รับลูกโยนจากจอมป่วนและนักการอิ่มมาเต็มๆ ค่ะ วันนี้จึงบอกกล่าวเล่าสิบชาวลานปัญญา ถึงเรื่องราว “สุนทรียสนทนา ศาสตร์และศิลปะแห่งการหันหน้าเข้าหากัน…สำหรับชุมชนครั้งที่ 1 ”
ความจริงแล้ว นักการหนิงไม่ได้เป็นทีมกับนักการอิ่ม ทีมในที่นี้หมายถึงไม่ได้อยู่สำนักการสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลนครพิษณุโลก ซึ่งนักการอิ่ม สังกัด โดยมีจอมป่วนเป็นผู้บังคับบัญชา แต่ด้วยความรักที่ได้รับจากทั้งสองคนที่กล่าวมาแล้ว และยังได้รับจาก พี่น้อง สุกัญญา จันทร์สิงห์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการสาธารณสุข สำนักการสาธารณสุขฯ เทศบาลนครพิษณุโลก จึงได้ไปเข้าอบรมกระบวนกรที่สวนป่าครูบาสุทธินันท์ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ และ ที่วงน้ำชา จังหวัดเชียงราย……….. พลัง ….. แรงบันดาลใจ ……. ความสุข……. ความอิ่มเอิบ…… ที่อยากหยิบยื่นให้องค์กรและชุมชน ทำให้ผันตัวเองเข้ามาเป็นทีมกับนักการอิ่ม เริ่มปัญญาปฏิบัติการในองค์กร และมาร่วมเป็นทีมในการสุนทรียสนทนาให้ชุมชน……… ทำให้เรียนรู้ว่า ปัจจัยที่ทำให้เป็นทีม ไม่ใช่เพียงแต่โครงสร้างองค์กรเท่านั้น ใจที่ปรารถนาด้วยจึงจะเป็นทีมที่ดีได้
ทราบเรื่องราวที่มาแล้วนะคะ ต่อไปจะเข้าสู่เนื้อหาแล้ว………เตรียมกระดาษกับปากกาแล้วยัง อิ อิ …เตรียมแค่ใจก็พอเนอะ อิ อิ
กำหนดการวันที่ 23 -24 ธันวาคม 2551 คร่าวๆ นะคะ เริ่มมีรายการผิดคิวขึ้น คือไก่ ซึ่งรับผิดชอบ Ice Breaking ท้องเสียตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จึงมาไม่ได้ และได้ยินทางชุมชนบอก บอกมาว่าบ่ายโมงครึ่งต้องไปสำนักงานเทศบาล ร่วมรายการเทศบาลประสานใจ
พิธีเปิด โดยนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก
หลังจากนั้น นักการอิ่มโยนไมค์ให้ Check In เหมือนเราแจ้งเข้าพักในโรงแรม คือ เจ้าเป็นไผ มาทำไม ตรงนี้นักการหนิงรับผิดชอบ ดูเวลา นักการอิ่มให้ หนึ่งชั่วโมง ตานี้หนึ่งชั่วโมงทำยังไง แค่เจ้าเป็นไผ มาทำไม ต่อคนน่าจะไม่ถึงห้านาที…… เลยเกริ่นนำจากหัวข้อ สุนทรียสนทนา ศาสตร์และศิลปะแห่งการหันหน้าเข้าหากัน กล่าวทวนหัวข้อ และส่งไมค์ให้แต่ละคนบอกเล่า……… ครึ่งชั่วโมงจริงๆ อย่างที่คิด ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงสรุปความต้องการของแต่ละคนโดยโยงยึดการบอกเล่าว่ามาทำไม อารมณ์ตอนนี้ …… ภาพที่เห็นคือชุมชนและ อสม. หยิบปากกากับสมุดพกเตรียมจด จด จด สรุป สรุป ไปซักพัก นักการอิ่มพยักหน้า รู้ว่าต้องปิดงานละ จึงนำหัวข้อมาเชื่อมต่อ โดยโยนคำพูดว่า “เรามาทำความรู้จัก สุนทรียสนทนา ศาสตร์และศิลปะแห่งการหันหน้าเข้าหากัน ไปพร้อมๆ กัน”
นักการอิ่มตัดสินใจโดยไม่ได้ทำ Ice Breaking นำเข้าสู่กิจกรรมคืนสู่ความเป็นเจ้าตัวเล็ก ฉีกกระดาษชีวิตตามเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาตรงนี้ หลายคนเลือกที่จะเล่าตามชีวิตจริงๆ หลายคนเลี่ยง อาจเป็นเพราะบทบาทในสังคม ตำแหน่งหน้าที่การงาน เพศ เบื้องหลังชีวิตที่ผ่านมา…………… ต่อไปคือกิจกรรมการวาดภาพความประทับใจที่ผ่านมาในชีวิต แล้วนำเข้าสู่ผู้นำสี่ทิศ นักการอิ่มพูดถึงทิศกระทิง นักการหนุ่มพูดถึงทิศอินทรีย์ นักการมุ่ยพูดถึงทิศหนู นักการหนิงพูดถึงทิศหมี จากนั้น วาดภาพแบ่งทิศต่างๆ ที่มีในตัวเรา แล้วให้จับคู่สอง จับสี่ ผลัดกันฟังและผลัดกันเล่า ในการจะเข้ากิจกรรมทุกครั้ง นักการอิ่มให้เวลาในการอยู่กับตัวเอง นำรำลึกเรื่องราวตามหัวข้อกิจกรรมสักพัก จึงนำเข้าสู่กิจกรรม เป็นการให้ทุกคนมีเวลาสำหรับทบทวนข้อมูล ในการเข้าจับสี่ มีการใช้ดินสอวิเศษ เงื่อนไขคือใครถือดินสอวิเศษคนนั้นมีสิทธิเล่า คนอื่นๆ ฟัง ผลัดกันโดยให้เวลาเท่าๆ กัน ในการทำกิจกรรมผู้นำสี่ทิศ สุดท้ายมีการพูดคุยกันวงใหญ่ ตัวกวนคือได้อะไรจากกิจกรรมนี้
อาหารวางเป็นน้ำชา ส้มเขียวหวาน และขนมสอดไส้
พักเที่ยงด้วยผัดไท เจ้าอร่อย….. ล้อมวงกันอย่างอบอุ่น
เนื่องจากมีการผิดคิวที่ชุมชนและอสม.บางท่าน ต้องไปร่วมรายการเทศบาลประสานใจ
นักการอิ่มจึงต้อง ขยับ ขยับ ขยับ กิจกรรม ด้วยการขอไม่พักเที่ยงและเริ่ม Voice Dialogue การทิ้งไพ่ กิจกรรมนี้ต้องมีการแบ่งกระดาษเป็นสี่ช่อง แล้วช่วยกันคิด รายละเอียดตรงนี้คงต้องฝากลาน TiTang ของพี่หมอเจ๊ช่วยค่ะ http://lanpanya.com/titang/?p=189 หลายคนตามไม่ทัน ทำช่องที่ 1 ไม่ทันเนื่องจากความแต่งต่างของผู้เข้าร่วมกิจกรรม กลุ่มใดที่มีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลรวมอยู่ด้วยก็ได้คนแนะนำ กลุ่มใดไม่มีก็งง งง กันไป แต่ถึงอย่างไรเวลาก็ไม่ทันทั้งกลุ่มที่มีเจ้าหน้าที่และไม่มี
กิจกรรมต่อไปคือการล้อมวงใหญ่เพื่อพูดคุย นักการอิ่มพูดถึงการทิ้งไพ่ ถามว่าใครเคยเล่นไพ่ให้ยกมือขึ้น…… ไม่มีมือเลย นักการอิ่มเลยถามใหม่ ไพ่สำรับหนึ่งมีกี่ใบ “52 ใบ” เสียงเดียวกันหมด ฮาแตก ไม่เคยเล่นแต่รู้จักทุกคน……… ทุกคนเกิดมามีไพ่ 52 ใบ และก็เริ่มทิ้งไพ่ออกไป ออกไป จากตัวตน ทิ่งไพ่เพราะการเลี้ยงดู เพศ การศึกษา…….. จนเหลือตัวตนนิดเดียว ตัวตนนิดๆ นี้ทำให้เรามองโลกด้วยสายตาที่มีพื้นที่ในการมองนิด นิด ถามว่าไพ่ที่เราทิ้งไปอยู่ที่ไหน ….. ถึงตอนนี้นักการอิ่มเชิญคุณหมอจอมป่วนคุย เริ่มจาก ใครปฏิบัติธรรมบ้าง ไม่มีใครยกมือ แต่พอถามว่าใครนับถือศาสนาพุทธ ยกมือกันตรึม……… อืม…
ถามว่า เราเกิดมามีจิตประภัสสร วันนี้ยังเป็นจิตประภัสสรอยู่ไหม ใครใส่ลงไป ใครทำให้ขุ่น ……. เรา
ถ้าวันนี้เรายังคิดจะพัฒนาชุมชนที่เราอยู่ด้วยการชี้หน้าคนอื่นว่าเป็นเพราะคนอื่น คนอื่นทำไม่ดี คนอื่นไม่ได้เรื่อง จะคุยกันได้ไหม รู้เรื่องไหม…. ไม่รู้เรื่อง
เราเปลี่ยนคนอื่นได้ไหม……. ไม่
เราเปลี่ยนตัวเองได้ไหม…… ได้
เราเรียกร้องให้คนอื่นๆ ฟังเรา เราฟังคนอื่นไหม….. ไม่
จังหวะนี้มีคนหนึ่งแทรก ขออนุญาต คนที่เหลือก็คุยต่อ มีเข้ามาใหม่ๆ เลยคนหนึ่ง เข้ามาก็คุยๆ คุณหมอจอมป่วนคุยต่อว่าวันนี้มาฝึกฟัง ฝึกเล่า ฝึกใจ ให้รู้จักตัวตน……… เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในชุมชน เราไม่ร้องขอจากคนอื่นแต่เราทำก่อน……… คนที่เข้ามาใหม่เริ่มฟัง แต่ก็ยังคงสอดแทรก และมีการพูดคุยถึงปัญหาในชุมชนเล็กๆ เช่นปัญหาการเลี้ยงสุนัขโดยขาดความรับผิดชอบ…… คนพูด ๆ วิธีการจัดการแบบแรงๆ …… ถามว่าวันนี้จะคุยกันได้ไหม
สักประมาณบ่ายสองโมง จึงได้จบกิจกรรมสำหรับวันแรก
ทีมนั่งคุยกันต่อ
· ทำไมเกิดการซ้ำซ้อนของกิจกรรมที่ทำให้ชุมชนไม่สามารถอยู่ได้ครบถ้วน….
· กลุ่มที่มาเข้าร่วมกิจกรรม ใช่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงหรือยัง
· สุนทรียสนทนาที่ต้องการให้เกิด ควรเกิดกี่ชุมชน เราโลภมากไปหรือไม่
· เราจะเลือกเฟ้นคนอย่างไร
· การสุนทรียสนทนาจำเป็นต้องให้เขาเรียนรู้กิจกรรมทุกๆ กิจกรรมจนเป็นกระบวนกรหรือไม่ หรือเราต้องการให้เขาฝึกเล่า ฝึกฟัง ฝึกเก็บบทเรียน
· การทำแผนยุทธศาสตร์ องค์ความรู้สำหรับชุมชนนั้น ใช่แผนยุทธศาสตร์คืออะไร มีกระบวนการอย่างไร มีค่าเป้าหมายอย่างไร มีอะไรเป็นดัชนีชี้วัด…..อย่างนั้นหรือ จำเป็นหรือ..หรือองค์ความรู้สำหรับชุมชนเพียงแค่ ฟังเป็น เล่าเป็น ระดมสมองเป็น รู้ปัญหาของตัวเอง…..นั่นสินะ ถ้าเราให้ความรู้การจัดทำแผนยุทธศาสตร์แก่ชุมชน รู้จักกระทั่งดัชนีชี้วัด แต่ชุมชนไม่รู้ปัญหาตัวเอง ระดมสมองไม่เป็น พูดคุยไม่เป็น ฝ่อกับศัพท์แสงทางวิชาการ…..ใช่หรือ
· หมอจอมป่วนเล่าเรื่องเกวินให้ฟัง
· การคุยดีกว่าไม่คุย ฝึกคุย ฝึกฟังเป็นการเตรียมตัว ดีกว่าไม่เตรียม
· ………………………………………..
· ชุมชนและอสม.หลายคนติดกับการบรรยาย ที่ระบบราชการได้ยัดเยียดให้ไปแล้ว วันนี้หลายคนจึงทำกิจกรรมอย่าง งง งง หลายคนยังไม่เปิดพื้นที่ให้คนอื่นผูกขาดการเล่า
· นำเสนอให้ใช้วิธีการฟังและเล่ากลับสำหรับกิจกรรมวันพรุ่งนี้
· แม้จะมีการผิดคิวแต่สาระและกิจกรรมที่ต้องการก็สามารถปรับได้ตามที่ควรจะเป็น อันนี้ต้องยกความดีให้นักการอิ่ม ในความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ ความพลิ้ว
· น้องๆ บอกเนียน
· บรรยากาศตอนนี้แม้น้องๆ จะนิ่งๆ นิดหนึ่งเพราะคุณหมอจอมป่วนร่วมวงแต่ความเป็นกันเองก็มีอยู่ทั่วไป และคุยกันแบบสบายๆ ………. ระบบ Top Down ที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้คนในระบบราชการฟังผู้ใหญ่พูด และไม่ต้องแสดงความคิดเห็นอะไร นักการอิ่ม นักการหนิงพยายามทะลายกำแพงนี้ ด้วยการคุย บอกเล่าในมุมที่ตัวเองสัมผัส เพื่อให้น้องๆ เรียนรู้ที่จะเล่าและพูดในจุดที่ตัวเองสัมผัสได้ สัมผัสถึง ซึ่งไม่มีผิดไม่มีถูก……..
คุยไปคุยมาได้ยินเสียงคนคุยกันเดินขึ้นบันไดมา สมาชิกโยคะของศูนย์พระองค์ขาวนี่เอง การถอดบทเรียนในวันแรกจึงต้องจบด้วยประการ..ละ..ชะ…นี้