ขอม สยาม เขมร …ทฤษฎีใหม่

โดย withwit เมื่อ 28 January 2011 เวลา 5:13 pm ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2299

ขอม สยาม เขมร : ทฤษฎีใหม่

 

ผมได้เขียนบทความแสดงหลักฐาน ข้อมูล ความเห็น แห่งความเป็นมาของสยาม ขอม เขมรไว้หลากหลาย  ทำให้มีคนเห็นด้วยจำนวนมาก ที่ไม่เห็นด้วยแล้วด่าหยาบคายหาว่าผมโง่กว่าควาย คลั่งชาติ ก็ไม่น้อย บัดนี้ผมใคร่ขอสรุปสาระสำคัญไว้ให้เป็นที่ปรากฏในสามประการคือ:-

 

1) สยามคือขอมตัวจริง  

2) เขมรนั้นไม่ใช่ขอมแต่เป็นทาสขอม ผู้ซึ่งฆ่าขอม/สยาม/เสียม ตายเรียบ แล้วตั้งชื่อเมืองว่า เสียมเรียบ

3) พระเจ้าอู่ทองเป็นขอมที่หนีตายมาจากนครวัด  แล้วมาสร้างกรุงศรีอยุธยา

 

ผมไม่ได้กล่าวลอยๆ แต่มีหลักฐาน เหตุผล และตรรกะ สนับสนุนทุกถ้อยกระทงความ รวมทั้งเอาเศษกระเบื้องทางประวัติศาสตร์หลายตัวมาต่อกัน จนเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งผมขอท้านักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีให้คิดแย้ง (และหากแย้งไม่ได้ก็น่าจะช่วยสนับสนุนแนวคิดผมและช่วยหาหลักฐานเสริมด้วย)

 

สภาพภูมิประวัติศาสตร์ในภาพรวมก่อนนครวัด 3,000-200 ปี คือ ดินแดนที่ผมขอเรียกว่า “เส้นพระธรรม” (The dhamma belt) ได้ต่อแนวกันจากนครปฐม มาลพบุรี  ไปเมืองเสมา (อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา) ไปพิมาย โดยมีติ่งที่ศรีมโหสถ (อ.โคกปีบ จ.ปราจีนบุรี) แนวเส้นพระธรรมนี้เจริญผ่านยุคสำริดและยุคเหล็กมาอย่างโชกโชน (5000-2000 ปีก่อน พศ. 2500) ดังหลักฐานหลายร้อยหลุมขุดค้นที่พบโดยนักโบราณคดีทั้งไทยและเทศ  

 

ในช่วงพุทธกาลอารยธรรมเส้นพระธรรมนี้นับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก โดยมีฮินดูปนบ้างเล็กน้อย ในช่วงหลังกลายมาเป็นอารยธรรมที่เราเรียกกันว่า “ทวาราวดี” ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ดินแดนรอบๆนครวัดยังล้าหลังมาก เช่นมีการขุดค้นพบอารยธรรมยุคเหล็กประปรายเบาบางกว่าเส้นพระธรรมมาก  นี่เป็นพื้นฐานที่ชัดเจนว่านครวัดนั้นเกิดจากแพร่ของอารยธรรมจากเส้นพระธรรมเข้าไป โดยเฉพาะจาก ลพบุรี และ พิมาย เมื่อประมาณ คศ. 800  หรือประมาณ 1200 ปีมาแล้วนี่เอง

 

แต่ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์การแพร่นั้นย่อมแพร่จากที่เข้มข้นสูงไปสู่ที่เข้มข้นต่ำเสมอ

 

กษัตริย์องค์แรกแห่งนครวัดคือ พระชัยวรมันที่ ๒ นั้นไม่มีจารึกร่วมสมัยว่าเป็นใครมาจากไหน  พบแต่มีจารึกที่ปราสาทหินสด๊กก๊กธม (อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว) เมื่อ 200 ปีให้หลังว่ามาจาก “ชวา” (และนักวิชาการไทยก็เชื่อตามกันเป็นตุตะ) แต่มีนักวิชาการฝรั่งที่โดดเด่นเช่น charles higham เห็นแย้งว่าน่ามาจาก จาม หรือ ชามา (ไม่ใช่ชาวา) เสียมากกว่า 

 

แต่กระผม (ขยม) เห็นว่าน่ามาจาก ลาวา หรือ ลวะ หรือ ลพะ หรือ ลพบุรีนี่เอง เสียมากกว่า เพราะมันมีความเป็นไปได้มากกว่ากันถ้ามองในเชิงภูมิประวัติศาสตร์  (แต่การที่ higham เองซึ่งขุดไทยเขมรเสียพรุนไปหมด ยังเชื่อว่าเป็น ชามา ก็คงเพราะว่าเขมรปัจจุบันนี้เป็นเชื้อสายพวกจามนั่นเอง..ซึ่งตรงกับข้อสรุปของผม)

 

ชัยวรมันที่ 2 อาจเป็นลูกเจ้าท้าวเธอ คิดกบฏ หรือผิดใจกันอะไรสักอย่าง (เช่นเขาเป็นพุทธแต่ท่านนี้อยากเป็นฮินดู)  เลยถูกเณรเทศออกมาจาก ลว  ให้มาตั้งเมืองใหม่ที่นี่ โดยให้เป็นเมืองขึ้นของลว  จารึกที่สด๊กก๊กธมเล่าต่อว่า ชย. 2 ได้ไปเชิญพราหมณ์มาจาก จานาปาดา (janapada) เพื่อมาทำพิธีปัดรังควานให้นครวัดพ้นจากอำนาจของ ลว   (มันเป็นไปได้ยากมาก ที่ชวา จะมาสร้างอาณานิคมในแถบนี้เพราะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลปานนั้น การแล่นเรือข้ามทะเลจีนใต้มันไม่ใช่ง่ายๆหรอกนะ คลื่นลมแรงมากเป็นที่รู้กันดีในหมู่ชาวเรือ)

 

(ทฤษฎีอีกกระแสว่า ชวา ที่ว่า นั้นคือ ไชยา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย ที่เป็นพี่น้องกับทวาราวดีมาช้านาน)

 

จานาปาดานี้ผมว่าน่าจะคือ  ”ชนบท” (อ่านแบบแขกก็ได้ว่า “ชานาบาทา”) ซึ่งขณะนี้คืออำเภอชนบท จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นเมืองโบราณเก่าแก่บนเส้นพระธรรมอีกเมืองหนึ่ง นี่แสดงว่า ชย. 2 รู้เรื่องดินแดนในเส้นพระธรรมดีมาก ขนาดรู้ว่ามีฤาษีอยู่ที่ชนบท แสดงว่า ชย. เองก็มาจากดินแดนเส้นพระธรรมนี่แหละ ไม่ได้มาจาก “ชวา” หรอก

 

ผมจะชี้ให้เห็นต่อไปว่าลพบุรีนี่แหละคือ พ่อขอม ส่วนนครวัดนั้นเป็นลูกขอม (แต่เป็นอภิชาตบุตร)  ซึ่งตอนหลังก็กลับมาหาพ่อ มาอยู่กับพ่อตามเดิม อ้าว…แล้วเขมรล่ะ (ผมจะสรุปตอนท้ายว่าเขมรนั้นเป็นข้าทาสขอม)

 

ประมาณ คศ 1000  (ขออภัยที่ผมใช้คศ. แทนพศ. เพราะหลักฐานด้านกาลเวลาส่วนใหญ่อ่านมาจากภาษาอังกฤษ) เหตุการณ์เริ่มเข้มข้น เมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ขึ้นครองราชย์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งแห่งนครวัดนี้ ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามาจากที่ไหน จู่ๆก็เข้ามาเป็นกษัตริย์ แถมยังเป็นชาวพุทธเสียอีก ทั้งที่เขาเป็นฮินดูกันมาก่อนหน้านี้

 

เชื่อได้ว่าพระองค์น่าจะมาจากลพบุรีโดยลพบุรีเอากำลังมาแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์และเป็นพุทธไปเสียเลย (แต่ปชช.ส่วนใหญ่ยังเป็นพราหมณ์อยู่)  ไม่เช่นนั้นจู่ๆ จะเอากำลัง “ทหารพุทธ” ที่ไหนมา “ยึดอำนาจ” แล้วสถาปนาตนเป็นกษัตริย์พุทธ ยิ่งสมัยก่อนศาสนาคือทุกสิ่งทุกอย่างของสังคมก็ว่าได้

 

สย. ๑ นี้เชื่อกันว่าเป็นผู้เริ่มสร้างปราสาทพระวิหาร ที่ทำให้เขมรกับไทยบาดหมางกันมาถึงวันนี้ และย้งเป็นผู้เริ่มก่อสร้างปราสาทหินพิมายด้วย (เป็นปราสาทพุทธ)

 

80 ปีต่อมา สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 มีสลักในแผ่นหินบอกว่าท่านมาจากพิมาย (โคราชเรานี่แหละ) มีบิดาชื่อ กัมพู สวายามภูวา  ชื่อ สวายาม นี้น่าพิศวงมาก เพราะมันช่างพ้องกับคำว่า สยาม เสียเหลือเกิน  ผมเห็นว่าชื่อนี้แหละที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า “สยาม”  

 

นักวิชาการฝรั่งสันนิษฐานว่า ชว 6 มาจากการยึดอำนาจ ซึ่งผมเห็นด้วย 100%  และการยึดอำนาจนี้ต้องเป็นพิมายนั่นแหละที่ส่งทหารเข้ามาช่วยยึดอำนาจ  จากนั้นบรรดาทหารและครอบครัวที่อพยพมาค้ำบัลลังภ์ก็เลยถูกเรียกว่าพวก “สวายาม”  

 

ชย. 6 นี้ถือว่าเป็นผู้สร้างปราสาทหินพิมายหรือมาสร้างต่อจาก สว. ๑  (ราว คศ. 1100 ก่อนสร้างปราสาทนครวัดสัก 50 ปี)   รวมทั้งสร้างทางด่วนยาว 200 กว่ากม. เชื่อมพิมายกับนครวัดด้วย  หลักฐานยังมีให้เห็นจนทุกวันนี้ ซึ่งทั้งสองสิ่งก่อสร้างนี้เป็นหลักฐานมัดแน่นว่า ชย. ๖ มาจากพิมาย และผูกพันกับพิมายมากจนต้องสร้างทั้งปราสาทและถนน

 

หลักฐานบางชิ้นระบุด้วยซ้ำไปว่า ชย. ๖ ทรงประทับที่พิมาย ไม่ได้อยู่นครวัด

 

คศ. 1115 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้เริ่มสร้างปราสาทนครวัด) ก็มีจารึกว่าเป็นคนลพบุรี (แต่ครองราชย์ห่างจาก สย. 1 ถึง 70 ปี โดยมีกษัตริย์อื่นๆมาขั้นกลาง รวมทั้ง ชย. ๖ ด้วย)  ทรงทำสงครามกับพวกจามมากที่สุด และจับเอาพวกจามมาเป็นทาสมาก คงเพื่อเอาแรงงานมาสร้างปราสาทหินนี่เอง  แต่ตอนหลังพวกทาสนี่แหละที่จะกลายมาเป็นหอกข้างแคร่ และกลายมาเป็นเขมรในที่สุด

 

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของขอม) ก็ไม่มีจากรึกให้รู้ว่ามาจากไหนอีกแล้ว รู้แต่ว่ามาจากที่อื่น  แต่การที่เป็นพุทธเต็มตัวยิ่งกว่า สย ๑ เสียอีก แสดงว่าต้องมาจากดินแดนเส้นพระธรรมแน่นอน  แล้วยังมาใช้ชื่อต่อเป็น ชย. 7 ก็ใช่เลย แสดงว่ามาจากพิมาย

 

ชย. 7 เป็นผู้มาสร้างปราสาทนครวัดให้เสร็จสมบูรณ์ ก็คงด้วยแรงงานทาสจากพวกจามอีกนั่นแหละ เพราะไปรบกับพวกนี้มาก แล้วยังสร้างนครธมอีกด้วย และทำให้นครวัดเป็นพุทธไปหมดอย่างถาวรตลอดมาจนวันนี้ อีกทั้งมาบำรุงเส้นทางพิมายนครวัดให้สมบูรณ์ มีอโรคยาศาล (สุขศาลาริมทาง) เต็มไปหมด ยิ่งเป็นหลักฐานว่ามาจากพิมายแน่ๆ

 

ที่กล่าวมานั้นว่ากันตามลำดับเวลา ล้วนเป็นจิ๊กซอว์ที่ช่วยกันมาต่อภาพเต็มขึ้นเรื่อยๆ ก็ขอฝากไว้ให้นักโบราณคดีไทยและนักประวัติศาสตร์ไทยช่วยเอาไปคิดต่อด้วยครับ อย่าเชื่อฝรั่งไปเสียหมด โดยเฉพาะพวกฝรั่งเศสที่มีวาระซ่อนเร้นและใจไม่เป็นกลาง

 

สรุปได้ว่าการปกครองนครวัดนั้นเป็นการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างอำนาจจากลพบุรี และ พิมาย  (ซึ่งก็เป็นพี่น้องกันในอาณาจักรทวาราวดี)  โดยลพบุรีมีสายสุริยวรมัน ส่วนพิมายมีสายชัยวรมัน สองสายหลักที่ครองอำนาจนครวัดสลับกัน

 

ต้องไม่ลืมบริบทในอดีตด้วยที่บ้านพี่เมืองน้องสายเลือดเดียวกันนั้นเมื่อเมืองใดไร้กษัตริย์ปกครองขึ้นมา (แย่งกันจนฆ่ากันตายหมด) ปชช.มักจะไปขอหน่อเนื้อจากอีกเมืองหนึ่งให้ส่งกษัตริย์มาสืบสันตติวงศ์ต่อ เช่นลำพูนขอพระนางจามเทวีจากลพบุรีเป็นต้น ดังนั้น สย. ๑-๒ ชย.๖- ๗ ที่ว่ามาจากลพบุรีและพิมายนั้นก็คงมาด้วยเหตุดังกล่าวนั่นเอง อีกทั้งยังมีหลักฐานว่านครวัดเองก็เคยส่งกษัตริย์มาครองลพบุรี ซึ่งนักประวัติศาสตร์ก็ด่วนสรุปว่าเป็นเพราะชนะสงคราม ซึ่งผมว่าไม่มีใครเข้ากล้าทำแบบนั้นหรอก เป็นคนละเผ่ามาปกครองก็ถูกฆ่าตายหมด ไม่รอดหรอก สมัยก่อนรบชนะมีแต่กวาดต้อนปชช. และ ให้ส่งเครื่องราชบรรณาการเสียมากกว่า

 

 

จากนี้ไปจะเสนอกำเนิดเขมร โดยเริ่มที่คศ. 1336 (14 ปีก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยา) ที่ซึ่งกษัตริย์สาย “วรมัน” ที่ครองนครวัดมาประมาณ 500 ปีก็มีอันอันตรธานสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย กษัตริย์องค์ต่อมามีนามว่า ตรอสอกเปรแอม (แปลเป็นไทยว่า แตงหวาน) มีบุตรต่อมานามว่า นิพพานบท (หรือ นิวารณบทก็เรียก)

 

ผมวิเคราะห์ว่า ตรอซอกเปรแอมนี้ยึดอำนาจมาจาก “วรมัน” แต่เนื่องจากตนไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อพันธุ์เดียวกับพวกวรมัน แต่เป็นเชื้อชาติอื่น ก็เลยยกเลิกธรรมเนียมการตั้งชื่อเป็นวรมันไปเสียเลย

 

บริบทมัดแน่นว่าตระซอกฯนี้เป็นพวกข้าทาสจามชาวจามที่ถูกจับมาเป็นเชลย เป็นทาสรับใช้ในการสร้างปราสาท จนมีจำนวนมากกว่าพวกนายทาสที่เป็นพวกวรมันเสียอีก อยู่มาวันหนึ่งพวกนายทาสอ่อนกำลังลง ก็เลยยึดอำนาจ ฆ่าพวกนายทาสตายเรียบ แล้วตั้งชื่อเมืองนี้ใหม่ว่าเมือง “สยำเรียบ” เพราะพวกนายทาสนี้เป็นพวก “สยำ” นั่นเอง  ซึ่งคำว่าสยำนี้ตอนหลังเพี้ยนมาเป็นเสยียมแล้วเป็น “เสียมเรียบ” ในที่สุด (สำเนียงเขมร สระอาของเรามักเป็นสระเอียของเขา เช่น นางนาค ก็เป็นเนียงเนียก พระวิหาร ก็เป็นเพรียะวิเหียร์  สยามก็เป็นเสยียม)  

 

การวิเคราะห์ของผมไปตรงกับพงศาวดารเขมร ฉบับ “นักองค์เอง” เข้าอย่างจัง (นักองค์เองนี้มาพึ่งพระบารมี ร ๑ ของเรา จากนั้นส่งไปครองเขมร) ซึ่งพงศาวดารนี้เป็นฉบับแรกของเขมร (ที่ยังไม่มีอิทธิพลฝรั่งเศสเข้ามาเสี้ยมสอน)   พงศาวดารนี้บันทึกว่าต้นตระกูลเขมรมาจาก ตรอซอกเปรแอม (พระเจ้าแตงหวาน) และ นิวารณบท นี่เอง

 

ซึ่งในขณะนั้นนักองค์เองคงภูมิใจมากในตระซอกฯ ที่ปลดแอกเขมรออกจากการเป็นทาสได้  เพราะถ้าเขมรเป็นทายาทของขอมวรมันแห่งนครวัดจริง มีหรือที่นักองค์เองจะพลาดไม่ยอมพาดพิงไปถึง (อย่างน้อยก็ต้องถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นอย่างต่ำ จะหาว่าไม่รู้ก็ไม่ได้เพราะมีสลักจารึกบอกไว้หมด)  …แต่ด้วยความภูมิใจในเลือดเขมรที่ปลดแอกจากความเป็นทาสของพวก “สวายาม” ได้ ก็เลยระบุไปแบบพาซื่อและตามจริงว่าพวกตนเป็นหน่อเนื้อของ ตรอซอกเปรแอม

 

จนกระทั่งฝรั่งเศสเข้ามาก็มายกความเป็นขอมให้เขมรไปเพื่อผลประโยชน์ในการล่าอาณานิคมนั่นแล

 

หลักฐานสำคัญที่สุดที่ระบุว่าเขมรไม่ใช่ขอมคือ เขมรปัจจุบันนี้ใช้เลขฐาน ๕ พอหกเจ็ดก็ขึ้นเป็น ๕๑ ๕๒ ส่วนขอมโบราณนั้นเขานับ   ..๕ ๖ ๗ เหมือนลพบุรีเลย  หลักฐานง่ายๆ ใต้จมูก ที่นักประวัติศาสตร์มองไม่เห็นนี้ มันหลอกกันไม่ได้ บิดเบือนไม่ได้  มันตีแสกหน้าบอกเราเลยว่าเขมรไม่ใช่ขอม แต่เขมรคือพวกที่มาฆ่าขอมตายเรียบต่างหาก จนเรียกเมืองนครวัดว่าเมือง เสียมเรียบ นั่นเอง

 

การนับเลขเขมรนั้นน่าสนใจมาก เพราะ พอถึง ๕๓ ๕๔ แล้ว แทนที่จะเป็น ๖๐ กลับเป็น สิบ  ยี่สิบ สามสิบ จนถึงร้อย ล้วนเป็นภาษา”ไทย”หมดเลย แสดงว่าเขมรลอกการนับเลขไปจากไทย แต่ถ้าเขมรคือขอมก็น่าจะเก่งเลขมากกว่านี้

 

โจ้วต้ากวน (ทูตการค้าชาวจีน) ที่เข้ามาอยู่นครวัด ๒ ปีในสมัยช่วงปลายยุควรมัน ได้บันทึกไว้ (ถือเป็นบันทึกที่ทรงคุณค่ามาก) นครวัดเต็มไปด้วยทาส พวกคนชั้นสูงแต่ละคนมีทาสกันเป็นร้อยคน ซึ่งน่าคะเนได้ว่าทาสพวกนี้ส่วนใหญ่น่าจะมาจากเชลยศึกในการสงครามกับพวกจามนั่นเอง (ขอมกับจามทำสงครามกันหนักมาก และยาวนานมากนับสามร้อยปีเห็นจะได้  แต่ไม่ปรากฎว่าทำสงครามกับ ลพบุรีและพิมายเลย  แสดงว่าเป็นพี่น้องกันแน่นแฟ้นโดยสายเลือดนั่นเอง  

 

หลักฐานสำคัญที่สุดคือ ในช่วง คศ. 1177-1181 ขอมแพ้จาม นครวัดถูกจามยึดครองอยู่ถึง 4 ปี ดังนั้นนครวัดหมดอำนาจลง ถ้าลพบุรีและพิมายเป็นเมืองขึ้นนครวัดดังที่เชื่อกันเป็นตุตะก็คงจะดีใจกันเนื้อเต้น ประกาศอิสระภาพกันยกใหญ่ แต่กลับกลายเป็นว่า ลพบุรีและพิมายผนึกกำลังกันส่งกองทัพไปตีเอานครวัดคืนจากพวกจาม แล้วตั้งชัยวรมันที่ 7 ขึ้นเป็นกษัตริย์ ซึ่งกลายมาเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรขอมไปเลย จะว่าชัยวรมันที่ 7  ”สั่ง” ให้ลพบุรีและพิมายมาช่วยก็เป็นไปไม่ได้ เพราะสูญสิ้นอำนาจหมดแล้ว เมืองขึ้นที่ไหนใครเขาจะมาเชื่อฟังกระทั่งยอมตายส่งกองทัพมาช่วย มีแต่เขาจะซ้ำเติมเสียด้วยซ้ำไปแหละไม่ว่า ด้วยเหตุนี้ชัยวรมันที่ 7 จึงให้สลักภาพกองทัพ สยำกุก และ กองทัพลพบุรี ไว้ที่กำแพงนครวัด (จนคำว่าสยำกุก ยังเป็นคำที่นักวิชาการตีความกันอยู่จนบัดนี้)

 

เรื่องปีพศ. ภาพสลักสยำกุกนี้ยังไม่ลงตัว แต่มันใกล้ๆกับเวลาที่ชย. ๗ ไปชิงเมืองคืนนี่แหละ แม้ภาพด้านบนของภาพนี้จะเป็นภาพ สย. ๒ ก็ตาม แต่ปีที่สลักนั้นภายหลังยุค สย. ๒ มาก มันใกล้ยุค ชย. ๖ มากที่สุด (อาจเป็นการสลักของ ชย. ๖ ก็เป็นได้ เพื่อบันทึกว่าหทาร สยำกุกมาช่วยพระองค์ให้ขึ้นเป็นกษัติรย์นครวัด)

 

ผมเลยวิเคราะห์ต่อว่า เมื่อเกิดความเสื่อมในคนชั้นปกครอง (แย่งอำนาจกัน และ ไร้สมรรถนะ) พวกทาสที่มีจำนวนมากกว่านายทาสก็เลยรวมหัวกันยึดอำนาจเสียเลย แล้วสถาปนา ตระซอกประแอม ขึ้นเป็นกษัตริย์ จนเป็นต้นตระกูลเขมรนั่นแล

 

พงศาวดารฉบับนักองค์เองบันทึกว่า ตระซอกฯเป็นคนปลูกแตงให้กษัตริย์ แตงของเขาหวานมาก จนกษัตริย์อยากเสวย เลยลงมาเก็บแตงยามดึก ตระซอกฯนึกว่าเป็นโจรมาขโมย ก็เลยเอาหอกแทงตาย แล้วสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์  แถมเอาพระธิดากษัตริย์มาเป็นเมียเสียอีก

 

กล่าวฝ่ายชาวเสียมเมื่อ คศ. 1336  ปีที่ถูกพวกตรอซอกเปรแอม ฆ่าไม่หมดเรียบเสียทีเดียว จะหนีไปไหนดี ก็หนีไปซบอกพ่อ พ่อขอม ที่ลพบุรี นั่นแล (นครวัดช่วงนั้นมีพลเมืองประมาณ ๑ ล้าน อาจเป็นพวกเสียมเสีย 4แสน พวกทาสเสีย 6 แสนก็เป็นได้ ถูกฆ่าตายเสีย 1 แสน ก็เหลือรอดไป 3 แสน) 

 

ผมเสนอประวัติศาสตร์หน้าใหม่ว่า หัวหน้าใหญ่ชาวขอม (เสียม) ที่พากันอพยพหนีตายจากนครวัดเมื่อ คศ. 1336 คราวนั้นก็คือ พระเจ้าอู่ทอง นี่เอง ที่พากันหนีตายมาตั้งเมืองใหม่ที่อยุธยานี่แหละ

 

ทฤษฎีเดิมที่กรมพระยาดำรงฯว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรีนั้นบัดนี้ก็ว่าไม่ใช่แล้ว เพราะเมืองอู่ทองนั้นเป็นเมืองร้างมาก่อนหน้านี้สามร้อยปีแล้ว (จากหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดี)  บ้างก็ว่ามาจากเชียงแสน เป็นลูกขุนบรม บ้างก็ว่ามาจากสุโขทัยบุตรพระราเมศวร บ้างก็ว่าเป็นสุลต่านมุสลิมมาจากกลันตันมาลายู (ที่พระศพยังฝังอยู่ที่กลันตันจนวันนี้)  บ้างก็ว่าเป็นพ่อค้าชาวจีนมาจากเพชรบุรี (พงศาวดารฉบับวันวลิต พ่อค้าชาวฮอลันดา)

 

พระเจ้าอู่ทองนำคนประมาณ 3 แสนมาสร้างเมืองใหม่ที่อโยธยา (อยุธยา) ถามว่า..เอาคนจำนวนมหาศาลมาจากไหน?  อู่ทอง สุโขทัย เชียงแสน เพชรบุรี กลันตัน ในสมัยโน้นประชากรรวมกันจะได้ถึงสามแสนไหมหนอ (ในขณะที่นครวัดมีหนึ่งล้าน ใหญ่กว่าปารีส ลอนดอน แม้จะถูกฆ่าไปสักสองแสนก็ยังมีสามแสนรอดตาย) แล้วถ้ามีเมืองดังว่าจริงทำไมต้องอพยพมาตั้งเมืองใหม่ด้วย การอพยพย้ายเมืองขนาด 3 แสนคน มันไม่ได้ง่ายๆเพียงแค่ตามที่ทฤษฎีหนีโรคระบาดว่าไว้หรอกนะ เพราะเมืองใหญ่อื่นๆในโลกนี้ก็ถูกโรคระบาดเล่นงานก็ไม่เห็นมีใครเขาย้ายเมืองหนี เพราะมันไม่คุ้มกันหรอก อย่างมากก็แค่อพยพออกไปชั่วคราว พอโรคหายแล้วก็กลับเข้ามาใหม่  กรุงเทพฯในสมัยร.๒ ก็โดนหนัก  มีประชากรสองสองแสนกระมัง ก็ไม่เห็นย้ายหนีไปไหน

 

แล้วจู่ๆ แถวนี้เขาใช้ระบบการปกครองแบบธรรมราชาทั้งนั้น แล้วพระเจ้าอู่ทองเอาระบบ “เทวราชา” มาจากไหน ? โดยสถาปนาพระองค์เองเป็น พระรามที่ ๑ (อวตารของพระกฤษณะ)  ครองกรุงอโยธยา ตามคติฮินดูนครวัดเป๊ะเลย เสียแต่ว่าไม่ยอมใช้วรมันเท่านั้นเอง (คำว่า วรมันนี้ จริงๆก็มีใช้ในชื่อกษัตริย์แถบเส้นพระธรรม เช่นที่อู่ทอง และ ศรีเทพ มาก่อนหน้าที่ใช้ในนครวัดเสียอีก เชื่อกันว่าเป็นอิทธิพลจากกษัติรย์ปัลลวะในอินเดียตอนใต้ แต่ตอนหลังถูกศาสนาพุทธครอง ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นธรรมราชากันหมด เลิกระบบวรมันไป )

 

ส่วนที่เมืองเขมร ตรงกันข้ามเลย เคยเป็นเทวราชามา 500 ปี จู่ๆในปี คศ. 1336 ก็ยกเลิก หันมาเป็น ระบบอะไรก็ไม่รู้ (ระบบเขมร) ชื่อกษัตริย์ก็ไม่เป็นสันสกต กลายเป็นภาษาพื้นบ้านไปเลย คือ ตระซอกประแอม (แตงหวาน) นิพพานบท และ ลำพงราชา (องค์ที่สามนี้เริ่มมีแขกเข้ามาหน่อยแล้ว)  นี่ก็เป็นอีกหลักฐานสำคัญว่าพวกทาสเข้ามาเป็นกษัตริย์ก็เลยไม่กล้าอ้างตัวว่าเป็น เทวะ (เทพ) เพราะมันตรงข้ามกันเลย

 

สำหรับราชาศัพท์ไทยเราที่มีคำพ้องกับภาษา “เขมร” มากนั้น  (เช่น เสวย เขนย) ก็ “ใช่เลย”  ยิ่งเป็นหลักฐานมัดว่าขอมคือสยาม เพราะพระเจ้าอู่ทองทรงเป็นขอม จะให้พูดภาษาอะไรอื่นเล่า? (สุโขทัยยังใช้ว่าพ่อกู ขุนศรี แม่กูนางเสืองอยู่เลย ไม่มีราชาศัพท์)  ก็ทรงเป็นเทวกษัตริย์ขอมมาจากนครวัด ก็ต้องใช้ภาษาขอมนี้แหละ จะให้ใช้ภาษาอะไรเล่า  ดังนั้นราชาศัพท์นี้ไม่ใช่ “อิทธิพลขอม” ดังที่เชื่อกันมานาน แต่เป็น “ขอมทั้งดุ้น” ต่างหาก

 

ส่วนพวกเขมรเป็นทาสขอมมานานหลายร้อยปี ก็ซึมซับรับเอาภาษาขอมไปใช้ด้วย โดยก็มีการปนกับภาษาสยำมากทีเดียว (แต่เราไม่เคยคิด คิดแต่แบบปมด้อยว่าภาษาเราลอกเขมรมา)  เช่น นางนาค ก็เรียกว่า เนียงเนียก เป็นต้น พระวิหาร ก็เป็น เปรียวิเหียร์ ดังกล่าวแล้ว

 

ดังนั้นราชาศัพท์ไทยเราเป็นภาษาขอม แต่ไม่ใช่ภาษาเขมรอย่างแน่นอน พึงเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกเถิดคนไทยเอ๋ย

 

ลพบุรีและอยุธยานั้นมีคนพูดไทยปนกับคนพูดขอมอยู่แล้วก่อนแต่พระเจ้าอู่ทองจะย้ายมา ภายหลังตั้งอยุธยาคนพูดไทย มอญ ลาว ก็อพยพเข้ามามากขึ้น จนเพิ่มขึ้นเป็นล้านคนในที่สุด (เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกพอๆกับ ลอนดอน และปารีส) จนคนพูดภาษาไทยกลายมาเป็นใหญ่แล้วกลืนภาษาขอมเดิมเสียเกือบสิ้น ยกเว้นราชาศัพท์ ที่ยังเป็นภาษาขอมเป็นส่วนใหญ่ตามประเพณีเดิมแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง เลยถือเอาเป็นอุบายในการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ของระบบเทวราชาไปเสียเลย (เป็นเทพก็ต้องใช้ภาษาเทพสิ จึงจะดูลึกลับ น่ายำเกรง)

 

การอพยพเข้ามาของคนพูดไทยนั้นไม่ยาก เพราะได้ข่าวว่ามีผู้มีบุญญาบารมีเข้ามาสร้างเมืองใหญ่โต อีกทั้งมีทองที่ขนมาจากนครวัดมาก ทำมาหากินก็ง่าย มีบารมีพระองค์ปกป้อง ไม่ต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นข้าทาสของเจ้าเมืองอื่นๆ ก็เลยหลั่งไหลกันเข้ามายังกะน้ำท่วมใหญ่ นั่นแล จากสุพรรณ สุโขทัย ชัยภูมิ พนัสนิคม ฯลฯ

 

(ที่น่าสนใจคือ ทำไมสร้างอยุธยา แบบไม่เหลือร่องรอยสถาปัตยกรรมนครวัดเอาเสียเลย…เรื่องนี้สนุก โปรดติดตามตอนต่อไป และที่น่าสนใจต่อไปคือ เมือง อู่ทองมีชัย ในเขมรสร้างแบบอยุธยายังกะแกะ)

 

คำว่า “เขมร” เล่ามาจากไหน ยิ่งยากกว่าคำว่า “สยาม” เสียอีก ผมเชื่อว่ามาจากชาวสยำที่หนีตายมาจากนครวัดนี่เอง คือพวกเขาเรียกพวกทาสนี้ว่า “ข้าเหม็น” เพราะเป็นข้าทาส ทำงานทั้งวันจนตัวเหม็น ก็เลยเรียกแบบดูถูกเหยียดหยามว่า ข้าเหม็น โดยเฉพาะพี่น้องถูกพวกนี้ฆ่าตายเรียบก็ยิ่งแค้นใจ ก็เลยยิ่งตั้งชื่อในเชิงเกลียดชังให้มก  จากนั้นก็เพี้ยนมาเขียนให้เป็น เขมร  ให้ดูเป็นภาษาแขก ที่ว่ามานี้ใช้ว่าจะเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ว่ากันตามความเป็นไปได้โดยบริสุทธิ์ใจ ในอนาคตชาวเสียมเราอาจตกเป็นขี้ข้าชาวเขมรบ้างก็ได้ ถ้าไม่รู้จักฉลาดเสียที เอาแต่เชื่อข้อมูลประวัติศาสตร์ตามฝรั่งกันตะพึดตะพือ ส่วนคนไทยเราด้วยกันเสนออะไรก็ไม่เชื่อ หาว่ามั่ว คลั่งชาติ  (คำว่า เขมรนี้ นายจอร์จ เซเดย์ ..นักวิชาการลำเอียงเข้าข้างเขมรชาวฝรั่งเศส มีความเห็นว่ามาจากคำว่า กัมพู + เมรา = กัมรา = เขมรา  โดยนางเมรานี้เป็นพระมารดาของ ชย. 6)

 

หันมาดูปีคศ.ก็ตรงกัน คือ ตรอซอกเปรแอม ฆ่าเสียมวรมันตายเรียบเมื่อ คศ. 1336 พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรียอุยธยาเสร็จเมื่อ 1350 14 ปีหลังจากถูกไล่ฆ่า ก็เหมาะสมที่ใช้เวลา 14 ปีในการสร้างเมืองใหม่ จากนั้น คศ. 1352 ทรงยกทัพไปตีนครวัด

 

ถามว่าเพิ่งสร้างเมืองเสร็จใหม่ ๆ กำลังพลตรากตรำอ่อนล้ามานาน  น่าจะพักผ่อนและเฉลิมฉลองเสียมากกว่า อีกทั้งกองทหารก็ไม่ได้ฝึกปรืออาวุธ ไม่มีเวลาซ้อมรบ (เอาไปสร้างเมืองหมด)  จะไปรบกับใครเขาได้ โดยเฉพาะนครวัดที่มีกำลังมหาศาล  แต่ถ้าคิดในเชิงจิตวิทยา การไปรบแบบนี้ไปด้วยใจเป็นหลัก คือ การไปล้างแค้นนั่นเอง เพราะทนรอมา 16 ปีแล้ว แก่มากแล้วเดี๋ยวจะสวรรคตเสียก่อนได้ล้างแค้นพวกเขมร ที่มายึดนครวัดไปแล้วฆ่าพวกเสียมเสียเรียบ

 

พอยกทัพไปพวก “ข้าเหม็น” นครวัดก็หนีไปตั้งหลักที่เมืองหนึ่งทางตอนใต้ของนครวัด  รบกันจนพระเจ้าอู่ทองชนะ ก็เลยเปลี่ยนชื่อเมืองนั้นเป็น “อู่ทองมีชัย” เพื่อเอาเคล็ดที่พวกเขาเรียกเมืองนครวัดว่า “เสียม (ตาย) เรียบ”  อีกทั้งยังให้สร้างเจดีย์แบบอยุธยาไว้เต็มเมือง เมืองนี้ต่อมาได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขมรยาวนานกว่า 200 ปี (ต่อจากเมืองละแวกที่สมเด็จพระนเรศวรไปตัดหัวเจ้าเมือง) จนขณะนี้เขมรได้ขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว เมืองมีลักษณะคล้ายอยุธยามาก นักวิชาการไทยมักเรียกให้เพี้ยนว่า อุดงมีไชย เพื่อช่วยให้เขมรมีศักดิ์ศรีว่าไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของไทย ส่วน เสียมเรียบ นั้นนักวิชาการไทยไม่เคยเรียกว่า เสียมราฐ เลย ..เข้าข้างเขมรทุกอย่าง 

 

เมื่อปราสาทหินพิมาย และ ปราสาทพระวิหาร สร้างก่อนนครวัด ดังนั้นนครวัดก็เลยได้เปรียบด้วยการมีแบบอย่างทั้งด้านวิศวกรรมศาสตร์และ ศิลปศาสตร์ ลองคิดดู จู่ๆจะสร้างนครวัดโดยไม่มีฐานด้านเทคโนโลยีมาก่อนได้หรือ จะตัดจะยกหินก้อนมหึมาได้อย่างไร จะแกะสลักได้อย่างไร มันต้องหัดเดินริมทางเส้นพระธรรมแถวพิมายเสียก่อนจึงจะมาวิ่งที่นครวัดได้ วิศวกรก็คนสยำ ศิลปินแกะสลักก็คนสยำทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นนางอัปสรจะมีการแต่งกาย เครื่องประดับหัวที่เหมือนกันได้หรือ

 

 

ขอมกับสยามเป็นเชื้อสายเดียวกันมานาน ที่ขยำคลุกกันมาด้วยการอพยพย้ายถิ่น สงคราม และหนีสงคราม บัดนี้ขอมไม่ได้หายสาปสูญไปไหน แต่หลอมรวมกลับมาเป็นเชื้อเหล่าเผ่าไทยเรานี่เอง

 

แต่ฝรั่งเศส ในยุคล่าอาณานิคม ได้ยกความเป็นขอมไปให้เขมรเสียฉิบ เพื่อประโยชน์ต่อการล่าอาณานิคม เสริมด้วยการทูตแบบเรือปืน (gunboat diplomacy) ส่วนเราได้แต่ทำตาปริบๆ

 

…เสริมด้วยความอ่อนแอของนักวิชาการมหาวิทยาลัยไทย ที่เสียแรงเสียภาษีส่งไปร่ำเรียนกันมาจนเป็นดร.กันเต็มประเทศ กลับดันไปช่วยเสริมทฤษฎีต่างชาติ เหยียดหยามคนไทยด้วยกันเสียอีก เช่นส่วนใหญ่ลงคะแนนกันว่า เขมรคือขอม และสยำเป็นทาสขอม  ถ้าจะมีใครมาคิดปลดแอกทางวิชาการจากฝรั่งอย่างขยม ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกคลั่งชาติทันที

 

พงศาวดารเขมร ฉบับหลังๆ เช่น ฉบับออกญานง นั้นได้รับการเสี้ยมสอนจากฝรั่งเศสแล้ว ก็เลยโยงไปถึงว่า ข้าเหม็นเป็นเทือกเถาเหล่ากอ วรมัน เป็นเจ้าของนครวัด เรื่อยมาจนวันนี้

 

ถึงเวลาเราต้องชำระประวัติศาสตร์ส่วนนี้กันเสียที…โปรดช่วยกันส่งต่อไปยังเครือข่ายของท่านให้มากที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้ไม่เห็นด้วยกับผมก็ยิ่งต้องช่วยกันส่งต่อ เพื่อให้เข้ามาวิจารณ์กันด้วยเหตุผลให้มากๆ ให้ผมแพ้หมดฟอร์มหน้าแตกไปเลยไงล่ะครับ  

 

(ยาวเกินไปแล้ว..ยังมีต่อ..ยังมีหลักฐานอื่นๆอีกมาก)

 

—————–ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๑๑ มค. ๒๕๕๔…ตัวเลขขอมนะเนี่ย)

 

 

« « Prev : ยิ่งเรียน(ภาษาอังกฤษ)ยิ่งโง่

Next : อนาคตชาติไทย ๒๐ ปีจากนี้…ไม่ต้องเป็นโหรก็ทำนายได้แม่น » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

7 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 January 2011 เวลา 7:11 pm

    พยายามแกะจารึก ที่ปราสาทหินสด๊กก๊กธม แต่หมดปัญญาค่ะ เพราะถึงแปลมาก็เป็นภาษาขอมอยู่ดี …

    แปะไว้ก่อนนะคะอาจารย์  ขอตั้งหลักก่อน เพิ่งเสร็จชำระประวัติศาสตร์ไปหยกๆ และเพิ่งประชุมเรื่องประวัติโฮงยาไทยที่จะเขียนแบบใหม่แนวสังคมศาสตร์+ประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่แบบเดิมที่เริ่มจากผู้บริหารในแต่ละยุค (เหมือนการเรียนประวัติศาสตร์ของเรามั้ยคะ แบ่งยุคตามกษัตริย์ อิอิอิ)

    แต่กลับมาคุยแน่ๆค่ะ แม้จะไม่รู้เรื่องประวัติทางนั้นเลยก็ตามเหอะ แต่เอ.. ลาวา หรือ ลวะ หรือ ลพะ หรือ ลพบุรีตามที่อาจารย์กล่าวมาทำให้เบิร์ดสะดุดนิดหนึ่ง เพราะราชวงศ์ของพญามังรายคือราชวงศ์ลวจังกราช

    กษัตริย์ในราชวงศ์นี้ยุคต้นๆจะมีคำนำหน้าพระนามว่าลาว ซึ่งหมายถึงกษัตริย์ ก่อนหน้านี้มีนักประวัติศาสตร์และตำนานหลายฉบับบอกว่าท่านเป็นพวกลัวะ  แต่เบิร์ดติดใจเพราะลัวะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของชาวไทยภูเขา แต่ถ้าดูจากที่อาจารย์เชื่อมมา เป็นไปได้ว่ามาจากลพบุรี …แหม สนุกๆๆๆ อิอิอิ

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 January 2011 เวลา 7:25 pm

    สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ น่าติดตามครับพี่ ตอนนี้ยังให้ความเห็นไม่ได้เพราะเครื่องมือไม่พร้อมครับ

  • #3 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 January 2011 เวลา 7:51 pm

    ท่านน้ำฟ้าครับ….

    คำว่า ลว (อ่านว่า ละวะ) ผมไปค้นมา พบว่าเป็นภาษาสันสกต แปลว่า น้ำ และ ว กับ พ มันแทนกันได้ เช่น วิเศษ-พิเศษ วิจิตร-พิจิตร วิมล-พิมล ฯลฯ ดังนั้น ลว-ลพ

    ลวปุระ ก็คือ ลพปุระ ลพบุรีนั่นแล

    จิตร ภูมิศักดิ์ว่า ละโว้ มาจากภาษามอญ แปลว่า ภูเขา ที่กรมศิลปากรไทยยังเชื่อกันมาจนวันนี้ ทั้งที่มีดร.จบนอกเดินชนกันเต็มกรม (ภาษีเราส่งไปเรียนทั้งน้าน)

    ส่วนผมว่า มาจาก ลว+อุท้ย กลายเป็น ลโวทัย เหมือนเช่น สุข+อุทัย = สุโขทัย มีหลักฐาน..ไว้วันหลังจะมาเล่า

    ผมค่อนข้างเชื่อว่า ล้านนาได้รับอิทธิพล ลว ไปมาก หริภุญชัย ก็มีพระนาง จามเทวี ลูกสาวกษัตริย์ ละโว้ ขึ้นไปครอง ทีประวัติศาสตร์บันทึกนานมาก่อน เชียงราย เชียงใหม่เสียอีกไม่ใช่หรือ

    ผมเชื่อว่า ลวปุระ คือศูนย์กลางของอาณาจักรขอม ที่ภายหลังหลอมรวมกับล้านนา สุโขทัย กลายมาเป็น ตายแลนด์เราในวันนี้ แล้วเดี๋ยวจะค่อยๆ นำเสนอหลักฐานมาเรื่อยๆ ก็แล้วกันนะครับ

  • #4 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 January 2011 เวลา 8:20 pm

    ท่านน้ำฟ้าครับ

    ผมเห็นว่า ลว ลั๊วะ ลาว น่าจะมีฐานศัพท์เดียวกัน ต่างกระจายมาจากลพบุรี อย่างน้อยก็ในช่วง 2000 ปีที่ผ่านมา

    ขอมนครวัด เล่า ก็มาจากลพบุรี และพิมาย เพราะสองเมืองนี้เก่าแก่มากครับ หลักฐานด้านโบราณคดี ประมาณ 5000 ปีเป็นอย่างน้อย ผมยังไปเก็บมาไว้ในพิพิธภัณพ์ที่ผมได้สร้างไว้ที่มหาลัย นับพันชิ้น (มันผิดกฎหมายตายแลนด์อีกต่างหาก แต่ผมยอมติดคุกถ้าใครมันจะมาจับ)

  • #5 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 January 2011 เวลา 9:56 pm

    อ่านแล้วสนุก พร้อมๆไปกับเห็นอนาคตบางอย่างที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดวงล้อของพัฒนาการด้านสังคมซ้ำรอยประวัติศาสตร์ กรณีเดิมขอมกับจาม กรณีใหม่ไทยกับพม่าค่ะอาจารย์

  • #6 อุ๊ยสร้อย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 28 January 2011 เวลา 10:40 pm

    อ่านสนุกมากเลยค่ะ

    เคยสงสัยมานานว่าทำไมยุคสุโขทัยใช้ภาษาง่ายๆ แต่พอเข้ายุคอยุธยากลับมีการใช้คำราชาศัพท์ทั้งๆที่ต่อยุคกัน อ่านเรื่องอาจารย์เขียน เอ๊ะ เติมช่องว่างความสงสัย นะคะ
    ถ้าดูการแต่งกายผู้หญิง เคยดูนางอัปสราแต่งตัวเหมือนผู้หญิงทางเหนือสมัยก่อนตรงที่นุ่งซิ่นไม่ใส่เสื้อ ก็ยังแปลกใจว่าถ้าเราไปลอกเขามาทำไมผู้หญิงภาคกลางนุ่งโจงกระเบน เคยงงตรงนี้ว่า วัฒนธรรมมันมักไม่เปลี่ยนเรื่องเครื่องแต่งกาย ยกเว้นว่าคนละชาติเผ่า

    อาจารย์มีข้ออธิบายหรือมีแนวชี้ช่องอย่างไรบ้างคะ

  • #7 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 29 January 2011 เวลา 5:48 pm

    คุยอุ๊ยสร้อยครับ …ยังตอบไม่ได้ครับ
    แต่ขอตอบประเด็นอื่น เรื่องลอกเนี่ย มันลอกกันไปมาแหละ ของไทยเราพอมีอะไรไปเหมือนจีนอินเดียว เป็นสรุปปึ๊บทันที่ว่าเราไปลอกเขามา ไม่เคยคิดเลยว่าเขาลอกเราไม่ได้หรือ พอไปเหมือนขอมก็ว่าเราไปลอก “เขมร” ทันทีเหมือนกัน คนเผ่านี้มันมีปมด้อยน่ะครับ :-)


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 1.0070188045502 sec
Sidebar: 0.011054992675781 sec