คิดเบาๆ >>

อ่าน: 1346

วิกฤติเที่ยวนี้

ทำให้ภาพที่ราบสูงอีสานมีความจะแจ้งขึ้นเยอะเลยเธอเอ๋ย

ที่ลุ่มภาคกลางนั้นยากที่จะซ่อมแซมอะไรให้มั่นคงได้

เพราะองค์ประกอบส่วนใหญ่มันเน่าหมดแล้ว

มีแต่จะโกลาหลขึ้นไปเรื่อยๆ

น้ำท่วมเที่ยวนี้พยายามเช็คข่าวไปถึงพี่น้องชาวเฮ มีใครได้อาบน้ำฝนจนล้นเหลือบ้าง ได้คำตอบว่ายังบ่เป็นหยัง โดนนิดหน่อยๆยังไม่ถึงกับมะล๊อกมะแล๊ก ฟังแล้วก็เบาใจ นึกล่วงหน้าไว้แล้วว่า ถ้ายังไงๆภัยพิบัติจะท่วมโลกในภายหน้า ขอให้มองมาที่บ้านสวน เพราะได้เตรียมการไว้ให้ญาติโกเฮโลมาพักได้สบายๆ อาหารการกินก็เพียบ เชื้อเพลิงก็ไม่มีปัญหา น้ำท่าก็กักเก็บไว้พอประมาณ หัวเผือกหัวมันก็ปลูกกันโรคตานขโมย

ให้คนงานเผาถ่านเตาใหญ่ไว้เรียบร้อย

มีถ่านตุนไว้ประมาณ 300 กระสอบป่าน

มีคนมาติดต่อขอซื้อไปจำหน่าย

เรื่องอะไรจะขาย

ปล่อยให้มันนอนเอ้งเม้งอยู่ในเตาอย่างนั้นแหละ

มีมูลสัตว์มากพอที่จะผลิตแก๊สไว้ให้แสงสว่าง

พืชผักยืนต้น อาหารสด อาหารแห้ง สะสมไว้เรื่อยๆ

ต่อไปนี้อาจจะต้องคิดอย่างจริงจังแล้วว่า

ถ้าเกิดวิกฤติจริงๆจะอยู่รอดด้วยวิธีใด

ไม่เกิดก็แล้วไป

แต่ถ้าภัยพิบัติไล่ต้อนจะได้ไม่จนมุม

แทนที่จะทุกข์กลับนึกสนุกเสียอีก

ที่พี่น้องชาวเฮจะมาชุมนุมกันได้อย่างยาวนาน

คงต้องแบ่งแผนกแล้วละนะ

หมอเจ๊ มาคราใดไม้ทิ้งไม้กวาด ขยันทำความสะอาดเหลือเกิน

ป้าหวาน กับป้าจุ๋ม อยู่โยงโรงครัวแสดงเสน่ห์ปลายจวัก

เบิร์ด อยู่แผนกดูสุขภาพจิต ใครคิดถึงบ้านเข้าไปโอ๋

ไอ่ตาหวาน ครูสุ อยู่แผนกเก็บผัก หาเสบียง

น้าอึ่ง ครูอาราม อาว์เปลี่ยน อยู่แผนกควงตะหลิว

เจ้าแห้ว เป็นโฆษก ร้องเพลงก็ได้ เรียกร้องก็เก่ง

อ.ไพลิน พรพรรณ นอกจากแต่งหนังสือเก่งแล้ว แอบทราบว่าร้องเพลงบรรเจิดมาก

อุ้ย ครูอึ่ง อยู่แผนกชิม ไม่อร่อยมีสิทธิ์โละแม่ครัวได้

สุวรรณา อยู่แผนกแจกบัตรคิว

รอกอด อยู่แผนกเติมไฟ ชวนเล่นไฟยามค่ำคืน

อัยการชาวเกาะ ร้องเพลงก็ได้ บรรยายก็ดี

.แป๋ว ถ่ายรูปเก็บประวัติ ทำแกงกระหรี่ญึ่ปุ่นเธอเอ๋ยอร่อยเป็นบ้า

ท่านจอมป่วน ชวนยั่วยุให้กระบวนการดิ้นได้

ท่านบางทราย กำกับงานสรุปประมวลผล

คนทางถาง ชิมไวน์กับย่างไก่

พระอาจารย์Handy อยู่แผนกกำกับระบบไฟฟ้าและเครื่องเสียง

ไอ่หนูจิ กับ จอมยุ่งลูกจอมป่วน ทำหน้าที่เสริมสุขบรรยากาศ

ออต กับ แม่ใหญ่ ให้อยู่ฝ่ายศิลปะบันเทิง

ใครอีกละ นึกได้ช่วยต่อขบวนด้วยก็เน้อ

อิ อิ ..


ดิน น้ำ ลม ไป

อ่าน: 1278

มีคนตั้งข้อสังเกตุว่า

รัฐบาลที่แล้วยุ่งอยู่กับไล่ม็อบ

รัฐบาลนี้ยุ่งกับการไล่น้ำ

การไล่น้ำกับการไล่คน

อย่างไหนจะลำบากมากกว่ากัน

รึว่ามันเป็นวิบากกรรมให้ต้องมีเรื่องไล่ล่ากันมิเว้นวาย

อุทกภัยเที่ยวนี้มีคนคาดคะเนความเสียหายแห่งละเท่านั้นเท่านี้ล้าน แต่ไม่มีใครประเมินความเสียใจ จะตีค่าเสียหายประมาณไหน ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า แสดงว่ามนุษย์เราโดยเฉพาะภาคการเกษตร จะต้องประสบกับความเป็นไปของธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถกำหนดได้ บังคับให้เกิดพอดีได้ มนุษย์จึงประยุกต์วิถีชีวิตให้สอดรับกับธรรมชาติ ไม่ไปโทษไปโวยวายต่อว่าฟ้าดิน ฝนไม่ได้รู้เรื่องด้วยหรอก ฝนมีสิทธิ์ที่จะตกมากตกน้อยก็ได้ ฝนไม่มีผลประโยชน์กับใคร แต่หลายใครๆต่างหากเล่าที่มีผลประโยชน์กับฝนตกและฝนแล้ง ภูมิปัญญาดั่งเดิมจึงเชิดชูแม่โพสพ แม่คงคา แม่ธรณี การทำความเข้าใจกับธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่บกพร่องขาดๆเกินๆ ไม่ทำอะไรเกินเลยกับธรรมชาติ

ถ้าเธอไม่รู้จักธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะไม่รู้จักเธอ

ถ้าเธอทอดทิ้งธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะทอดทิ้งเธอ

ปีนี้ไม่ต้องแห่นางแมวหรือจุดบ้องไฟขอฝนจากพระยาเถร ฝนก็เทลงมาโดยมิรั้งรอ พายุฝนเข้าลูกแล้วลูกเล่า ไล่กันมาโดยไม่รอบัตรคิว เรื่องที่อึกกระทึกครึกโครมอย่างนี้ มีผู้อธิบายไว้หลายกระแส นักวิทยาศาสตร์บอกว่าหิมะขั้วโลกละลาย แสดงว่าโลกร้อนขึ้นกว่าเดิม สาเหตุมาจากการปล่อยก๊าซขึ้นไปสะสมเป็นฉนวนไม่ให้แสงผ่านไปมาได้สะดวก เกิดการสะสมความร้อนในชั้นบรรยากาศ ความร้อนที่ว่านี้ไปแผดเผาแผดไอน้ำให้จับกลุ่มเป็นเมฆ และพัฒนาเป็นความกดอากาศ เป็นพายุ เป็นดีเปรสชั่น นักทรัพยากรศาสตร์บอกว่า มนุษย์พากันทำลายสภาพแวดล้อมมากเกินไปจนเกิดวิกฤติ ป่าไม้ลดลงทั่วโลกเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง และยังมีเหตุผลแวดล้อมอีกยุบยับ

ความเปลี่ยนแปลงสุดโต่งได้เปลี่ยนผลกระทบวิกฤติจนเกินวิกฤติ ทั่วโลกจึงเจออภิมหาภัยต่างๆ อเมริกาเจ้าแห่งเทคโนโลยีก็ยังเจอจนหน้าซีด บางประเทศเจอแผ่นดินไหวให้วิ่งกระเจิดกระเจิง ยังมีสึนามิอีกละ ก่อนหน้านี้พี่ไทยก็เจอคลื่นยักษ์พุ่งสูงไปถึงยอดมะพร้าวโน่น สร้างความเสียหายทั้งชีวิตมนุษย์และทรัพย์มหาศาล ญี่ปุ่นเองก็โดนเข้าจังหนับ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด มันจะเป็นเรื่องเล็กๆได้ที่ไหนเล่า วิกฤติแต่ละหมัดล้วนเป็นชนิดมัดโป้งจอดทั้งนั้น

ปีนี้ทั้งปี บ้านเราเอาเจอบททดสอบเรื่องอุทกภัยเรื่อยมา เฉลี่ยไปทุกภาค ดินถล่มน้ำท่วมภาคใต้ แล้วก็ย้ายมาภาคเหนือ ไล่มาภาคกลางภาคอีสาน ใครจะคิดละครับว่าแถวปักธงชัยน้ำจะท่วมจนลอยคอ พอช่วงกลางปีก็มีมหกรรมน้ำท่วมชนิดท่วมแล้วท่วมอีก ท่วมจนมึนงง เป็นโจทย์ใหม่ที่ยากจะคาดการณ์ ยากที่จะตั้งรับ เพราะความสดใหม่ของวิกฤตการณ์ทำให้ต้องเอาสถิติต่างๆโยนลงตะกร้า แผนตั้งรับเดิม ทำอุโมงค์ผันน้ำ ทำแก้มลิง ทำคันคูป้องกัน ทำกำแพงกึ่งถาวร ทำประตูน้ำ พอมาเจออภิมหาวาตภัยก็ไหลยุ่ยไปกับน้ำ

ถ้าไม่รื้อโครงสร้างแผนการบริหารจัดการน้ำใหม่คงจะทำยังไงละครับ

อุทกภัยเที่ยวนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นจุดรับจุดอ่อนของแผนเดิมอย่างปรุโปร่ง

ความเหนื่อยยากในระหว่างแก้ไขวิกฤตินั้นพอที่จะกระตุ้นให้คิดใหม่ได้แล้วนะ

ปีนี้ยังเพียงนี้ ถ้าเจอปีหน้า ปีโน้นอีกจะเพียงไหน

ถ้าไม่แก้ไขให้ถ่องแท้ก็ยากที่จะเดินหน้าต่อไปได้

ชาวบ้านยังเรียกร้องให้เรื้อคันดิน นักวางแผนจะไม่เรื้อแผนได้อย่างไร

วิกฤติน้ำเที่ยวนี้ ทำให้เกิดวิกฤติในใจคน ในสังคม ในวงการธุรกิจ ในนักวิชาการ ในกระทรวงกรมกองและในทำเนียบรัฐบาล อย่าบอกนะว่าปีหน้าจะไม่ผวาอีก หลังจากน้ำท่วมมีการบ้านรอยู่ไม่รู้กี่ร้อยข้อ ในระหว่างรีๆรอๆลมหนาวก็จะโหมกระหน่ำมาอีก ภั ย ค ว า ม ห น า ว เ ย็ น จ า ก ก า ร แ ช่ น้ำ ยั ง ไ ม่ ห า ย ภั ย ค ว า ม ห น า ว เ ห น็ บ จ า ก ไ ซ บี เ รี ย ก็จะหวีดหวิวมาให้สั่นงันงกกันอีก เรื่องหนาวๆร้อนๆนี่ละครับที่สำคัญ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นเจ้าภาพหลักเจ้าภาพรองในเรื่องนี้ ถ้าไม่รวมพลังไทยกัดฟันสู้ร่วมกันเหมือนชาติญี่ปุ่นคงลำบากแย่

“น้ำท่วมนาจมหายหลายล้านไร่

จะเอาข้าวที่ไหนไปขายหวา

ข้าวจะกินไม่มีถึงปีหน้า

ทำเหมือนว่าปิ้งปลาประชดแมว”

มีอาการน่าเป็นห่วงพอประมาณ

ท่านพี่ลงมาตรวจการฯดูแล้วแอ๊บแบ๋วเหลือเกิน

มันไม่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นอะไรได้เลย

คำพูดคำจาอาสาสมัครปอเต๊กตึ้งยังน่าเชื่อถือมากกว่า

วิกฤติน้ำว่าหนักแล้ว วิกฤติคนคุมนโยบายหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าอีก

เราจะต้องรู้อย่างไรจึงจะบรรเทาเรื่องน้ำให้อยู่ในระดับที่พอรับได้

รู้อย่างไร นี่ไล่ไปตั้งแต่ชาวนาจนถึงหอคอยงาช้าง

จะวางผังวางแผนให้เป็นแนวเดียวกันอย่างไร

ออกกฎหมายภาษีน้ำท่วมดีไหมละ

ชาวนาจะไม่ได้รู้สึกว่าถูกกระทำข้างเดียว

น้ำบ่ามาปล่อยให้ชาวนาตกน้ำป๋อมแป๋ม

แต่คนเมืองมีอภิสิทธิ์ปกป้องดูแลอย่างกับไข่ในหิน

สูบน้ำออกมาซ้ำเติมไร่นาให้เป็นทะเลหนักเข้าไปอีก

ประพฤติเยี่ยงนี้ความชอบธรรมอยู่ตรงไหนมิทราบ

ชาวไร่ชาวนาเอาพื้นที่รับน้ำรับความเสี่ยงแทนท่านผู้มีอันจะกิน

ร้านค้า-ธุรกิจ-อุตสาหกรรม-เขตพื้นที่พิเศษ-ควรจะจ่ายภาษีนี้

ยามเกิดอุทกภัยจะได้เอาเงินภาษีน้ำท่วมมาบริการจัดการช่วยเหลือ

ถ้ามองกว้างมองไกลคนที่เดือดร้อนอาจจะพอรับได้

เรื่องที่จะพอรับได้นี่ต้องตีให้แตกนะเธอ

แค่เงินชดเชยจิ๊บจ้อยคงรับสถานการณ์นี้ไม่ได้หรอก

คนหมดเนื้อหมดตัวถ้าไม่ดูแลให้ดี

วันดีคืนดีม็อบพันธุ์แท้อาจจะลุกฮือขึ้นมาเป็นระลอก

:: ชวนฉุกคิดง่ายๆ

1 ปีนี้น้ำท่วมไร่นาที่ราบลุ่มทุกภาคนับล้านไร่

ชาวนาจะเอาข้าวที่ไหนมาจำนำเกวียนละ 15,000 บาท

โยกงบจำนำข้าวมาช่วยการฟื้นฟูอาชีพได้ไหม

2 ค่าชดเชยความเสียหายที่พักอาศัยที่ทำกินจะชดเชยอย่างไร

อย่าบอกนะว่าครอบครัวละ 5,000 บาท ไร่ละ 2,000 บาท ก็พอแล้ว

3 โครงการประชานิยม ไหนๆจะทำนอกกรอบแล้ว ทดลองทำอย่างนี้ดีไหม

3.1 โครงการรถคันแรก โยกมาช่วยซ่อมรถที่ถูกน้ำท่วมได้ไหม?

3.2 โครงการบ้านหลังแรก โยกมาช่วยซ่อมบ้านน้ำท่วมได้ไหม?

4 หลังน้ำท่วมจะมีมาตรการสงเคราะห์ภาคเกษตรกรรม

ให้เป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง

จะใช้นโยบายประชานิยมก็ไม่ว่า

จะทำให้เป็นที่นิยมถึงอกถึงใจแค่ไหน เ ชิ ญ แ ส ด ง . .

แ ส ด ง ใ น โ จ ท ย์ ที่ ตำ ต า ตำ ใ จ นี่ แ ห ล ะ

จะดูฝีมือรัฐบาล ดูได้จากการแก้ไขวิกฤติของชาติในคราวนี้

ง่ายๆตรงๆชัดๆ จะสอบได้ หรือสอบตก

พวกเราคอยเอาใจช่วยด้วยนะเธอ

อีกหน่อยลมหนาวก็จะมา

ข้าไม่ได้หนาวลมหรอกนะ

แต่หนาวที่รัฐฯจะต้องไปหาเงินกู้มาอีกกี่แสนล้าน

คราวก่อนเงินไทยเข้มแข็งก็ละเลงกันไปมิใช่น้อย

คราวนี้เงินกู้ที่จะมาแก้น้ำท่วมจะตกน้ำไปกี่ต๋อมก็ไม่รู้ได้

“จะสั่งการสั่งงานสั่งไปเถิด

จะฉายเฉิดรำพันฉันไม่ว่า

จะจัดการอย่างไรให้ชาวนา

ได้รู้ว่าเลือกผู้แทนไม่ผิดตัว”


วิทยานิพนธ์

อ่าน: 1539

วิทยานิพนธ์ คืออะไร ไม่ขอตอแยตีความนะครับ อนึ่ง ผมประเภทจบมัธยมพอกะเทิน ไม่มีคุณสมบัติที่จะอาจเอื้อมทำเรื่องยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งยวดอย่างนั้นได้ จึงสังเกตสังกาอยู่ห่างๆ  และคอยอ่านเรื่องผู้ที่ศึกษาสำเร็จแล้วนำมามอบให้ เรื่องของสวนป่ามีนักศึกษาจากหลายสำนักเอาไปเป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ แม้แต่สถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯก็หยิบเอาไปทำวิจัยในหัวข้อ “บทบาทศูนย์เรียนรู้:กรณีศึกษามหาชีวาลัยอีสาน ยังมีนักศึกษา ป.โท ของจุฬาฯมาทำเรื่อง …นักศึกษา ป.เอก แม่โจ้ และ ป.เอก ม.อุบล กำลังเขมักเขม้นทำเรื่องของผมมาหลายปีดีดักแล้วละครับ ทำยังไงๆก็ไม่จบสักที น้ำตาเช็ดหัวเข้าจนแห้งแล้วแห้งอีก เข่าทั้ง 2 ข้างด้วยนะเธอ

แสดงว่า  การที่จะเป็น ดร.ได้นี่ยากเย็นชะมัดเลย

แต่ก็ทราบข่าวว่ามีช่องทางทำวิทยานิพนธ์ให้ได้เป็น ดร. กำมะลออยู่เหมือนกัน

เช่นบินไปชุปตัวที่ประเทศฟิลิปปินส์บ้างอินเดียบ้าง

วิธีนี้ง่าย ปีเดียวก็ได้เป็นดร.อุบอิบแล้ว

ผมละอึ้งจริงๆที่ครูบาอาจารย์พากันทำอย่างนี้

ถ้าอาจารย์โง่ จะมาสอนลูกหลานผมให้ฉลาดได้อย่างไร

เรื่องนี้หน่วยงานที่กำกับดูแลควรมีมาตรการเฉ่งปี่ ดร.จำบ่มพวกนี้ให้ชัดเจน

ไม่อย่างนั้นแยกยากครับ คนไหน ดร.จริงคนไหน ดร.เสมือนจริง

พวกที่เสมือนจริงนี้แหละที่ก๋าๆกว่าตัวจริงเสียอีก

สอนลูกศิษย์แบบตัดไม้ข่มนามไว้ก่อน

อาจารย์เก่งยังโง้นเก่งยังงี้ ผ่านงาน ผ่านประสบการณ์มาจนจำแทบไม่ไหว

ลองไล่เรียงดูเถอะ  กลิ่นน้ำนมยังไม่หย่าจากแหล่งที่ไปทำอีแอบมามีเยอะ

หัวข้อวิทยานิพนธ์จะว่ายากก็ยากง่ายก็ง่าย ขึ้นอยู่กับต้นทุนของแต่ละคน ผ่านสมรภูมิการวิจัยมาในระดับไหน สมัยที่เรียนโทตั้งใจทำการบ้านเต็มที่ หรือเรียนแบบปริญญาโธ่! ปริญญาโถ ! เมื่อเช้านี้มีบลอก “ลานชาวนา” โผล่มาแนะนำตัวว่าเป็นนักศึกษาปริญญาเอก สาขานวัตกรรมเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม นักศึกษากลุ่มนี้เคยเข้ามาขลุกอยู่ที่สวนป่าเมื่อเร็วๆนี้ ผมวางยาไว้ว่าให้ลองเข้าไปค้นอ่านในลานปัญญา และเมื่อร้อนวิชาก็ทดลองเขียนบล็อก ปรากฎว่านักศึกษาท่านนี้เป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน เป็นไงเป็นกัน เต้นก๋าออกมาปรากฎตัว ผมเห็นแล้วชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก น่าจะเป็นคนแรกที่ค้นพบวิธีไล่ล่า ดร.

การเรียนระดับปริญญาเอกสมัยนี้จะไปรออาจารย์ป้อนนมไม่ได้หรอก

นักศึกษาต้องหาทางค้นคว้าจากแหล่งต่างๆด้วยตัวเอง เดินทางไปพบปะพูดคุยกับผู้สันทัดกรณีจำนวนมากให้ครบถ้วนทุกระดับ  เช่น โรงสี ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง อบต. ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าแม่โอท็อปประจำตำบล กรมการข้าว ร้านค้า แม่ค้า ชาวนา หัวหน้าม็อบชาวนา เครือข่ายชาวนา เครือข่ายผู้บริโภค แม้แต่เจ้าแม่โพสพ เจ้าที่เจ้าทาง ขาใหญ่ นายทุนปล่อยดอก พวกรับจำนำข้าวเขียว โอย เขียนไม่ไหวหรอก ลงไปทำถึงจะรู้ว่ายังขาดเหลืออะไร ศึกษานโยบายและมาตรการต่างๆ ข้อดี ข้อด้อย กรณีการทุจริตในวงการรับจำนำข้าว เล่ห์กลที่ชาวนาถูกกระทำ ฯลฯ

จงลงมือทำในบ้างเรื่อง หลายๆเรื่อง

ที่ผมแนะนำมาที่ลานปัญญญาก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

ยังมีเรื่องที่จะฝ่าด่านอรหันต์อีกไม่รู้กี่ด่าน

ต้องค้นคว้าเรื่องหนึ่งเรื่องใดให้แตกฉานจนสามารถหยิบมาเขียนเป็นโมเดลได้

ไม่อย่างงั้นจะเอาอะไรไปรับปริญญา

นักศึกษาต้องไปเก็บเรื่องธรรมดาไม่รู้ก๊่ร้อยฉบับมาร้อยเรียงให้เป็นเรื่องพิเศษ 1 เรื่อง

แถมยังไม่ซ้ำรอยซ้ำแบบใครด้วยนะ

ยกตัวอย่างเรื่องของชาวนา โอ้โฮ้ มีโจทย์วิทยานิพนธ์ไม่เลือกทำได้รู้กี่ร้อยฉบับ เพียงแค่ผมอยากจะรู้ว่า ชาวนาจะสร้างเครืองข่ายวิวัฒนาการการทำนาให้เข้ากับยุคสมัย ที่มีกระบวนการยกระดับการปลูก การผลิต การจำหน่ายของตนเอง ที่ตั้งสมมุติฐานไว้นี้ นักศึกษาบอกได้ไหมว่า ถ้าจะไปสร้างกลุ่มชาวนาที่ลืมตาอ้าปากได้ด้วยตนเองจะต้องคิดต้องทำอย่างไร ถ้านักศึกษาไปลงมือพาชาวบ้านทำขึ้นมา ตัวเองลุยโคลนไปกับเขาด้วย แล้วตามเก็บกระบวนการทุกลำดับชั้นไว้มาร้อยเรียง ให้เห็นแผนที่การสร้างชาวนาพันธุ์ใหม่ ถ้าทำหัวข้อการเกิดขึ้นชาวนาพันธุ์ใหม่ โห  ผมว่าจะจ๊าบส์มากเลยละครับ

ถามว่ายากไหม

เอาอะไรมาวัด

ในระหว่างทำวิทยานิพนธ์ ถ้านักศึกษาไม่ไปเป็นตัวชาวนาเสียเอง

มันตีบทไม่แตกหรอก

เ รื่ อ ง ช า ว น า ใ ค ร จ ะ ม า รู้ ดี ก ว่ า ตั ว ช า ว น า ละ ค รั บ

อยากจะเป็น ดร.เรื่องชาวนา ก็ต้องไปเป็นชาวนา

ถามว่ามีวิธีอื่นที่ดีและง่ายกว่านี้ไหม ?

มี

แ ต่ ผ  ม ไ ม่ รู้ จั ก  ?

อนึ่ง ในระหว่างเขียนต้นฉบับโมเดลอีสาน เส้นทางมันก็คล้ายกับที่เล่ามาข้างบนนั่นแหละ ผมต้องมาออกแบบว่าจะร่ายทวนอย่างไร คำถามแรก เจ้าเป็นไผ เจ้าทำอะไรมาบ้าง เจ้าไปเกี่ยวข้องกับงานใดบ้าง เมื่อได้ประเด็นหยาบๆมาอย่างนี้ ผมก็พอจะได้เค้าแบ่งเรื่องที่จะเขียน เช่น

ไปยุ่งกับการศึกษา ก็เขียนกระเทาะมุมการศึกษาเท่าที่ไปรู้เห็นมา แล้วคิดว่าจะทำอย่างไร มีข้อเสนอแนะอย่างไร

ไปยุ่งกับกระทรวงสาธารณสุข ก็เขียนเรื่องสุขภาพสุขภาวะที่เกี่ยวข้องและเผชิญอยู่

ไปเกี่ยวข้องกับงานวิจัย ก็เขียนเรื่องวิจัยไทบ้าน เรื่องวัวกินใบไม้ วัวกินไวน์ก็ว่าไป

ไปเกี่ยวข้องกับงานพัฒนาท้องถิ่น ก็เขียนเรื่องบทบาทของมหาชีวาลัยอีสาน

ไปเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ ก็เขียนเรื่องชุมชนคนแซ่เฮยังไงละเธอ

ไปเกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็เขียนประมวลไว้ในโมเดลอีสาน

ก็เหมือนผมรักใครสักคน ผมก็ต้องเขียนถึงคนนั้นสิครับ

เขียนและทำในสิ่งที่ตัวเองรู้ มันสอบไม่ตกหรอกนะเธอ อิ อิ ..

:: ข่าวล่ามาเร็ว 12-14 นี้ ต้องไปร่วมงานมหกรรมสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ที่เมืองทองธานี

ชาวแซ่เฮ มีใครมาบ้างไหมครับ แหม มันน่าชุมนุมชาวเฮนะนี่

ผมมีรายการจะตามมูลนิธิชัยพัฒนาไปที่ลาวในช่วงนี้ แต่ก็ต้องบายเสียแล้ว

จำต้องเข้ากรุงไปงานดังกล่าว เบี้ยวประชุมเขาบ่อย จนหนังสือเชิญมีรังสีอำมหิต ..ตอกย้ำจัง..

” ในฐานะที่ท่านเป็นกรรมการในคณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ ที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สวรส.จึงขอเชิญท่านเข้าร่วมการประชุมวิชาการดังกล่าว จึงเรียมาเพื่อโปรดพิจารณาดัวย จะเป็นพระคุณ “

งานดังกล่าว อยากให้เบริด์มา เตรียมเรื่องใส่ซองมาด้วย จะได้จับแพะชนแกะให้รู้แล้วรู้รอดเสียที

เข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ >> ผู้ประสานงาน คุณวันเพ็ญ ทินนา e-mail:wan...@hsri.or.th


คำนิยม

อ่าน: 1667

ผมรู้จักครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ผู้เขียน “โมเดลบุรีรัมย์” เล่มนี้มานานหลายปีแล้ว ผมรู้สึกประทับใจในความละเอียดอ่อนของท่านที่มีต่อสภาพสิ่งแวดล้อม และความมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ได้แพร่ขยายในสิ่งที่รู้ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ครูบาสุทธินันท์ ได้เปิดบ้านให้เป็นโรงเรียนเรียกว่า “มหาชีวาลัยอีสาน” เพื่ออธิบายองค์ความรู้ที่สะสมมาและถอดองค์ความรู้ให้แก่ผู้อื่น บ้านจึงเป็นเสมือนสถานที่สาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใฝ่หาความรู้

“โมเดลบุรีรัมย์”เล่มนี้ เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ส่วนหนึ่งของครูบาสุทธินันท์ในการทำการเกษตร เพื่อยกระดับเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรมืออาชีพที่แข็งแรงและพึ่งตนเองได้ โดยให้ความรู้ในเรื่องการประกอบอาชีพการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ยืนต้นและการเลี้ยงปศุสัตว์ให้มีคุณภาพดี ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้มาจากการปฏิบัติจริง

ผมมีความเห็นว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีประโยชน์ ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน ทั้งจากเนื้อหาและวิธีในการเขียนที่ได้อรรถรสชวนให้ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่ยังไม่ได้อ่านควรจะได้หาอ่านเพื่อเพิ่มความรู้ต่อไป

(ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล)

หมายเหตุ ฝากถึงป้าหวาน งานที่ป้ากรุณาสำเร็จดั่งใจหมาย แล้วละครับ

ผมมองอย่างนี้ครับ >>

คำนิยมหลักจากพระอาจารย์ใหญ่ ดร.สุเมธ ตันนิเวชกุล ได้เมตตามอบมาให้แล้ว ถ้าตีความคำว่า “คำนิยม” ผมก็ไม่ทราบว่ามีที่มาเป็นอย่างไร เมื่อก่อนจะมีสมุดเยี่ยมให้ท่านที่มาเยือนเขียนเป็นที่ระลึกไว้ แต่ถ้อยคำในสมุดเยี่ยมมันก่อเกิดกำลังใจให้แก่เจ้าสำนักเท่านั้น ไม่สามารถออกไปเปิดเผยภายนอกได้

ผมมองอย่างนี้ครับ>>

การมีส่วนร่วมมือร่วมใจระหว่างชาวเฮนั้น สามารถที่จะออกแบบให้บรรเจิดอย่างไรก็ได้ เพราะคุณสมบัติในตัวตนแต่ละท่านนั้นธรรมดาที่ไหนเล่า ยิ่งกว่าผมมีห่านออกไข่เป็นทองคำเสียอีก ปัญหาอยู่ที่ทำอย่างไรหนอ ห่านถึงจะเบ่งไข่ให้ ผมจะได้ถือตะกร้าเดินไปเก็บทุกๆเช้า

ผมมองอย่างนี้ครับ >>

หนังสือโมเดลบุรีรัมย์ ที่จริงชื่อนี้ออกจะเฝือไปแล้ว แต่ทำไงได้ ในเมื่อกำหนดลงไปแล้ว
เราทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ผมก็จะเขียนตามควานนึกคิดเท่าที่จะมีน้ำยา
..เหลียวหลังบ้าง มองไปข้างหน้าบ้าง..ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมืองอย่างนี้ มีประเด็นชวนขนหัวลุกอยู่ไม่น้อย จะชนตรงๆก็คงไม่เหมาะ กองขี้หมาเอาเท้าไปเตะก็เหม็นเปล่าๆ เอาแค่เขียนให้มั่นไส้พอหอมปากหอมคอ ซึ่งอาจจะหกคะเมนเค้เก้ได้ เพื่อไม่เป็นการประมาท ผมถึงชวนให้ญาติโกเขียนอะไรมาร่วมขบวนแห่กันหลอนที่ชื่อ “โมเดลอีสาน” ไงละครับ

ผมมองอย่างนี้ครับิ>>

เท่าที่ตามอ่านเรื่องในลานปัญญา ผมเห็นสไตล์ของแต่ละท่านบรรเจิดนัก ล้วนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดผ่านร้อนผ่านหนาวจนผะผ่าว ลองพิจารณาเส้นอักษรของแต่ละท่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งเสียดาย ทำยังไงความพิเศษเหล่านี้จะกระโดดออกมาจากหน้ากระดาษได้ ผมไม่รู้นะครับ ท่านจะเขียนทิ้งเขียนขว้างไปทำไม ขอให้รู้เถิดว่า ผมอ่านด้วยความชื่นชม เที่ยวเอาไปโม้เป็นบ้าเป็นหลัง ว่าตนเองมีจอมยุทธยืนอยู่รอบข้าง จะรู้จะเรียนอะไรละ ขอร้องได้ ถามได้ อยากจะบอกว่า ..เจ้าเป็นไผ ได้ไปแสดงอภินิหารอยู่ในที่ต่างๆทั่วประเทศ บางท่านอ่านแล้วเอาไปขยายผลกับนักศึกษา บางท่านเอาไปอ้างอิง

บางท่านเจอหน้าบอกว่า

ผมอ่านแล้ว 3 รอบ

ฮ้า ! ยังงั้นเลยหรือครับ

ด้วยเหตุผลนี้ละครับพี่น้อง >>

โปรดช่วยทำให้คนขี้โม้ได้โม้สะบัดช่อขึ้นไปอีกได้ไหมครับ

ขอสั้นๆ ท่านละ 1 หน้า แล้วท่านจะรู้ว่า

ท่านน่ารักน่ากอดที่สุดในโลก

:: ยกตัวอย่างที่ส่งมาแล้ว

อุ้ย ละเมียดละไมให้ความรู้เรื่องสุขภาพใจควบคู่กับสุขภาพกายได้อย่างเฉิดฉาย

อาว์เปลี่ยน กะเทาะวิถีชีวิตในลาวมาให้เราออนซอนหลาย

บางทราย ผมขออนุญาตคัดเอาตอน : ที่ว่างของชาวบ้าน

มุมคลิกของผู้ที่คร่ำหวอดงานติดดินเท่านั้นที่จะกระแซะแก่นออกมาได้

เบิร์ด เขียนเรื่องทิ้งหมัดเข้ามุม สะเด็ดสะเด่าเหลือกำลัง

เป็นไปได้ไง..ผู้หญิงตัวเล็กๆหวานๆจะทิ้งน้ำหนักอักษรแบบโป้งเดียวจอดเยี่ยงนี้

คิดเรื่องนี้แล้วสนุกครับ

ถ้ามีท่านอุปการข้อเขียนกันมามากๆ

ผมจะขยายเป็นโมเด็ลเล่มที่ 2

อาจจะใช้ชื่ออื่นที่ไม่โหลแบบเล่มแรก

ไม่ได้คิดเอาสนุกนะครับ

คิดเบาๆ แต่เอาจริงนะเธอ

ได้ขอคำนิยมท่านอาจารย์ เกษม วัฒนชัย ไว้แล้ว


เข้าขบวนแห่น้ำท่วม

อ่าน: 1767

(ทำเลที่ตั้งนิทรรศการวิสัยทัศน์ควายแห่งชาติ)

เรื่องนี้ตรงกับคำที่ว่า

ถ้าเธอไม่จัดการความรู้ ความไม่รู้ก็จะจัดการเธอนะสิ

คนไทยไม่ใช่ไม่มีความรู้นะครับ แต่ไม่ใส่ใจที่จะใช้ความรู้อย่างเป็นแบบแผน องค์ความรู้ในนักวิชาการ ในหน่วยงานที่ดูแลด้านต่างๆ ชุดวิชาที่สอนกันอยู่ในสถาบัน รวมทั้งความรู้ดั่งเดิมที่แฝงอยู่ในจารีตประเพณีและวัฒนธรรมมีเป็นกะตั๊ก แต่ถ้าประมวลดูที่ไปที่มาทั้งหมดก็จะเห็นว่า ประเทศนี้จะทำจะสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่าง ไม่ได้มีการศึกษาใคร่ครวญถึงความพอเหมาะพอควรอย่างแท้จริง เอาความสะดวก ความมักง่ายเป็นตัวตั้ง ลองมองย้อนไปในอดีตสิคริบ น้ำเหนือหลากมาแต่ละทีนั้นเป็นคุณมากกว่าจะเป็นโทษ กองทัพพม่ายกโยธามารุกรานกรุงศรีอยุธยา ทุกครั้งต้องเร่งการยุทธอย่างดุดัน เพื่อให้ได้ชัยชนะท่วงทันก่อนที่น้ำเหนือจะลากท่วมทุ่งมหาราช น้ำที่ว่านี้ก็จะสร้างความยากลำบากในการทำศึก เพราะไม่อาจที่จะลอยคอไปต่อกรกับคนที่ตั้งรับในค่ายคูพระนครได้

น้ำหลากจึงเป็นยุทธปัจจัยในการสู้รบที่กำหนดการแพ้ชนะที่แน่นอนที่สุด

ถ้าดูตามสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ในการที่จะวางโครงสร้างผังเมือง หรือการวางแผนกิจการพัฒนาใดๆ จุดแรกเลยจะไม่มาดูพื้นฐานที่เป็นปัจจัยหลักของประเทศเลยหรือครับ ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ นี่ใช่เลย ใครจะศึกษาอะไรมาอย่างไรอั๊วะไม่เกี่ยว อั๊วมีเงิน อั๊วมีอิทธิพล ทุกคนจะต้องตามใจอั๊วะ ติดขัดตรงไหนไปแก้มาให้ตรงกับใจอั๊วะ เซ่อแบบนี้ละครับมันถึงฉิบหายกันทั้งประเทศ

ถอยหลังไปก่อนหน้าที่อุตสาหกรรมจะทะลักเข้ามายึดครองแผ่นดินสยาม วิถีชีวิตไทยปกติสุขเป็นบรรทัดฐานจนยกขึ้นเป็นจารีตประเพณีของแต่ละพื้นถิ่น ซึ่งแต่ละแห่งมีความรู้สำหรับแก้ไขปัญหาเฉพาะถิ่นของเขาเอง การสัญจรทางน้ำ สร้างบ้านเรือนไทยใต้ถุนโล่ง ทำมาหากินโดยอิงศักยภาพของพื้นถิ่น ที่ลุ่มก็ปลูกข้าวลอย ที่ดอนก็ปลูกข้าวไวแสง สามารถทอดระยะการเก็บเกี่ยวได้ด้วยสายพันธุ์ข้าวที่สุกไม่พร้อมกัน มีพันธุ์เกี่ยวช้า เกี่ยวระยะกลาง และเกี่ยวระยะสุดท้าย ขึ้นอยู่กับแรงงานและอุปกรณ์ในการทำนา ซึ่งแตกต่างจากยุคใช้เครื่องจักรเครื่องกล ถามว่าผิดไหม ไม่ผิดหหรอก ถ้าคนใช้เครื่องจักรกลมีมันสมองจัดการวางแผนการผลิตให้สอดรับกับสภาพธรรมชาติ

เครื่องจักรมันไม่สามารถดำน้ำเกี่ยวข้าวได้

ถ้าจะบ้าใช้เครื่องจักรล้วนๆมันควรจะออกแบบให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ นะเบิ๊อก !

เมื่อก่อนเราเคยเห็นคนภาคกลางเดือดร้อนยามน้ำหลากรุนแรงอย่างนี้ไหมครับ จากการที่คิดใคร่ครวญที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในที่ลุ่ม ชาวบ้านเอกซเรย์จนเห็นจุดดีจุดด้อยทะลุปรุโปร่ง ศึกษาจนรู้ว่าธรรมชาติในพื้นถิ่นของตนเองอยู่อาศัยมีสภาพในแต่ละช่วงฤดูอย่างไรได้ใช้สติปัญญาหาทางป้องกันล่วงหน้าไว้ทั้งระบบ น้ำท่วมมาพากันหาปูหาปลามาไว้เป็นเสบียง ผักผิวน้ำ ผักยืนต้น ผักที่เกิดในน้ำ สารพัดที่จะนำมาเข้ากับการดำรงชีพได้อย่างกลมกลืน  นอกจากสะดวกสบายแล้วยังสนุกเฮฮาจากการร้องเพลง หนุ่มสาวลงเรือไปเก็บดอกบัวมาถวายพระ บางคู่ก็ถือโอกาสเอาพระประธานเป็นพะยานหัวใจ ว่างๆก็ชวนกันร้องเพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงเรือ เพลงเต้นรำกำเคียว จัดงานประเพณีที่วัดในเทศกาลต่างๆ เคยฟังกองยาวโห่แห่ไหมละเธอ

ม๊องเท่งม๊องม๊ง..เท่งม๊งๆๆ  โห้ยยยย ฮิ โฮฮฮฮฮ ฮิ้ววววววว..

ใ ค ร มี ม ะ ก รู ด ม า แ ล ก ม ะ น า ว   ใ ค ร มี ลู ก ส า ว ม า แ ล ก ลู ก เ ข ย

อยู่กันอย่างเอื้ออาทร อยู่กันอย่างแบ่งปัน

ทั้งๆที่เขาไม่ได้พูดกันสักคำ..การมีส่วนร่วม การบูรณาการ จิตสาธารณะ

ไทยในอดีตลงมือกระทำ ไม่ได้เอาแต่พูด เอาแต่อบรม แล้วไม่ทำอะไร

การที่ไม่มองหน้าแลหลัง ทำให้การพัฒนาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส ไล่มาจากแม่ฮ่องสอนถึงอ่าวไทย อาการลำบากยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำเสียอีก พอสะสมปัญหาเข้ามากๆ เกิดวิกฤติถึงจะทะลึ่งตึงตังขึ้นมาแก้ไข  เห็นความเป็นไปคงมนุษย์ที่ไม่จัดการความรู้อย่างเป็นระบบไหมครับ

มันจะแก้ยังไงละเมื่อผูกชะเนาะจนตึงเปรี๊ยะออกอย่างนั้น ถามว่าจะแก้ยังไง ผมคิดว่าในบ้านเมืองเรามีผู้รู้จริงอยู่ไม่น้อย เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสที่จะขยายความคิดให้นำไปสู่การวางรากฐานของนโยบายระดับชาติได้ ปัญหาของประเทศอยู่ที่ยากจะฝ่าด่านเจ้าพวกคุณพ่อรู้ดีที่ก๋าๆเกลื่อนกราดเต็มประเทศได้ ทำได้ก็ด้วยการบันทึกลงในนิตยสารต่างๆ ซึ่งผมต้องขอบคุณหลายท่านที่ได้กรุณาเผื่อแผ่ความรู้ให้สาธารณะชน  ขออนุญาตยกตัวอย่างมาสักหนึ่งท่านนะครับ

บทสัมภาษณ์ คุณกฤตภาส วงศ์กรวุฒิ

หาอ่านฉบับเต็มได้ในหนังสือ ฅ คน ฉบับเดือนกันยายน 2554


” บางทีตลอดแนวชายฝั่งด้านในสุดของอ่าวไทย ที่สัณฐานเหมือนพยัญชนะตัวแรกของอักษรไทย ทอดยาวร้อยกิโลเมตรที่เคยเรืองสว่างด้วยมีปากน้ำ5สาย พาดินตะกอนธาตุอาหารมาให้นั้นค่อยๆกำลังทำให้ถูกดับลงเหมือนตะเกียงลาเชื้อ ที่ละดวง  ที่ละดวง เขาบอกว่า ไม่ใช่แม่น้ำและความอุดมสมบูรณ์หรอกที่เรากำลังสูญสิ้นไป หากแต่เป็นความองอาจอันอิสระของผู้คน ผู้ได้สั่งสม และใช้ความรู้ต่างหาก”

มีการอภิปรายกันตอนประชุมร่วมรัฐสภา มันไปเขียนอำพรางว่าจะทำเขื่อนและเกาะ เพื่อป้องกันทะเลหนุนสูง ทีแรกก็บอกว่าจะสร้างเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทีนี้พูดออกมาแล้วเรียกแขกได้เยอะ เครือข่ายอ่าว ก.ไก่ อะไรต่อมิอะไรก็ออกมาด่ากันขรม มันเลยเปลี่ยนใหม่..น้ำที่ท่วมกรุงเทพฯต้นทุนมาจากน้ำหลาก80% น้ำทะเลหนุนมันแค่ 20% ทีนี้มีคำถามว่า เมืองที่น้ำขึ้นสูงที่สุดคือเมืองแม่กลอง แล้วเหตุไฉนน้ำมันถึงไม่ท่วมละ ทีนี้พอพอจะแก้ปัญหาเรื่องน้ำก็ต้องบินไปถามบิดาคุณที่เนเธอแลนด์โน่นว่าทำยังไง แต่โคตรเหง้าคุณเองเขาทำดีอยู่แล้ว กลับไม่รู้จัก มันเป็นเสียอย่างนี้ ก็เลยเสียเงินเสียทอง บ้า ๆ บอ ๆ แบบโครงการแหลมผักเบี้ยนะเห็นไหม ใช้ไป 300 กว่าล้าน ทิ้งน้ำไปเลย เฮ้อ

มันบอกว่าจะถมกึ่งกลางอ่าว ก. ไก่ กว้าง 10 กม. ยาว 10 กม. ห่างฝั่ง 10 กม. อ่าว ก.ไก่ ก็ 100 กม.แต่ละด้านใช่ไหม นี่มันจะสร้างระหว่างปากแม่น้ำท่าจีนกับปากแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างเป็นเกาะ นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า จะสร้างอะไรลงไปในทะเล ไปสร้างยานอวกาศง่ายกว่า เพราะทะเลมันแต่งตัวทุกวินาที แล้วเรามีบทเรียนเยอะ  เรามีปัญหากัดเซาะแบบวิกฤติอยู่6-7 ร้อย กม. จากชายฝั่งทั้งหมด 2,600 กม. ทีนี้เขาคงคิดว่าทะเลบ้านเราเหมือนกับเดอะปาล์มดูไบละมั๊ง ขืนสร้างอย่างนี้ปุ๊บ การกัดเซาะมันจะเปลี่ยนทันที ไปดูหากแสงจันทร์ วินาศสันตะโรหมดเลย เพราะการใช้โครงสร้างแข็งจะไปเพิ่มความรุนแรงของการกัดเซาะนั่นเอง

เคยเห็นไหมที่ปากน้ำตะกอนฟุ้ง นี่คือการฟุ้งการกระจายตัวของแพลงก์ตอน เพราะอะไร นี่แม่น้ำ5สาย บางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง  แล้วก๋แม่น้ำเพชรฯไม่มีหาดทรายเลย มีแต่หากเลนทั้งนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะแม่น้ำพ่นตะกอนออกมา ก็คือแร่ธาตุสารอาหารทั้งหมด เมื่อสารอาหารมาปะทะน้ำทะเลเกิดการตกตะกอน ห่วงโซ่อาหารก็เริ่มตรงนี้เลย ก็คือแลงก์ตอน แล้วปลาเล็กปลาน้อยเป็นห่วงโซ่ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก มันถึงได้เขียวไปหมด พูดง่ายๆเลยว่า หลังน้ำหลาก อ่าว ก.ไก่ ก็คือทุ่งหญ้าระบัดสำหรับสัตว์น้ำ เหมือนทุ่งหญ้าสำหรับวัวกระทิงอย่างนั้น

..เราอยู่ในเขตมรสุม เราต้องอยู่กับน้ำท่วมให้ได้

เราจะไปเป็นโรคกลัวน้ำได้อย่างไร?

อ่าว ก.ไก่ นี่คืออ่าวสุดยอด 1 ใน 17 อ่าวอุดมสมบูรณ์ที่สุดของโลก

ถ้าไม่ทำเกษตรเคมี ไม่มีมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม น้ำจะเป็นสารอาหารใช่สารพิษ

คนบางกอกจะปลูกบ้านที ไปขนดินราชบุรี นครปฐม มาถมพร้อมกับขนรังปลวกมา

ปลูกเสร็จปลวกขึ้นบ้าน ต้องไปจ้างบริษัทกำจัดปลวกมาอัดน้ำยาลงดิน

มันต้องโง่ 3 ครั้งนะ จะปลูกบ้านแต่ละที

ถ้าน้ำไม่ท่วมดินจะดีได้อย่างไร?

คนแม่กลองเขาจะปลูกบ้านใต้ถุนสูง ทำการเกษตรแบบครึ่งดินครึ่งน้ำ ทุกสวนเขาจะจัดขนานยาวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า บ้านจะปลูกอยู่ตรงชายคลอง สองข้างบ้านมีลำปะโดงร้อยขึ้นไปเป็นฉาก พอน้ำขึ้นจากทะเลหนุนเข้าแม่น้ำเข้าคลองก็เข้าลำปะโดงรอบสวน น้ำเข้ามาเต็มร่องนี้มาพร้อมกับสารอาหารด้วย ขาลงน้ำแห้งขอดทิ้งตะกอนไว้ในนี้ ปุ๋ยไม่ต้องใส่ น้ำหมุนเวียนเข้าออกดีเสียอีกน้ำจะไม่เน่าเสีย

น้ำท่วมกรุงเทพฯเพราะอะไร จริงๆแล้วมันมีปัจจัยประกอบกัน เหนืออ่าว ก.ไก่ ขึ้นมา ถ้าเราเอาโครงข่ายคมนาคมซ้อนเข้าไป ก็จะเห็นถนนเป็นตาข่ายยิ่งกว่าคลองอีก ที่เป็นคลองพี่แกถมหมด ถมแล้วไปใส่ท่อกลม 60ซม. ลำประโดงเลวๆทรามๆปากมันกว้าง2-3เมตร  แม่กล่องวันนี้เป็นอย่างไร กรุงเทพเมื่อก่อนก็เป็นแบบเดียวกันแหละ คนมาเที่ยวอัมพวาบ่อยๆ โอ้โฮ เมืองนี้มันโรแมนติกโว้ย ก็เริ่มมากวาดซื้อที่ ซื้อแล้วก็ทำโง่ๆๆๆ

คนกรุงเทพซื้อปุ๊บถมที่เลย

ถมปุ๊บป่าชายน้ำก็ตายหมด

พอตายหมดทำไง สร้างเขื่อนแข็ง คลื่นก็ซัดโครมๆ

ที่นี้ขโมยก็เข้ามาทุกทิศเลย

ก็ไปหาหมาฝรั่งหน้าโง่มาเลี้ยงแข่งกับเจ้าของ  เอ๋ง เอ๋ง เฮ้อ..

ถามว่า  สู้น้ำท่วมอย่างที่ทำๆอยู่นี้ชนะไหม?

สภาวะแบบนี้จริงๆแล้วเป็นภาวะชั่วคราว

เราอยู่ในประเทศมรสุม พอถึงเดือนอย่างนี้มันก็ต้องเจออย่างนี้ใช่ไหม

แต่ว่าเมื่อก่อน มัน เ ป็ น น้ำ ท่ ว ม ผ่ า น ไม่ ใช่ น้ำ ท่วม ขัง

บ้าๆแท้ๆเลย.. ไ ม่ ช อ บ น้ำ ท่ ว  ม แ ต่ พ า กั น ทำ แ ต่ วิ ธี ขั ง น้ำ

มีสตางค์มันไม่ได้บอกว่า ฉลาด หรอกนะ

ทะลึ่งแห่ไปตั้งโรงงานอุตสาหกรรมในที่ลุ่มอยุธยานับพันโรง

ท่วมให้เจ๊งบ้างก็สมควรแล้ว

พระสยามเทวาธิราชต้องการให้ที่ลุ่มภาคกลางเป็นแหล่งผลิตอาหาร

ยังทะลึ่งไม่พอนะ นี่จะไปสร้างบ่อนที่ทุ่งกุลาร้องไห้อีก

มันคิดแต่เรื่องห่วยแตกทั้งนั้น

พวกสมองหมาปัญญากระบือ อิ อิ



Main: 0.14288902282715 sec
Sidebar: 0.12085103988647 sec