๒. เจ้าเป็นไผ…คิมเห่ย : คนป่าเข้าเมือง…คนเมืองเข้าป่า

2 ความคิดเห็น โดย krukim เมื่อ 24 มีนาคม 2009 เวลา 16:53 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1856

ระยะแรก ๆ ของการไปอยู่ที่บ้านพักครู  ครูใหม่ทุกคนจะคิดถึงบ้าน  กลับบ้านกันทุกวันศุกร์ตอนบ่าย ๆ  โดย

เดินเท้า ๓ ก.ม.ไปขึ้นรถสองแถวที่บ้านสามเรือน (มีเรือนอยู่หลายหลัง) และขึ้นรถไฟ  หรือจะขึ้นรถเมล์ประจำทาง

ก็ได้ ในสมัยนั้นการโดยสารรถไฟสะดวกกว่า   และนัดพบกันที่หน้าสถานีรถไฟพิษณุโลกก่อนเที่ยงวันอาทิตย์เสมอ

เพราะต้องกลับเข้าโรงเรียนพร้อมกัน (สามเณรยังไม่แก่วัด) ส่วนครูเก่าส่วนมากมีครอบครัว ถึงแม้จะอยู่ต่างอำเภอ

ต่างจังหวัดนาน ๆจะกลับบ้านครั้งหนึ่ง
การเดินทางในฤดูฝนโหด มัน ฮา สุด ๆ รถสองแถวจะวิ่งรับส่งแค่สามแยกบ้านท่ามะขาม  (ตรงไปสันติ

บันเทิงและอำเภอสากเหล็ก พิจิตร เลี้ยวขวาไปอำเภอเมือง พิจิตร) พวกเราจะถือรองเท้าเดินตัวเปล่าแต่ก็เกือบเอา

ชีวิตไม่รอด  เพราะถ้าหากเท้าข้างใดข้างหนึ่งไม่ถนัดพื้นก็จะถมลงไปในดินโคลน  เพื่อน ๆ ต้องช่วยฉุดดึงแขนกัน

ขึ้นมา บางครั้งถอดรองเท้าไม่ทันต้องสละรองเท้าไว้ในดิน ไม่สามารถเอาขึ้นมาได้ ครูผู้ชายหรือสามีครูต้องหาบ

หิ้วสิ่งของสัมภาระแทนพวกครูผู้หญิง  เดินบนเส้นทางแบบนี้ประมาณ ๘ ก.ม.  และอีกทางหนึ่งคือลงเรือหางยาว

จากคลองคอสะพานบ้านท่ามะขามไปถึงท่าวัด  หน้าโรงเรียน  ครูผู้หญิงบางคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นท่าทางเกรงแทบไม่

หายใจหายคอ และหิ้วปีกเรือจนไหล่แทบหลุด  กลัวเรือจม ตัวเลอะเทอะมอมแมมไปถึงโรงเรียนเป็นเรื่องธรรมดาที่

แสนสนุก  แต่การแต่งกายของพวกเราในฤดูลำบากเช่นนี้  ไม่ว่าครูชายหรือหญิงมีความจำเป็นต้องนุ่งกางเกงขาสั้น

รองเท้าแตะฟองน้ำแบบคีบเท่านั้น แบบอื่นปลอดภัยน้อยกว่า   หลายครั้งที่พวกเรากลับบ้านและเวลาเป็นอุปสรรค

ทำให้พวกเรามีความจำเป็นต้องวิ่งขึ้นรถไฟไปแบบเลอะเทอะมอมแมม  ถือรองเท้าขึ้นไปด้วย เดินผ่านพวกผู้ลาก

มาดีเขาก็สมเพชและอมยิ้มอย่างเวทนา
ฉันและเพื่อน ๆ ต่างปรับตัวได้ไม่ลำบาก  ตอนเย็นพระทำวัตรก็แอบไปเล่นน้ำในคลอง หรือไปอาบน้ำในบ่อ

ข้างทาง ว่ายน้ำเล่นอย่างสนุก(ชาวบ้านเรียกบ่อหลา เพราะการขุดบ่อจ้างกันเป็นหลา)  น้ำใสสะอาดมากมองเห็น

ปลามาเกยฝั่ง  ไม่มีใครจับปลาไปกิน  เพราะชาวบ้านรอกินปลาตัวใหญ่และลำคลองมีน้ำเต็มฝั่ง มีปลาชุกชุม  บาง

วันก็ไปเก็บผักบุ้งยอดอ่อน ๆ มาทำอาหาร
ครูผู้ชายมีกิจกรรมตามแบบฉบับที่ชอบเช่นไปหาปลา  ทอดแห ตกเบ็ด ต่อนกเขา และหากบเขียดเวลาฝนตก

ฉันได้ฝึกตกปลาเป็นครั้งแรก รู้สึกเพลินและมีความสุขมากที่ปลามากินเหยื่อ  จนเหยื่อหมดกระป๋องก็ไม่เคยได้ปลา

แม้แต่ตัวเดียว  ส่วนคนอื่น ๆ ได้ปลาแทบทุกวินาที
คืนวันหนึ่งครูผู้ชายไปหากบ  ครูผู้หญิงบอกว่าถ้าทิ้งให้เฝ้าบ้านพักครูก็กลัวผี ครูคนอื่นกลับบ้านกันทุกครอบ

ครัว  เหลือแต่ครูหนุ่มสาวอยู่กัน ครูผู้หญิงจึงได้ติดตามไปช่วยหากบ  กางร่มไปด้วยเมื่อเห็นกบมาก็ดีใจ ตื่นเต้น

ร้องเสียงหลง ทำให้กบกระโดดหนีเข้าป่าไป  วันต่อมาครูผู้ชายก็ออกอุบายว่าไม่อยากไปหากบอีก  แต่พากันเข้า

นอนหัวค่ำ ครูผู้หญิงรวมทั้งฉันก็เข้านอนเช่นกัน  เมื่อตื่นเช้าฉันสังเกตเห็นตะข้องกระตุก  จึงพบว่ามีกบตัวใหญ่ ๆ

อยู่เต็มตะข้อง มีเครื่องมือหากินวางอยู่ด้านนอกด้วย  แต่ที่ไม่เหมือนใครก็คือการจับกลุ่มในเวลากลางคืนเล่นผีถ้วย

แก้ว เล่นผี ตะเกียบ เล่าเรื่องสารพัดสาระเพ  บางคนก็ร้องลิเก และบ่อยครั้งที่คุยกันจนถึงสว่าง
ครูผู้ชายมักจะไปชอบพอกับสาว ๆ ในหมู่บ้านทำให้พวกเราถูกรับเชิญแบบติดตามไปด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก

ไปทานข้าวฟรีจากชาวบ้าน ไปช่วยชาวบ้านทำงานขุดดิน  ทำหน่อไม้ดอง  ทำผักกาดดอง สอยผ้า ดำนา เกี่ยวข้าว

ทุกคนเป็นชาวนาฝึกหัดไม่มีใครเคยทำนามาก่อนเลย  ฉันลงมือดำนาอย่างตั้งใจเมื่อดำนาเสร็จต้นข้าวที่ฉันปลูก

เขียวกว่าเพื่อน  เพราะฉันกลัวมันตายจึงปลูกกอใหญ่กว่าคนอื่น เจ้าของนาใจดีมากไม่ยอมถอนของฉันทิ้งและ

บอกว่าให้ฉันไปดูแลบ่อย ๆ ด้วย  เมื่อข้าวเริ่มออกรวงพบว่าต้นข้าวของฉันมีรวงน้อยมาก พอแก่จัดเม็ดข้าวก็ลีบ

และไม่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นๆ (เพราะนิสัยของฉันเป็นคนดื้อรั้น เป็นทุนเดิม) หลังจากดำนาเสร็จพวกเราไม่มีโอกาส

เป็นคุณนายเพราะเล็บเป็นคราบดำเหลือง ไม่มีอะไรรักษาปล่อยมันยาวและค่อย ๆ ตัดออก เมื่อถึงคราวเก็บเกี่ยว

พวกเราได้พากันไปช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าว ฉันพบว่าการเกี่ยวข้าวลำบากกว่าการดำนามาก  เพราะฉันไม่สามารถ

เกี่ยวข้าวให้เป็นระเบียบได้ อีกอย่างฉันถนัดซ้าย เขาก็หาเคียวแบบคนถนัดซ้ายให้
วรรณกรรมชีวิตได้ปรากฏขึ้น  ชาวบ้านจะนิยมนวดข้าวกลางคืนเดือนหงายเสมอ  เป็นบรรยากาศดีมาก ได้ยิน

เสียงคนหัวเราะเฮฮาเป็นระยะ ๆ เมื่อพวกเราเดินไปถึงชาวบ้านชายหญิงก็ออกมาห้ามไม่ให้เข้าใกล้บริเวณนั้น ให้ไป

อยู่อีกแห่งหรือกลับบ้านพักครู เพราะพวกเรานุ่งกางเกงขาสั้น  แต่พวกเราไม่เคยสังเกตว่าทำไมทุกคนคลุมหน้า

คลุมตาตอนนวดข้าว  เพื่อนของฉันคนหนึ่งมองเห็นกองฟางคิดว่าอ่อนนุ่มน่านั่งเล่นนอนเล่น  เธอกระโดดเข้าใน

กองฟางนั้นคงเหมือนฟองน้ำ กองฟางยุบลงมองไม่เห็นตัว  เธอยังไม่รู้สึกอะไรเมื่อเธอออกมาจากกองฟางใหม่ ๆ

ระหว่างเดินกลับบ้านพักครูเธอบ่นปวดแสบปวดร้อน พวกเราให้เธอไปอาบน้ำได้ยินเสียงเธอร้องไห้โฮลั่นห้องน้ำ

ต้องไปตามอาจารย์ใหญ่พาไปส่งและนอนโรงพยาบาลในคืนนั้น
เมื่อมีความสนุกเข้าก็ไม่กลับบ้าน เดือดร้อนพ่อแม่ต้องไปตาม  แม้กระทั่งครูผู้ชายคนหนึ่งบ้านอยู่ที่อุตรดิตถ์

แรก  ๆ ก็พากันกลับบ้านเหมือนที่เล่าข้างต้น วันหนึ่งเขาก็ถูกแม่มาตาม  เมื่อเขาเห็นแม่มาตามเขาร้องไห้มากมาย

แม่เขาเตือนสติว่าเป็นลูกผู้ชายและโตเป็นครูแล้วไม่ต้องร้องไห้อายคนอื่น ๆ บ้าง  ส่วนฉันกลับบ้านสัปดาห์ละครั้ง

เป็นเดือนละครั้ง สองเดือนครั้ง (เกินกว่านี้ไม่ได้) อยู่โรงเรียนไม่ใช้เงินทอง ยิ่งตอนหลัง ๆ นี้ไปช่วยชาวบ้านทำ

งานทานข้าวและนอนค้างบ้านเขาอีกด้วยกลับบ้านตอนเช้าก็ทาน ข้าวก่อน  กลางวันชาวบ้านมีข้าวมาส่งให้อีก

เมื่อกลับบ้านทีก็เหมือน…คนป่าเข้า เมือง  ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า อาหารจำเป็น ของฝากชาวบ้าน เสื้อผ้า

รองเท้านักเรียน (สงสารที่เขาไม่สวมรองเท้า) และนัดพวกญาติ ๆ วัยเดียวกันเที่ยวเตร่ยามค่ำคืน ดูหนัง ฟังเพลง

กลับบ้านดึกดื่น
ความยากจนของชาวบ้านมีมากกว่าคนพออยู่พอกิน เด็กนักเรียนของฉันคนหนึ่งเรียนดี ประพฤติดี เรียนจบ

แล้วเขาบอกว่าจะไม่เรียนต่อ เพราะไม่มีเงิน การเดินทางไปโรงเรียนในอำเภอก็ไม่สะดวก ฉันได้ไปช่วยอธิบายให้

พ่อแม่เขาเข้าใจและยอมสละรถจักรยานคันเก่า ๆ ของฉันให้เขาขี่ไปโรงเรียน เขาจึงได้เรียน ผลการเรียนดีได้รับ

ทุนการศึกษาของโรงเรียนและ..สุดท้ายเรียนจบที่ มหาวิทยาลัย..ดินแดนบรรยากาศสวยงามของภาคเหนือ

ปัจจุบันทำงานระดับผู้บริหารขององค์การหนึ่ง
ครูเก่า ๆ ย้าย ครูใหม่เข้ามาแทน ฉันก็จึงเป็นครูเก่าในปีต่อมา  และได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่โรงเรียนเล็ก

ๆ ใกล้อำเภอ  คราวนี้ฉันเดินทางไป กลับโดยรถไฟ  เป็นชีวิตที่สนุกสนานอีกแบบ  และฉันก็คุยให้เพื่อนฟังว่า “ฉัน

เบื่อหน่ายโรงเรียนนี้มาก สอนน้อย ครูเยอะเกินไป กินเงินเดือนฟรีไปวัน ๆ”  ต่อจากนั้นไม่เกินสัปดาห์ฉันถูกเรียกไป

พบบนสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอ  หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอบอกว่าได้ยินฉันพูดบ่นบนรถไฟ แล้วฉันก็

ได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่โรงเรียนประถมประจำอำเภอที่มีเด็ก มากห้องละ ๔๐-๕๐ มีมากเช่นกัน และฉันก็พอ

ใจที่นี่มากที่ได้ใช้วิทยายุทธ์เต็มเวลา
ชีวิตมีการเคลื่อนไหวไปตามจังหวะก็อาจว่าได้ ฉันได้ย้ายติดตามครอบครัวไปอยู่ที่อำเภอนครไทย ในฐานะ

ครูช่วยราชการเช่นกัน  ประมาณปีกว่า ๆก็ย้ายไปช่วยราชการอีกเช่นกันหลาย ๆ จังหวัดในภาคอิสานเป็นเวลาเกือบ

๑๐ ปีขาดความเป็นครูแต่อาชีพครู  เพราะไม่ได้สอนในโรงเรียนแต่ไปทำงานในสำนักงานฯ แทน  เมื่อได้กลับมา

อีกครั้งต้องกลับมาอยู่โรงเรียนเดิมที่อำเภอบางกระทุ่ม แต่ฉันขอย้ายไปอยู่ที่อำเภอนครไทย เพราะบรรยากาศดี มี

ป่า มีธรรมชาติสวยงามอากาศเย็นสบาย  ฤดูร้อนก็ไม่ร้อนจัด อีกประการหนึ่งชาวนครไทยจิตใจดี และมีความเป็น

กันเองสูง
โรงเรียน…แห่งนี้ฉันมีตำแหน่งจริงไม่ต้องช่วยราชการเหมือนที่ผ่าน มา   โรงเรียนอยู่ห่างจากจังหวัด

พิษณุโลก ๑๒๕ ก.ม. ฉันเดินทางไปกลับทุกวัน (๒๕๐ ก.ม.) ถนนหนทางก็ไม่ดีเหมือนสมัยนี้ เมื่อมีการพิจารณา

ความดีความชอบ ปรากฏว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับพิจารณาเลือนขั้นเงินเดือน ๑.๕ ขั้น ที่โรงเรียนแห่งนี้  ก่อน

หน้านั้นมีการพิจารณาเงินเดือนปีละ ๑ ขั้นหรือ ๒ ขั้น ตอนนั้นฉันไม่เคยรู้รสชาติว่าการได้รับเงินเดือนตามความดี

ความชอบ ๒ ขั้นนั้นเป็นอย่างไร (เพราะเขาอ้างว่าช่วยราชการ) ฉันอยู่ ที่โรงเรียนนี้ ๖ ปี เนื่องจากอัตราครูเกิน

เกณฑ์  จึงมีสิทธิ์เลือกโรงเรียนได้ตามความพอใจ  แต่ศึกษาแล้วเห็นว่าโรงเรียนวิทยสัมพันธ์ มีอัตราครูต่ำเกณฑ์

มากและขาดครูสอนภาษาอังกฤษ ฉันขอเลือกลงที่โรงเรียนนี้เมื่อปีการศึกษา ๒๕๔๖ เดินทางไปกลับทุกวันเช่นกัน

ระยะทาง ๑๕๖ ก.ม. ใคร ๆ ว่าฉันเป็น..คนเมืองเข้าป่า


เป็นไปได้..เข้าทางฝัน

8 ความคิดเห็น โดย krukim เมื่อ 23 กุมภาพันธ 2009 เวลา 19:38 ในหมวดหมู่ การเรียนการสอน #
อ่าน: 2031

วันนี้ไปโรงเรียนตามปกติ เช้าวันจันทร์เด็ก ๆ จะทำงานหนักและครูก็ปวดหัวมากกว่าเวรวันอื่น ๆ เพราะเป็นวันหยุดก่อนหน้า ๒ วัน  ผู้คนมาเล่นมาหาผัก ผลไม้ มาหาไข่มดแดงที่โรงเรียน  ใบไม้ร่วงตามฤดูกาล

หน้าที่ของเด็กใครมาถึงแล้วก็ต้องทำงานโดยไม่ต้องบอก  เคารพธงชาติแล้วแยกย้ายกันไปทำตามกลุ่มนักเรียนจิตสาธารณะ ปัญหานักเรียนหลายคนบอกว่าไม่ได้ทำหน้าที่ตอนเช้า ๆ แต่มาทำภายหลังที่เคารพธงชาติ สาเหตุเพราะลืมและครูขาดการติดตาม

โรงเรียนมีมติในที่ประชุมว่า  ให้ปล่อย ๆ เด็กทำกันเองบ้าง เพื่อเขาจะได้รู้วิธีการแก้ปัญหา และปกครองกันเอง ฉันหันไปมองหน้านักเรียนกลุ่มผู้นำ ดูท่าทางอิดโรยแต่ก็ยิ้มสู้ ฉันในฐานครูเวรจึงรวมนักเรียนและอบรมกันเล็กน้อย ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวเพียงแต่ชี้แนะชี้นำว่า เรื่องที่แล้วก็แล้วไปต่อไปต้องเริ่มใหม่

นำเรื่องไปเล่าให้คุณครูคนอื่น ๆฟัง  ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันว่า สัปดาห์นี้ให้ครูคิมเป็นคนควบคุมและติดตามเด็ก ๆไปก่อนอย่างต่อเนื่องไปประมาณ ๑ สัปดาห์และเปลี่ยนกันติดตาม  เพราะเทคนิคการอบรมของครูแต่ละคนต่างกัน  กลัวเด็กสับสน

ผอ.มาติดตามเรื่องเว็ปไซท์ของโรงเรียน  และเข้าไปอ่านบันทึกของพ่อครูบา http://gotoknow.org/blog/sutthinun/244040 แต่ไม่ได้พูดอะไร  เพียงแต่ถามว่าจะนำนักเรียนไปเรียนรู้ที่สวนป่ากี่คน ให้สำรองเงินค่าน้ำมันรถและอาหารการกินของเด็ก

โรงเรียนเลิกฉันและเด็ก ๆ ทำงาน “เตรียมคอนโดน้องเหมยซาน” ผอ.มาบอกว่าจะนำรถไปอีกคันคือรถของ ผอ. เองให้คัดเด็ก ๆ เพิ่มด้วย มีครูและผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๔ และหมู่ที่ ๑๐ ไปเพิ่ม นักเรียนปรบมือดีใจกันเกรียวกราว เสนอให้เพื่อน ๆ ไปและนำสิ่งดี ๆ มาบอกกัน โครงงานนี้มีชื่อว่า “เหมยซานสร้างฝันภูมิปัญญาท้องถิ่น”  ไม่แน่ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่ออีกไหม  เพราะที่ผ่านมา  เห็นเปลี่ยนชื่อกันไปเรื่อย ๆ

ขับรถกลับบ้าน..ก็คิด ๆ ๆ เป็นไปได้…เข้าทางฝัน


ขอลองก่อนนะคะ

8 ความคิดเห็น โดย krukim เมื่อ 22 กุมภาพันธ 2009 เวลา 22:44 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1922

วันนี้นำเครื่องไปจัดการกับโปรแกรม Firefox แล้วตามคำแนะนำของคุณ  LOGOS เข้ามาที่ลานปัญญาได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก  แต่ไม่ทราบจะทำอะไรที่ไหน อย่างไร บันทึกแรกนั้นได้ลบแล้ว  เพราะดูรกตารกใจเกินไปค่ะ

ตอนบ่ายได้รับการติดต่อจากบริษัทผลิตรายการว่า “จะขอมาถ่ายทำโทรทัศน์ที่โรงเรียนของครูคิม  กิจกรรมนักเรียนจิตสาธารณะ”  จึงมีความคิดว่าจะนำเรื่องจิตสาธารณะมาเล่าที่นี่ต่อไปค่ะ  ขอขอบคุณค่ะ



Main: 0.3448760509491 sec
Sidebar: 0.2885000705719 sec