เมนูหนีน้ำ

อ่าน: 1997

ลมเย็นพัดเอื่อยๆ ไส้เดือนคืบคลานหนีแล้งขึ้นมาบนผิวดิน เป็นสัญญาณบอกว่าแล้งแน่แล้ว ลมหนาวจะเข้ามาแทนน้ำฝนที่หล่นลงมาไม่บันยะบันยัง ถ้าเราสังเกตุจะเห็นธรรมชาติเริ่มตั้งรับความเปลี่ยนแปลง ดอกสะแลเตสีขาวสะอาดชูช่อส่งกลุิ่นระรื่น ถั่วพูออกดอกทยอยติดฝักให้เก็บมาจิ้มน้ำพริก มะรุมชูช่อดอกตูมเล็กๆมาร่วมรับลมเย็น เป็นช่วงที่กำลังเหมาะที่จะปลูกผักล้มลุกที่ชอบอากาศเย็น วันนี้ร่องปลูกผักแบบประณีตกำลังเป็นรูปเป็นร่าง ปลูกผักที่ชอบนานาชนิด อย่างละนิดละหน่อยเพื่อห้องครัวเราเอง

ชนิดผักรึครับ

ผักบุ้ง ผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี มะเขือพวง มะเขือยาว มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว พริกเครือ บวบ มะระ ฟัก แฟง ฟักทอง ชมจันทร์ น้ำเต้า ผักชี คื่นไฉ่ ชุดแรกจะปลูกผักอายุสั้นประมาณนี้ ถ้ามีเมล็ดพันธุ์อย่างอื่นที่น่าทดลองก็ยังปลูกได้อีก ส่วนผักยืนต้นยืนพื้นไว้พร้อมแล้ว มะกล่ำ มะกอก หน่อไม้ สะเดา ใบยอ ขิง ข่า ขมิ้นขาว มะรุม ปลีกล้วย

ผลไม้มีกล้วยหอม กล้วยไข่ มะละกอ และ เสาวรส

เสาวรสที่ปลูกให้ไต่ขึ้นต้นไม้ใหญ่ปีที่แล้ว

ปีนี้ติดผลหล่นลงมาเกลื่อน

เก็บ5วันครั้งๆ1เข่ง

เก็บมาผ่ากรองเอาเนื้อในใส่ขวดแช่เย็นไว้

บังเอิญเป็นผลไม้ที่แห้วชอบ

ปรุงรสใส่ขวดลิตรชิมวันละขวด

แห้วไม่รู้สึกเปรี้ยวเลยรึไร

เช้านี้ทดลองยำพริกเจ๊๊ยะกับข้าวต้ม

เป็นเมนูเฉพาะตัวที่ปรุงตามที่ตัวเองชอบ

เอาพริกหยวกผ่าครึ่งไปเว็ป

ระว่างรอก็ปอกหอมหัวใหญ่กับมะเขือเทศมาหั่นเตรียมไว้

พริกอบได้ที่ยกมาปรุงด้วยน้ำมะนาวกับน้ำตาลนิดหน่อย

เติมซอสขาวแล้วชิม

โรยด้วยใบสระระเหน่

เจี๊ยะกับกากหมูกรอบ

แต่แปลกแฮะ ..ไม่อร่อยซ๊๊ดซ๊าดเท่าที่ควร

ครั้งก่อนเอาพริกหนุ่มที่น้าอึ่งส่งมาให้

รู้สึกว่าจะลำกว่านี้จ๊าดหนัก!

แหม..แค่เปลี่ยนพันธุ์พริก นี่ก็ผลิกล็อกได้เหมือนกัน

:: ถ้ากิจการในบางกอกต้องหยุดชะงัก 1 เดือน

โรงงานหยุด โรงเรียนหยุด บริษัทหยุด

ท่านจะเอาเวลาไปทำเรื่องอะไรครับ ?

บุ๋ม บุ๋ม บุ๋ม ..


ทฤษฎีน้ำดันน้ำ

อ่าน: 2206

ช่วง5ทุ่มเศษ ดูรายการทีวีไทยบีพีเอสแล้วมันส์เป็นบ้า คุณอภิชาติ  ออกทีวี เสนอทฤษฎี“น้ำดันน้ำ” ฟังแล้วก็มีเหตุผล เห็นจุดอ่อนของการสร้างกำแพงป้องกันน้ำ ที่คิดจะต้านน้ำเข้าอย่างเดียว โดยการก่อชั้นกำแพงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายกำแพงเหล่านั้นก็แตกเละไปเรื่อยๆ  นิคมอุตสาหกรรมจมเรียบร้อยทั้งๆที่วางแผนต้านน้ำเต็มที่ แสดงว่าวิธีหรือแผนเหล่านั้นอาจจะยังไม่สมบูรณ์พอ ไม่มีใครเสนอแนะวิธีที่เหมาะสมให้เป็นทางเลือก จึงวางแผนสร้างกำแพงตามที่รู้ๆกันมา การก่อกำแพงในพื้นที่เล็กๆเช่นตามบ้านเรือนแต่ละหลังอาจจะพอไหว แต่ถ้าป้องกันพื้นที่บริเวณที่กว้างๆก่อกำแพงยาวเป็นกิโลคงจะต้านยาก ปีนี้ปริมาณน้ำมหาศาล น้ำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแรงทะลุุทะลวงมากเท่านั้น ทุกฝ่ายก็คงคิดวิเคราะห์ปัญหาจนสุดความสามารถ

ตอนนี้เครือข่ายภาคประชาชนเริ่มระดมสมองขบคิดการแก้ปัญหาเชิงบูรณาการ

ถึงจะขยับกันช้าไปบ้างก็ยังดีกว่าไม่ออกมา

หน่วยงานภาครัฐฯมักจะมีความคิด..เรื่องของข้าใครอย่าแตะ  !!

ด้วยเหตุนี้แหละ

คุณอภิชาติ บอกว่า..ใครเขาจะมาเชื่อผม

เมื่อไม่เชื่อก็ไม่สนใจข้อเสนอแนะ

บางทีอาจจะมีเรื่อง กลัวจะเสียหน้ามาเกี่่ยวข้องด้วย

ดร.นักวิชาการ ผู้ชำนาญการ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ

ล้วนแต่เจ๋งเป้งทั้งนั้น

มีรึที่จะยอมรับความรู้จากคนนอก

ไทยไม่เชื่อไทยด้วยกันมันก็พูดยาก

จะบังคับให้เชื่อก็คงไม่ได้

ปัญหาตรงจุดนี้..เป็นจุดอ่อนของวัฒนธรรมไทย

เรื่องการแบ่งพรรคแบ่งพวกฉันพวกเธอ เป็นจุดอ่อนของสังคมไทย

เรื่องการไม่ยอมรับยอมฟังคนอื่น เป็นจุดอ่อนของสังคมไทย

เรื่องการรับรู้/การเรียนรู้สิ่งดีๆใหม่ๆแบบทื่อๆ เป็นจุดอ่อนของสังคมไทย

เรื่องดื้อตาใส เถไถทั้งๆที่ไม่ชัดเจน เป็นจุดอ่อนของสังคมไทย

เรื่องระดมสมองจากภาควิชาการ/ภาคสังคมล่าช้า เป็นจุดอ่อนของสังคมไทย

เรื่องการวางระบบความรู้ความสามารถให้เกิดพลังเพื่อชาติ เป็นจุดอ่อนของสังคมไทย

มีจุดแข็งอยู่อย่างเดียว คือ ป า ก แ ข็ ง

บอกความจริงครึ่งเดียว

ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน

ถ้าไม่ช่วยๆกันทำหน้าที่คนไทยจะรอทำตอนไหนละครับ

จ๋อม จ๋อม จ๋อม..


เปาฮือลาว

อ่าน: 3816

ช่วงที่น้ำหลาก ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสานปรับตัวไปตามสถานการณ์  โดยเฉพาะอาหารการกิน คนอีสานกินง่าย กินทุกอย่างที่วิ่งตัดหน้า มีคนเอาไปพูดว่า..อะไรวิ่งตัดหน้าคนอีสานเอามาทำกับแกล้มได้หมด แสดงว่าวิชาเปิบพิศดารคงจะมาจากฝีมือพ่อครัวชาวอีสานนี่เอง ผมได้เฝ้าสังเกตุเรื่องนี้จากห่อข้าวของคนงาน ช่วงกลางวันเขาจะตั้งวงกินข้าวปลากัน ใครมีอะไรก็เอามาแบ่งปัน คนที่อยู่ในที่ลุ่มก็เอากุ้ง หอย ปูปลา มาทำอาหารเลี้ยงกัน กระทั้งวันไหนที่ไม่ได้ห่ออะไรมา ก็จะไปสับเอาหน่อไม้มาต้มจิ้มน้ำพริก เอามะละกอมาทำส้มตำ อร่อยซู๊ดซาดผ่านไปมื้อหนึ่ง

(จุดรีๆสีขาวคือตาที่ต้องผ่าออก หอยบางตัวจะมีไข่สีแดงส้มๆ)

เมื่อวานนี้แห้วเดินไปดูคนงานล้อมวงอาหารกลางวัน

สังเกตุเมนู มีปลาตัวเล็กๆปิ้ง ส้มตำ และหอยโข่งต้มจิ้มแจ่ว

เจ้าหอยโข่งนี่ละครับที่แห้วซักไซ้ไล่เลียงว่ามันเป็นยังไงกันแน่

คนงานบอกว่า..ต้องแกะเอาตามันออกก่อน

ไม่งั้นกินไป..จะทำให้ปากเบี้ยวได้ !!

เอ๊ะ ปากเบี้ยวเพราะอะไร แห้วหันมาถาม

ผมก็จนด้วยเกล้า..ไม่แน่ใจว่าปากเบี้ยวเพราะสาเหตุอะไร

บอกคนงาน..พรุ่งนี้ขอหอยโข่งสัก 1 ตะกร้า

(น้ำจิ้มซีฟูดฝีมือแห้ว)

วันนี้ลุงอาน คนเลี้ยงวัว เอาหอยโข่งมาฝากหนึ่งถังตัวโตๆทั้งนั้น มีจำนวนปรระมาณ 40-50 ตัวได้ จึงชวนแห้วศึกษาอาหารอีสาน เผื่อจะได้เป็นต้นทุนในยามวิกฤติภายหน้า ไม่แน่นะครับ ..คนเราถ้ามีความรู้ปรับตัวได้เก่งๆ..ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เอาไปวางไว้ตรงไหนก็เอาตัวรอดได้ ผมจึงชวนแห้วเอาหอยมาปรุงอาหาร อันดับแรกเอาหอยไปต้มก่อน แต่ของเราพิเศษหน่อย ในหม้อต้มเอาใบมะกรูด-ใบมะขาม-ผ่าผลเสาวรสใส่ลงไป2ลูก เอาเกลือใส่ลงไปประมาณหางช้อน เคล็บลับสำคัญในการลวกหอยคือ

ต้องใส่หัวน้ำส้มลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ

จะทำให้เนื้อหอยกรอบ ถ้าเป็นหอยแครงเปลือกจะอ้าจิ้มเนื้อง่าย

หลังจากผ่านกระบวนการต้มนานจนปากหอยหลุดแล้ว  เราจะเอาหอยไปแช่น้ำเย็นทันที จะเห็นว่าเมือกต่างๆจะหลุดล่อนไป เอาซ่อมจิ้มเนื้ออกมา ผ่าตรงกลางหัวหอย จะเห็นถุงกระเปาะกลมๆ ที่ชาวบ้านเรียกว่า”ตา” เท่าที่ผ่าดูผมคิดว่าน่าจะเป็นกระเพาะอาหารของหอยมากกว่า ลักษณะเป็นเหมือนเศษหญ้าหรือใบไม้ป่นที่หอยกินเข้าไป พวกไส้เครื่องในต่างๆเอาทิ้งหมด ล้างให้ดีแล้วเอาเกลือเคล้าอีกรอบ ล้างออกอีกที เอาใส่ถ้วยนำไปเว็ปประมาณ 3 นาที

แห้วเป็นสาวลูกน้ำเค็มเมืองสุราษฎร์

บอกว่าวันนี้หนูจะแสดงฝีมือตำน้ำจิ้มซีฟู๊ด

ที่บ้านเคยมีเรือประมง

จึงมีทักษะทางด้านทำอาหาร

วันนี้โชว์น้ำจิ้มหอยรสเข้มถึงใจ

(หอยที่ต้มสุก-ล้าง-พร้อมนำไปปรุงอาหาร)

คนใต้กินเผ็ดแต่ก็กลมกล่อม น้ำจิ้มเหมาะกับอาหารประเภทนี้ หลังจากชิมกันคนละหมุบละหมับ แห้วให้ความเห็นว่าถ้าเอาเนื้อหอยผัดเผ็ดน่าจะเด็ดสาระตี่ ที่จริงหอยพวหนี้เอาไปแกงเผ็ด เอาไปทำลาบ หรือเอาไปยำก็อร่อยทั้งนั้นแหละ เพียงแต่เราต้องต้มให้สุกและทำตามกรรมวิธีข้างต้น ก็จะได้วัตถุดิบที่มีคุณสมบัติกรุ๊บกรอบไม่แพ้หอยเปาฮือหรือหอยประเภทใดในโลก หลังจากเจี๊ยะกันลงพุงแล้ว เราก็มาคุยกันถึงหอยที่ชาวบ้านเก็บเอาในท้องนา ไม่ต้องซื้อหาใดๆ นอกจากในน้ำมีปลา ในนามีน้ำแล้ว ยังมีหอยตัวโตๆให้เก็บมาทำอาหารอีกด้วย

(มื้อกลางวันมีต้มซุปข้อขาไก่กับหอยจิ้มน้ำจิ้มซีฟู๊ด)

หอยที่ว่านี้มี 2 ชนิด

ชนิดที่หนึ่งคือหอยโข่งพื้นถิ่นบ้านเรา

หอยชนิดนี้ไม่ต้องแกะเอาตาออก

ชนิดที่สองคือหอยเชอรี่

เข้าใจว่าน่าจะเป็นหอยสายพันธุ์จากต่างประเทศ

เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา หอยเชอรี่เข้ามาทางไหนยังไม่มีเวลาค้นประวัติ ก่อนหน้านี้มีหอยก้นแหลมขยายพันธุ์ไปทั่ว เป็นหอยที่อาศัยอยู่ในที่มีความชื้นบนบก ไต่กินใบไม้ใบหญ้า ขยายพันธุ์ได้ดีแต่ชาวบ้านไม่นิยมรับประทาน ทราบว่ามีผู้เก็บไปต้มแคะเอาเนื้อส่งจำหน่ายต่างประเทศ หลังจากนั้นก็มีหอยเชอรี่แพร่พันธุ์ง่ายระบาดรวดเร็ว ภายในไม่กี่ปีก็มีหอยทั่วทุกหนทุกแห่งในท้องนาและที่ลุ่มบ้านเรา หอยเชอรี่จะกัดกินต้นข้าวที่ปักดำใหม่ๆ บางแห่งข้าวเสียหายอย่างมาก หอยเชือรี่มีไข่สีชมพูเกาะอยู่เหนือน้ำสวยแปลกตา ชาวนาจะเก็บหอยออกไปทำปุ๋ยทำอาหารเลี้ยงเป็ด เอาเปลือกไปเผาแล้วบดผสมหัวอาหารเลี้ยงหมู แต่ก็มีชาวบ้านบางกลุ่มเอาหอยมาประกอบอาหาร เพราะลักษณะและคุณสมบัติใกล้เคียงกับหอยโข่งพื้นบ้านเราทุกอย่าง เพียงแต่ต้องแคะเอาตาออกเสียก่อนดังกล่าวข้างต้น

แสดงว่าชาวบ้านคงสังเกตุเห็นจุดพิเศษดังกล่าวนี้

ไม่ได้หลับหูหลับตาสวาปามใดๆ

คงจะมีคนปากเบี้ยวเพราะหอยประเภทนี้จนผิดสังเกตุ

เรื่องนี้เราจะได้แง่คิดในการใช้ชีวิตเชิงประยุกต์

คนอีสานยังรักษาอัตลักษณ์เรื่องเปิบพิศดารเอาไว้อย่างแน่นเหนียว

เรื่องนี้..สนับสนุนวิธีใช้ชีวิตระหว่างน้ำท่วม

อย่างน้อยคนที่ตกน้ำป๋อมแป๋มเจอหอยตัวกลมๆ..

ช่วยกันเก็บมาทำกับแกล้มได้อร่อยเหอะ

ตอนเย็นเดินผ่าน..

ลุงอาน แกยังร้องบอกว่า..เอาอีกไหมหอย

โธ่ๆๆใจคอจะไม่ให้กินอย่างอื่นเลยรึลุง

จ๋อม จ๋อม จ๋อม..


เปิดศูนย์อพยพแบบชิวชิวที่ต่างจังหวัดดีไหม

อ่าน: 2083

ที่เขียนเรื่องนี้ก็เพื่อจะบอกว่า>> ศูนย์อพยพไม่จำเป็นต้องไปกระจุกอยู่เฉพาะที่กรุงเทพฯหรอกนะเธอ ถ้ามองเห็นปัญหายืดเยื้อจะตามมา ควรมีแผนเปิดพื้นที่ศูนย์ตามจังหวัดต่างๆที่ไม่ได้รับผลกระทบน้ำท่วม ยุคนี้ถนนทุกสายใช้เวลาเดินทาง5-6ชั่วโมง ก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ถ้าไม่คิดไม่ทำให้ปรุโปร่งเรื่องอพยพจะเกิดสาระพัดปัญหาให้ปวดเศรียรเวียนเกล้า ควรเปิดศูนย์ที่ โคราช เพชรบูรณ์ ชลบุรี ชัยภูมิ เลย ฯลฯ แทนศูนย์ฉุกเฉินดีไหมครับ! หนังเรื่องยาว จะจบสั้นๆง่ายๆได้จะได๋

ดูข่าวน้ำท่วม มีแต่บอกว่าอย่าแตกตื่น

ใจเย็นๆ เราป้องกันได้

โธ่! นึกถึงหัวอกคนที่ถูกตัดไฟตัดน้ำ

มืดๆอดๆอยากๆอยู่กับยุงล้อมหน้าล้อมหลัง

นอนดมน้ำเน่าเฝ้าดูน้ำขึ้นทีละนิด ละนิด


ถ้ารู้จักคนไทยดีพอ

คนไทยรับความจริงได้นะครับ

ถ้าบอกความจริง ความเจ็บปวดจะลดน้อยลงกว่านี้

เฮ้อ พูดไปมันก็เหมือนหมาเหยี่ยวใส่ตอไม้ คนทำดีก็มาก คนยอมเหนื่อยยากกับสังคมก็ไม่น้อย ธรรดาของโลก มีทั้งเรื่องที่พอใจและเสียใจ น่าจะดีใจด้วยซ้ำไป..ที่เมืองไทยเปิดตลาดน้ำพรึบเดียวครึ่งประเทศ ปรับการท่องน้ำมาเป็นการท่องเที่ยว บาบาร่าโบ๊ตก็มา เรือเจ็ตสกี เรือหางยาว เรือหางสั้น เรือกาละมัง เรือถังน้ำ เรือยาง เรือแพ เรืออีโป่ง เรือประหยัดของคนถางทาง เรือดำน้ำไม่มี มีแต่เรือจมน้ำ ชาวบ้านต้องการเรือจำนวนมาก รถจมน้ำกี่คัน เรือก็ควรจะมีสัดส่วนต่อรถ 10:1

ชื่นใจที่เห็นเหล่าดาราลงไปช่วยเพื่อนมนุษย์ เจ้าหน้าที่มูลนิธิ อาสาสมัคร ตำรวจ ทหาร อส. อบต. เทศบาล พนักงานกทม. กลุ่มสตรี นิสิตนักศึกษา พระสงฆ์ นักโทษมีความประพฤติดี เครือข่ายประชาสังคม ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ฯลฯ คงจะเหนื่อยสายตัวแทบขาดไปอีกนาน

ที่สวนป่า ทดลองจัดลักษณะกินๆนอนๆ ..หลังจากโม้ไปพอสมควร ยังไม่มีใครกล้าเสี่ยงมาที่ศูนย์แห่งนี้ เพิ่งจะมีหมูไม่กลัวน้ำร้อนรายแรกของโลกโผล่มาเมื่อวาน จะใครเสียอีกละ ก็แห้วเจ้าเก่าของเรานี่แหละ บทจะมาก็มาแบบบ้าบิ่น หอบเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ไปแย่งซื้อตั๋วรถทัวร์นครชัยแอร์ได้ นั่งรถลอยหน้าลอยตาออกจากบางกอกเวลา11โมงเช้า  รถทัวร์พาอ้อมทัศนศึกษาน้ำหลากรายทาง ผ่านไปทางนครนายกแล้วค่อยวกเข้าโคราช จวนแดดร่มลมตกก็โทรศัพท์เข้ามาว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะถึงบุรีรัมย์ การเดินทางใช้เวลามากกว่าปกติหนึ่งชั่วโมง

รับมานั่งรถ แห้วก็ฉอดๆๆๆ ผักนั้นนี่มีไหมพ่อ หนูตั้งใจจะมากินผัก เฮ้อมีลูกหลานเชื้อสายชูชกก็ยังงี้แหละ ตื่นเช้านี้พาเดินดูภักษาหารที่พอจะเขมือบได้ โอ้ยโย่! อะไรก็ถูกใจไปหมด เด็ดมาผัดกระทะร้อนจานโต นึกว่าจะเหลือ แห้วฟาดเรียบ! สมกับที่ตั้งใจจะมากินผักแข่งกับหมูจริงๆ

ชวนแห้วเดินไปเยี่ยมลูกแพะที่ออกใหม่ แห้วเพิ่งจะเคยอุ้มแพะครั้งแรกในชีวิต อุ้มออกมาจากโรงเรือน แล้วปล่อยให้คุณแม่คุณลูกออกไปเล็มใบไม้ใบหญ้า.. เดินกลับมาเด็ดผักผัดกินกับข้าวต้มร้อนๆ ร้อนจนพยาธิสะดุ้ง! ต้องยกแก้วน้ำเสาวรสคั้น100% ใส่เกลือนิดๆเติมน้ำผึ้งหน่อยๆซดจนตาค้าง หลังจากนั้นหลายชั่วโมงมาแห้วกระซิบว่า..แหม่..มันระบายดีจริงๆพ่อ..

แสดงว่า..เจี๊ยะมากแค่ไหนก็ไม่ต้องห่วง

แห้วค้นพบวิธีระบายท้องไส้ให้สมดุลกัน

ตอนบ่ายพาแว็บไปดูทุ่งกุลาร้องไห้ ยามที่ข้าวใหม่กำลังสุกเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา รถเกี่ยวข้าวกำลังเก็บผลผลิตอย่างขะมักเขม้น ไปเจอนกกระยางสีขาวสะอาดเหมือนเครื่องแบบพยาบาล เกาะกลุ่มกันบนต้นไม้ มองไกลๆเสมือนภาพศิลปะสุดสวยประทับใจ ออกจากทุ่งเข้าตลาด ซื้อน้ำพริกปลาช่อนกับซุปหน่อไม้มาอย่างละถุง มองหาดักแด้ไม่มี เจอเผือกหัวเล็กๆที่ชาวบ้านต้มมาขาย เมื่อก่อนจานละ 10 บาท มาวันนี้ 20 บาท นกเป็ดน้ำตัวละ 50 บาท มาวันนี้ขึ้นเป็น 70 บาท

มื้อกลางวันเจี๊ยะส้มตำกินกับผัดไทย ล่อกันซะพุงกาง อิ่มจนอืด บอกเย็นนี้จะไม่กินอะไรอีกแล้ว แต่ตอนบ่ายเดินไปเด็ดใบชะพลูมาตะกร้าหนึ่ง เข้าครัวยกเครื่องมือมานั่งหั่นพริกขี้หนู หัวหอม ขิง ถั่วลิสงคั่ว บอกว่าจะดัดแปลงเมนูเมี่ยงคำ ที่บังเอิญไปเจอน้ำพริกปลาช่อนกับซุปหน่อไม้ ซึ่งเป็นอาหารอีสานที่เตรียมแนะนำในยามหนีน้ำ

น้ำขึ้น อาหารการกินก็ขึ้น

น้ำลดราคาอาหารจะลดตามน้ำไหมนี่

กลับมาถึงบ้าน เอาซุปหน่อไม้กับน้ำพริกปลาช่อนไปเว็ปให้ร้อนๆหน่อย ยกออกมาเรียงล่ายซ่าย เติมข้าวคั่วลงไปนิด หยิบถั่วลิสงคั่วโปรยลงหน่อย เด็ดยี่หร่า ผักแพ้วมาเป็นเครื่องเคียง ปากที่บอกว่าจะไม่กินอะไรมื้อเย็น แต่โซ้ยทุกอย่างจนเกลี้ยงโต๊ะ สมกับที่ตั้งใจจะหนีน้ำมากินผักจริงๆ

ยังมีเมนูยั่วกระเพาะอีกหลายสำหรับ แห้วอิ่มแล้วก็นอนดูข่าวน้ำท่วม แนวโน้มมีแต่จะท่วม ท่วม อีกยาวนาน แห้วบอกว่าพรุ่งนี้จะซักเสื้อผ้าเผื่อจะอยู่ยาว จะได้มากินมานอนเผื่อพี่น้องไส้กิ่วที่บางกอก อีกทั้งจะได้ลุ้นว่าแม่วัวจะออกลูกเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย

ลูกแพะตั้งชื่อหนูสายฝน

ลูกวัวจะตั้งชื่อว่าอะไร?

เฮ้อ! นอกจากจะช่วยอะไรใครไม่ได้แล้ว

ก็ไม่รู้ว่าจะทุกข์จะเครียดไปทำไม

น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง


ผมไม่ขวางใครหรอกนะ เกรงว่าคนตาขวางมันจะเตะเอา

แต่ก็นั่นแหละ  ยังตะขิดตะขวางใจนิดๆ

วัฒนธรรมไทยเป็นอย่างนี้หรือเปล่า

คนไทยจึงอยู่กันมาแบบ..ป้ากับปู่กู้อีจู้

อีจู้ไม่รู้จัก รู้แต่อีหลักอิเหลื่อ

รัฐฯควรเปิดศูนย์อพยพที่เหมาะสม แทนศูนย์อพยพฉุกเฉิน ผู้อพยพจะอาศัยช่วงสั้นได้สะดวก จัดทำกิจกรรมฟื้นฟูจิตใจ  เปิดศูนย์ที่วัดบ้านวัดป่า ฟังพระท่านพาสวดมนต์ทำบุญ ฝึกสมาธิ หรือเปิดตามศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ชวนกันปลูกผัก ทำกับข้าว ออกกำลังกาย เปิดหลักสูตรวิธีสู้ชีวิต ติวเข้มเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอีกรอบ ส่วนคนไข้ที่เจ็บป่วย โรงพยาบาลในต่างจังหวัดน่าจะช่วยบรรเทาเรื่องนี้ได้

ขอให้ใคร่ครวญว่า

วิกฤติครั้งนี้เกินที่เมืองหลวงจะแบกรับภาระได้ทั้งหมด

รีบๆนะครับ

อย่าเอาคนไปกระจุกอยู่ในที่จำกัดและไม่พร้อมอย่างนั้นเลย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรจะจัดบุคคลากรไปช่วยเหลือ

และมีงบประมาณไปหล่อลื่นเท่าที่จำเป็น

อาสาสมัครและชาวจิตอาสาในต่างจังหวัด

จะมีช่องทางเข้ามาช่วยเหลืองานได้สะดวก

ช่วยแบ่งภาระหนักอึ้งที่ศูนย์อพยพเฉพาะกิจกำลังล้าเต็มที

จ๋อม จ๋อม จ๋อม


วันที่ฉันทนากลับมาถึงบ้าน

อ่าน: 1347

วันนี้ลูกหลานฉันทนาอพยพจากบางกอกหนีตายมาถึงบ้านแล้ว

ถนนทุกซอกซอยในตลาดอำเภอสตึกบริเวณรอบตลาดคับคั่งไปด้วยผู้คน

รถอพยพแต่ละคันอัดแน่นด้วยของใช้ไม้สอยที่พอจะขนออกมาได้

ภาพดังกล่าวไม่ต่างกับสภาวะหนีสงคราม

สับสนอลหม่านกว่าจะหลุดลอดฝ่าวิกฤติออกมาได้

กรุงเทพ-สตึกเดินทาง 3 วัน

คนที่มากับคนที่รอต่างกระสับกระส่ายกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ทุกข์น้ำท่วมจึงไม่ได้อยุติอยู่กับคนที่จมน้ำเท่านั้น

แต่มันขยายทุกข์ทั่วถึงไปยังผู้คนทั้งแผ่นดิน

ภาพการมากลับมาบ้านเที่ยวนี้ ไม่ได้ชื่นมื่นเหมือนการกลับมาทอดผ้าป่ายามสงกรานต์ เจอหน้าก็โผกอดกันร่ำไห้ หนูรอดตายแล้ว รอดแล้ว ปล่อยโฮไม่ยั้งไม่อายใคร เป็นบรรยากาศเศร้าสลดที่เราไม่นึกว่าจะได้เห็น หลังจากนั้นชวนกันไปซื้อข้าวปลา อาหารเรียบร้อยก็พากันทยอยกลับบ้าน ..จำนวนรถมากเหลือเกิน ถนนทุกสายเข้าตลาดเพื่อซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็น คาดว่ากองทัพฉันทนาคงจะแน่นทั้งวัน ผมอยากเก็บประเด็นเหล่านี้ในหมู่บ้าน แต่ฝนก็เทลงมาไม่ขาดสาย อาจจะต้องนัดมาพูดคุยกันในวันหลัง

ทุกข์ของแรงงานคืนถิ่นนั้นมันจะเป็นฉันใดหนอ

ผมประมวลผลหยาบๆเฉพาะในหมู่บ้านละแวกนี้นะครับ ความเดือนร้อนจากน้ำท่วมไม่มี ข้าวกล้ากำลังตั้งท้องเขียวชะอุ่ม พืชผักที่ปลูกไว้คราวอบรมเศรษฐกิจพอเพียงได้อาศัยพอสมควร คนอีสานนั้นกินง่ายอยู่ง่าย มีข้าวเหนียวปั้นเดียวก็อยู่ได้แล้ว ที่พักหลับนอนคงไม่มีปัญหา ไฟฟ้าถนนหนทางทีวีโทรศัพท์ปกติ จากที่เคยเป็นข่าว ก็มานอนดูข่าวภัยพิบัติที่ยังคงจ่อคอยหอยคนกรุงไปอีกหลายสัปดาห์ ถึงน้ำไม่ท่วมหรือทะลักเข้ากรุง แต่น้ำเน่าน้ำขังก็ยังคงอยู่อีกหลายเดือน การที่มีช่องทางให้ออกมานั่งกอดเข้าพิจารณาชะตาชีวิตในช่วงนี้ เป็นเรื่องที่ดีก็ได้ อย่างน้อยจะได้ฉุกคิดถึงอนาคตของการเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น บ่แน่บ่นอนเสมอไป

ควรจะมากิจกรรมของานดินไว้ให้มั่นคงกว่านี้

ก่อนที่จะจรลีไปหาเงินเดือนเงินดาวน์ครั้งใหม่

วัฒนธรรมของอีสานนั้นยังพอมีต้นทุนอยู่บ้าง

ความเป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องผองเพื่อนอาทร

“กลับบ้านเรารักรอยู่”

ยังดีที่มีจุดถอย

สงสารแคต่พี่น้องในภาคกลางที่ยากจะขยับขยายไปไหน

เกรงว่าขะโมยขะโจรจะมาล้วงตับเอาสมบัติไปหมด

ทุกข์ของคนกรุงจึงเป็นอภิมหาโหดแห่งทุกข์

ตรงจุดนี้ละครับเราจะช่วยเหลือกันอย่างไร

ช่วงที่คนไทยหมดเนื้อหมดตัวครึ่งประเทศ

ภัยตัวใหม่ที่” ชื่อว่าใส้เป็นน้ำเหลือง”

จะขย่มรัฐบาลอย่างรุนแรง

อยากจะให้รัฐบาลพิจารณาทำงานบนฐานความสุจริตใจ

ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์ ทำได้อยู่แล้ว

เพียงแต่จะต้องเด็ดขาด

อย่าให้ไอ้แมวตัวไหนมาคาบงบประมาณไปแด๊กเหมือนที่ผ่านๆมาๆ

น้ำขึ้นก็เจี๊ยะ น้ำลดก็เจี๊ยะ น้ำแห้งก็เจี๊ยะ

ถ้าระมัดระวังจุดนี้ก็จะได้ใจจากประชาชน

ไม่มีเรื่องไหนที่จะได้การยอมรับจากประชาชนเท่าเรื่องนี้

โอกาสเปิดแล้ว ลงมือแสดงฝีมือให้ประจักษ์เถิด

ตั้งแต่วิกฤติเกิดขึ้น ก็มองว่ามันจะช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้ เรื่องมันผ่านไปแล้ว เกิดขึ้นแล้ว เรามองไปข้างหน้ากันดีกว่า มองอย่างไรถึงจะเห็นจุดดี จะเกิดจุดดีได้ก็ต้องลงมือทำความดีเสียก่อน สิ่งดีๆถึงจะตามมา ในพื้นที่ทำการเกษตรของภาคอีสาน ยกตัวอย่างโมเดลของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่มีโครงการต่างๆเข้ามาพัฒนาอย่างเป็นระบบ มีการขุดคูคลองเป็นตารางไปทั่วทั้งผืนทุ่งกุลา การขุดคลองที่ว่านี้ ทำให้ได้ถนนควบคู่กับคลองไปด้วย สองข้างถนนปลูกต้นไม้ คลองเป็นที่กักน้ำ รับน้ำ ใช้น้ำช่วยเหลือยามข้าวหรือพิืชผักขาดแคลนน้ำ เป็นแหล่งเลี้ยงปลาแบบธรรมชาติ ภาพหยาบๆเหล่านี้ถ้าเอามาทำให้ประณีตขึ้น

หมายถึงขุดร่องน้ำยาวๆ เอาดินขึ้นฝั่งเดียว ปูให้เป็นถนนสูง3เมตร กว้าง5 เมตร ริมถนนปลูกผักยืนต้น ปลูกไม้ผล ร่องน้ำเลี้ยงปลาปลูกผักหลังฤดูเก็บเกี่ยว เลี้ยงเป็ดไข่ให้มาเก็บข้าวตกเป็นอาหาร กินต้นข้าวต้นหญ้าอ่อน ขี้เป็ดเอามาปลูกแตงกวา แตงแคนตาลูปงามนัก สร้างกระต๊อบขึ้นในท้องนา หลังตาคิดแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ติดเครื่องสูบน้ำเล็กๆจากพลังงานแสงอาทิตย์สูบน้ำขึ้นไปเก็บไว้บนถังมีชัย จะได้ปล่อยให้เป็นน้ำหยดไหลลงไปรดพืชผัก

ขุดแปลงนาดังกล่าวเป็นตารางหมากรุกให้เต็มทั้งผืนดินทุ่งกุลาร้องไห้

ก็จะเป็นการปิดจุดอ่อนเรื่องน้ำทำการเกษตร

กับถนนหนทางเข้าไปยังไร่นา

ทำอาชีพเสริมให้เห็นเป็นรูปธรรม

ถ้างานดีและถูกต้องเงินจะไปไหนเสีย

รัฐฯควรเข้ามาช่วยเหลือจุดที่เหมาะสมต่อการดำรงชีพของเกษตรกร

ไม่ใช่ทำเรื่องบ้าๆบอๆแจกสมาร์ทการ์ด

หาเรื่องให้ชาวบ้านฟุ่มเฟือยโดยไม่ได้สอนให้ตระหนักถึงวินัยการใช้จ่าย

ขณะที่อบรมเรืองเศรษฐกิจพอเพียงกันโครมๆ

นโยบายประชานิยมก็เข้ามาทำให้ประชาชนไขว้เขว

มีผู้สันทัดกรณีช่วยมองอนาคตของสังคมไทยในอนาคต สะท้อนว่าความขัดแย้งในประเทศทำให้แผ่นดินแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า การที่จะเอานโยบายอะไรไปใช้ในวงกว้าง ถึงจะดีอย่างไรก็ยุ่ง ครั้นจะทำเล็กๆแบบนกน้อยทำรังแต่พอตัวมันก็ได้ แต่การขยายผลให้เกิดพลังทั้งแผ่ดินเป็นเรื่องยาก ประเทศที่มวลชนหลากสี การจะพูดอะไรในทางสาธารณะเป็นเรื่องยากมาก

วันนี้เราขัดเขินกันตั้งแต่ระดับนโยบายมาจนถึงระดับติดดิน

เรามอบอำนาจนักการเมืองมากเกินไป

ยังไม่มีกลไกถ่วงดุลย์ที่มีประสิทธิภาพเสียด้วยสิ

จ๋อม จ๋อม จ๋อม



Main: 1.9341580867767 sec
Sidebar: 0.24320483207703 sec