บันทึกถึงลูกชาย(๓)
อ่าน: 1463ผมเพิ่งนึกได้ว่าลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง คือลืมถ่ายรูปมาลงบันทึก จะเอารูปที่ถ่ายติดไว้ในบันทึกมาให้ดูด้วย แต่ภาพเสียเยอะเนื่องจากโดนน้ำท่วมหาดใหญ่ น้องเนติ์เขาเอาสมุดเล่มนี้ไปด้วยตอนเรียนปริญญาตรี แต่ก็ยังคงมีสภาพให้เห็น ก็เลยตั้งใจว่าภาพที่ติดไว้ในสมุดตรงกับเหตุการณ์ช่วงใดก็จะโพสต์ไว้ที่บันทึกนั้นนะครับ เช่นภาพน้องเนติ์ตัวเปื้อนเลือดก็จะอยู่ในบันทึกแรก เป็นต้น
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๕
ลูกพ่อดื้อขึ้นทุกวัน หมอดูเคยบอกพ่อว่า ลูกจะเป็นเด็กที่ดื้อ เคารพความคิดของตัวเองอย่างมากและให้พ่อพยายามชักจูงให้ลูกสนใจธรรมะ พยายามพาลูกใส่บาตรตอนเช้าๆ จะได้เห็นสิ่งดีๆจิตใจของลูกจะอ่อนลงบ้าง เด็กลายมือขาดอย่างลูก ถ้าดีก็ดีใจหาย ถ้าร้ายก็ร้ายเหลือ พ่อจึงพยายามให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และยิ่งดูลูกยิ่งแก่แดดมากขึ้นทุกวัน หากใครขัดใจจะแผดเสียงร้องจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ คิดอีกทีนั่นอาจจะเป็นธรรมชาติของเด็ก แต่พ่อจำเป็นต้องขัดใจลูกเพราะการตามใจลูกตั้งแต่ยังเล็กจะทำให้ลูกนิสัยเสียได้ในตอนโต ดังนั้นพ่อจึงต้องตีมือลูก เมื่อลูกดื้อ เป็นเรื่องที่พ่อจำเป็นต้องทำเพื่อฝึกนิสัยลูกให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า จะโกรธกันไม่ได้นะ…..
๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๕
ขณะที่เขียนบันทึกชีวิตใหม่ในครอบครัวคนนี้ ชักจะน่าเตะขึ้นทุกวันเพราะพ่ออุตส่าห์พาไปกรุงเทพเพื่อไปในพิธีรับเข็มเนติบัณฑิต ให้เจ้าเนติกรได้มีโอกาสดูงานพิธี ดูสิ่งแปลกใหม่ แทนที่จะรู้จักฟังหรือเชื่อพ่อบ้างแต่ลูกก็ไม่ยอม ดื้อหนักขึ้นไปอีก ไปเที่ยวไดมารู เซ็นทรัล ก็จะเดินเอง อุ้มก็ไม่เอา จูงก็ไม่เอา แถมยังจะมุดร้านโน้น ดูร้านนี้ ขัดใจเข้าหน่อยก็ร้องไห้ พาไปนั่งรถ นั่งเรือ นั้งเครื่องบิน(เด็กเล่น)ก็ไม่ยอมลง พักที่โรงแรมก็ปีนหัวเตียง ปีนเก้าอี้ แถมอึใส่พรม ฉี่ใส่ที่นอน เดี๋ยวจะอาบน้ำอุ่น แสนจะวุ่นวาย พาไปเที่ยวเขาดินก็จะลงเดินดูโน่นดูนี่ จะดูลิงมั่งละ ดูวัวกระทิง ดูม้าลาย จะอุ้มก็ไม่ยอม จะดูเอาหน้าแนบกรง แล้วยังงี้จะไม่ให้น่าเตะได้ยังไง
นอกจากดื้อแล้ว ยังอ้อนเก่ง ออเซาะ เอาใจเก่งสารพัด หากพ่อกับแม่ไม่สนใจจะพูดด้วย ก็จะมาเซ้าซี้ มานอนข้างบ้าง เอาหัวมาซุกบ้าง ถ้าพ่ออ่านหนังสือก็จะเอานิ้วมาจิ้มหนังสือแล้วเงยหน้ามายิ้มบ้าง สารพัดที่จะนำวิธีการมาใช้ให้พ่อกับแม่พูดคุยยิ้มหัวให้ได้ วิธีนี้ค่อยหน้ารักหน่อย
แต่ก็นั่นแหละ ลูกไปกรุงเทพคราวนี้พ่อก็อดไปงานราตรีนักกฎหมายรามและงานวันรพีของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาจนได้เพราะเป็นห่วงลูก แล้วงานพิธีรับพระราชทานประกาศนียบัตรเนติบัณฑิต ลูกจะตามพ่อไปอีกหรือเปล่า หือ…..
๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๕
ความซนของลูกได้ผลอีกแล้ว เมื่อสองวันก่อนลูกมีอาการตาแดง เมื่อวานพ่อเลยพาลูกไปโรงพยาบาล หมอให้ยาหยอดตามา ปรากฏว่าวันนี้ลูกมีอาการตาแดงทั้งสองข้าง พอประมาณ ๔ โมงเช้าเศษ ลูกก็ล้มลงตาข้างซ้ายกระแทกเอาขอบประตู จนตาลูกบวม มีแผลนิดหนึ่ง เหมือนนักมวยเลย ฮา…
๒๒ สิงหาคม ๒๕๒๕
ฉลองวันเกิดของลูกวันนี้ พ่อทำเค้กขนาด ๓ ปอนด์ ใหญ่กว่าที่พ่อทำให้ปูเป้ ป๋อมแป๋ม ในคราวครบวันเกิดของพี่ทั้งสองของลูก(ลูกพี่สาว) เค้กของลูกเป็นเค้กฉลองวันเกิดของลูก ฉลองเนติบัณฑิตของพ่อ และฉลองวันเกิดของก้ออ้อยด้วย ลูกสนุกมาในวันนี้โดยเฉพาะกับการตัดเค้ก ลูกตัดตั้งหลายชิ้น และเมื่อลูกกลับมาที่ตะกั่วป่า ใช้ให้ลูกทำอะไรก็ทำ ลูกทานข้าวได้เยอะกว่าปกติ เพราะพ่อกับแม่ชอมว่าลูก “เก่ง” พร้อมทั้งตบมือ ลูกตบมือด้วย แล้วลูกก็ทานได้เยอะ ทานเสียท้องกางเลย แต่ตอนจะนอนลูกกลับโยเย คงจะเป็นเพราะอิ่มเกินไปละมั๊ง…
วันนี้พ่อถ่ายภาพให้ลูกร่วมกับคุณปู่ คุณย่า คุณแม่ และพี่ปูเป้ สถานที่ถ่ายคือที่บ้านใหม่ของคุณปู่ (ร้านจำเริญภัณฑ์และพังงาพิมพ์ดีดครุภัณฑ์) โดยก๋ง(คุณปู่)เขียนคำอวยพรว่า
“เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเนติกร ทองตัน หลานปู่-ย่า ขออวยพรให้หลานรัก จงมีความสุข ความสดชื่น มีพลานามัยสมบูรณ์ แข็งแรง ขอให้เป็นบุตรที่ดี เชื่อฟังคำสอนของพ่อ-แม่ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตต่อไปในอนาคตสืบไป” และลงชื่อ จำเริญ ทองตัน ย่าก็ลงชื่อ ราตรี ทองตัน พร้อมกับมีของขวัญเป็นสร้อยคอนาคและหลวงพ่อแช่มวัดฉลองหุ้มนาค ๑ เส้น
ก้อนวล ก้อน้อย เตี่ยววิทย์ และก้ออ้อย ร่วมกันลงนาม โดยก้อนวลเขียนว่า “ขออวยพรให้หลานรัก เป็นเด็กฉลาด มีสติปัญญาเฉียบแหลม สุขภาพสมบูรณ์ตลอดไป” มีของขวัญจากก้อนวลเป็นรองเท้า ๑ คู่ ถุงเท้า ๒ คู่ ก้อน้อยให้กางเกงขายาวมีสายสะพาย ๑ ตัว ก้ออ้อยให้หมวกกลาสี ๑ ใบ และกู่ตึ๋งให้ของขวัญเป็นรองเท้า ๑ คู่ ถุงเท้า ๒ คู่ ส่วนป้าเปี๊ยดกับป้าเปี๊ยด ให้เสื้อ กางเกงขาสั้นและเสื้อกับกางเกงขายาว คนละ ๑ ชุด
กู่ตึ๋ง ก็มาอวยพรเขียนว่า “คิดเหมือนของเตี่ยว” ยังกับเขียนในสมุดพกโรงเรียนเลย..
๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๕
ความรู้สึกของคนเป็นพ่อ เมื่อคำว่า “พ่อ”หลุดออกจากปากลูกคำแรก มันมีความรู้สึกบอกไม่ถูก ทั้งดีใจ ตื้นตันใจ และยังมีความรู้สึกว่าสมบูรณ์ในการที่เราเป็นครอบครัวหนึ่ง ลุงโชติช่วง ผู้พิพากษาเคยบอกพ่อว่า เมื่อได้ยินลูกเรียกพ่อครั้งแรก เราจะรู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ทันทีและมันก็จริงเมื่อได้ยินลูกเรียก “พ่อ”เมื่อวานนี้ ลูกเรียกพ่อแล้ว
แต่…วันนี้ ลูกยังไม่เรียกพ่อสักคำเลยแฮะ..แล้วอีกสักกี่วันลูกถึงจะเรียกอีกล่ะ….
๑ กันยายน ๒๕๒๕
วันนี้พ่อรับค่าว่าความทั้งหมด ๑๕,๐๐๐ บาท ใช้หนี้หมดแล้ว เพียงแต่หวย ซื้อทีไรไม่เคยถูกสักที เหลือแต่เพียงค่าโทรทัศน์ของก้อนวลยังจ่ายไม่ไหมด เดือนหน้าจะได้ค่าว่าความอย่างนี้อีกไหมก็ยังไม่รู้ แต่ที่รู้เดือนนี้พ่อต้องขึ้นกรุงเทพเพื่อสมัครอัยการ ชำระค่าสมาชิกสามัญ(เนติบัณฑิต) ยังไม่รู้จะต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ แต่พ่อก็ภูมิใจที่งานของพ่อที่อุตส่าห์ทนกล้ำกลืนมาหลายเดือน กำลังได้รับผลดีตามที่ต้องการ หากเป็นไปได้เมื่อเริ่มขายประกันได้เงินดี พ่อจะสร้างรถใหม่สักคัน แล้วโครงการต่อไปก็คือจะสร้างบ้านของเราขึ้นมาสักหลังแต่คงยังอีกนาน หากพ่อสอบอัยการได้โครงการที่ว่าคงเป็นหลายๆปี แต่ถ้าพ่อได้เป็นอัยการลงมาอยู่แถวพังงาหรือตะกั่วป่า ปู่กับก้อนวลก็น่าจะขายสินค้าได้คล่องขึ้นอีกแยะและครอบครัวของเราก็คงไม่มีใครกล้าข่มเหงเหมือนกับที่ปู่เคยโดนมาบ้างแล้ว และที่พ่อเคยคิดเอาไว้ หากได้รับราชการแล้วต้องใหญ่ให้จริง และเรื่องราวของครอบครัวคนจีนที่มีความคิดว่า จะต้องให้ลูกรับราชการเป็นเจ้าคนนายคน พ่อว่าคนจีนคิดไม่ผิดหรอก เพราะคนจีนส่วนใหญ่มีอาชีพทำการค้า และคนทำการค้าย่อมจะต้องเคารพนบนอบพวกข้าราชการเพื่อผลทางการค้า ทั้งๆที่ขัดกับความรู้สึก ดังนั้นความคิดของคนจีนที่อยากให้ลูกเป็นใหญ่เป็นโตย่อมไม่ผิด หากเป็นเพื่อลดปมด้อยให้ครอบครัว แต่ถ้าให้เป็นข้าราชการเพราะทุจริตคอรัปชั่นง่าย ก็ต้องเป็นความคิดผิดๆแน่……
« « Prev : ถ้าผมจะส่งประกวดมั่ง
4 ความคิดเห็น
ครับท่าน
ค่ะท่าน
ครับทั้งสองท่าน
Hahaaahh. I’m not too bright today. Great post!