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นแค่โจรกระจอก และคิดจะจัดการแบบง่ายๆโดยใช้ความรุนแรงแบบจัดการหัวโจกเสียก็สิ้นเรื่อง รับรองสามเดือนจบ คำถามเกิดขึ้นมาว่าทำถูกคนแล้วหรือ มีอะไรพิสูจน์ล่ะว่าเขาทำ คนคือมนุษย์ครับไม่ใช่ผักปลาที่จะจัดการง่ายๆแบบนั้น ญาติพี่น้องเขาก็มี สังคมมุสลิมเป็นสังคมที่รักพวกพ้องถึงไม่ใช่ญาติแต่มุสลิมทั่วโลกเขาเป็นพี่น้องกัน เรื่องเหล่านี้บรรดาผู้บริหารทั้งหลายต้องทำความเข้าใจเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ทางฝ่ายมุสลิมเองในพื้นที่ก็มีการปลูกฝังความรู้สึกเกลียดชังซีแยอย่างต่อเนื่อง การปลูกฝังเด็กตั้งแต่ยังแบเบาะด้วยเพลงกล่อมเด็ก การแอบแฝงฝังลึกค่านิยมในโรงเรียนเอกชนในระดับต่างๆ หรือสร้างสรรค์เป็นเพลงชาติ ล้วนแล้วแต่สร้างความเกลียดชัง ความกลัว ให้กับยุวชนมุสลิม ในขณะที่ชาวไทยเองสอนในเรื่องประวัติศาสตร์ให้ยิ่งใหญ่กว่าชาติอื่น แทนที่จะสอนประวัติศาสตร์ด้วยความจริง แทนที่จะสอนให้เข้าใจเพื่อนบ้าน เรากลับสอนว่าเขาด้อยกว่าเรา เราไม่นึกว่าเขาก็เป็นชาติ ดังนั้นคงไม่มีใครอยากเห็นชาติของตัวเองต่ำกว่าคนอื่น ทุกชาติย่อมอยากจะเห็นชาติของตนยืนทัดเทียมชาติอื่น ได้รับเกียรติจากชาติอื่นเคียงบ่าเคียงไหล่กัน การเขียนประวัติศาสตร์เช่นนี้ทำให้คนไทยไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง คิดว่าตัวเองกำลังจะเป็นเสือตัวที่ ๕ ทำไมทำมาผมว่าได้แค่แมวตัวที่ ๑๐ ก็เก่งแล้ว อิอิ

วันนี้เหตุการณ์ในภาคใต้กำลังร้อนระอุ ทั้งพุทธและมุสลิมต่างรู้สึกเจ็บปวด การที่มัสยิดถูกยิงกราดมีคนเจ็บและคนตาย คนมุสลิมเขารู้สึกสับสนสงสัยว่าใครทำ กระแสที่ปลุกปั่นก็บอกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐทำ เพื่อเพิ่มความเกลียดชัง แต่ผมมองด้วยใจเป็นกลางว่าเรายังไม่รู้จริงๆว่าใครก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ แต่ถ้าคนของรัฐทำมันก็โง่เง่าสิ้นดี จับตัวได้สมควรประหารชีวิต ไม่มีศาสดาพระองค์ใดในศาสนาใดสอนให้คนทำอย่างนั้นกับศาสนาอื่น แต่ก็มิได้หมายความว่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิเสธจะรับฟังไม่ได้เลย เพราะการโยนความผิดใส่เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งๆที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้ทำมันมีจริงๆ

ทุกวันนี้ชุดลายพราง ชุดดำ ชุดเขียว มีขายกันเกร่อไปในท้องตลาด ใครซื้อเอามาใส่ก็ได้ หากการกระทำดังกล่าวเป็นกลุ่มผู้ก่อการไม่สงบ เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างพุทธกับอิสลาม ถ้าผมเป็นมุสลิมก็ต้องถือว่าเขาไม่ใช่ศาสนิกในศาสนาที่ผมนับถือ เพราะเราจะฆ่าคนเพื่อให้บรรลุความต้องการโดยอ้างเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าผมว่าไม่เป็นธรรมกับพระองค์ท่าน เพราะท่านสอนให้รักมนุษย์มิใช่หรือ…

เอาเถอะไหนๆมันเกิดขึ้นมาแล้ว ขอให้ทั้งพุทธและมุสลิม จึงมีความมั่นคงในจิตใจ รับฟังข้อมูลข่าวสารด้วยใจเป็นกลางแล้ววิเคราะห์ด้วยเหตุด้วยผลปราศจากอคติ เราคงเข้าใจความจริงได้บ้าง เราคงจะหาทางแก้ไขปัญหาให้สงบลงโดยเร็ว

ท่านนายกฯชวนได้อ่านร่างรายงานของพวกเราแล้ว ท่านแสดงความเห็นด้วยบางประการ ไม่เห็นด้วยบางประการด้วยเหตุและผลซึ่งเราก็รับมาวิเคราะห์วิจารณ์ ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน นี้เราจะนำเสนอในการสัมมนา “การเมืองต้องนำการทหาร” ซึ่งร่วมกันจัดโดยเครือข่ายสันติภาพชายแดนใต้(Peace Net) ที่โรงแรมสยามซิตี้ ถ.ศรีอยุธยา พญาไท กรุงเทพฯ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพญาไท ครับ

คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อว่าข้อเสนอของพวกเรามีอะไร…

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : เมื่อผมไปเป็นกรรมการยกร่างรายงานแก้ไขสถานการณ์ภาคใต้

Next : เมื่อผมไปเป็นกรรมการยกร่างรายงานแก้ไขสถานการณ์ภาคใต้๓. » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 มิถุนายน 2009 เวลา 22:34

    เป็นเรื่องที่ลึกเกินกว่าจะคิดอะไรง่ายๆนะครับ
    ต้องใช้ สังคมวิทยา-มานุษยวิทยา นำการทหาร
    เป็นกรณีศึกษาที่ผู้รับผิดชอบบ้านเมืองตั้งแต่เล็กจนใหญ่โตคับบ้านเมืองต้องทำความเข้าใจอย่างมากๆครับ

  • #2 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 มิถุนายน 2009 เวลา 12:37

    ถูกต้องครับพี่บู้ธ
    มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้พวกผมที่เป็นคณะทำงานก็รู้ครับว่ามันไม่ง่าย แต่สิ่งที่เรากำลังทำก็คือช่วยรัฐทางหนึ่งเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือความกลัวเสียหน้า กลัวจะมองว่ารัฐแพ้ จึงไม่ยอมเจรจากันในขณะนี้ ใครที่พูดว่าปัญหาภาคใต้แก้ได้ภายในไม่กี่เดือนไม่กี่วัน ผมไม่อยากเชื่อเลยจริงกับสิ่งที่เราไปเรียนรู้มา เว้นแต่ว่าเราจะแก้ไปพร้อมกันทุกองคาพยพให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนทุกกระทรวง ทบวง กรม เช่น กระทรวงศึกษาจัดให้มีการเรียนสองภาษาทั้งไทยและมลายู ซึ่งผมมองว่าไม่เห็นแปลกถ้าทำดีเราจะได้มีเด็กนักเรียนเข้ามาเรียนในโรงเรียนของรัฐเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันเราลดกำลังทหารในพื้นที่ที่เหตุการณ์สงบลง ด้านสังคมเราอาจกำหนดเมืองปลอดอบายมุขในสามจังหวัด ใครอยากเที่ยวกลางคืนไปหาดใหญ่ เป็นต้น แต่นับหนึ่ง สอง สาม แล้วทำพร้อมกัน ผมว่ามันจะมองเห็นเป็นรูปธรรม ไม่รู้ว่าผมคิดถูกหรือผิด แต่ที่คิดเพราะเราใช้ทหารก็แล้ว อะไรก็แล้วก็ยังไม่เห็นแก้ปัญหาให้จบได้เลย


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.59290885925293 sec
Sidebar: 0.92861604690552 sec