ชีวิตธรรมดา ตอนวัยรุ่นวุ่นวาย วุ่นวาย2

โดย นักการหนิง เมื่อ 19 ธันวาคม 2008 เวลา 9:10 (เช้า) ในหมวดหมู่ เรื่องเล่าจากลานดีดี #
อ่าน: 15025

วันที่หักเหของครอบครัวเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง   ป้าซึ่งแยกออกไปมีครอบครัวที่จังหวัดอื่นหลายปีดีดักแล้ว  ย้ายกลับมารับราชการที่เชียงราย  มาอยู่บ้านอำม้า  ไม่นานนักมีปัญหาทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับแม่    ซึ่งเดิมเย็บผ้าและค้าขายที่บ้านยาย (อำม้า)     แม่เกรงว่าอำม้าจะมีความทุกข์ที่เห็นลูกสองคนทะเลาะกัน    แม่จึงตัดสินใจหอบครอบครัว    ปิดกิจการ  ย้ายออกจากบ้านอำม้า    ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ   เราไม่มีบ้านซุกหัวนอน

 

มีเงินติดตัวไม่มาก  แม่ตัดสินใจให้น้องเรียนเสริมสวย เพื่อให้มีอาชีพเร็วที่สุด  แม่รับจ้างเย็บผ้าที่ร้านขายเสื้อผ้าที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง   ครอบครัวเราไปเช่าอยู่หน้ารามคำแหง ซอย 39  ชื่อแฟลตเทพลีลา   ราคาค่าเช่า 1,000 บาท  อยู่ชั้นบนสุดค่ะ มีที่เป็นครอบครัวอยู่เพียงครอบครัวเดียว  นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชาย    เราจึงถูกกรอกหูด้วยเพลงคาราบาว   เป็นเพลงที่ไม่มีความไพเราะเลย   เนื่องจากคนเปิด เปิดเพลงเสียงดังมากๆ  เผื่อห้องอื่นด้วย   ครอบครัวเรามี  5 คน  แม่  พี่สาว  ตัวเอง  น้องสาว  หลาน   ใช้ผ้าห่มปูนอน แทนฟูก   มีนักศึกษารามคำแหงชายคนหนึ่ง เห็นหลายอายุประมานสามขวบ  เกิดความสงสารยกฟูกมาให้      

 

ฝนตกต้องคอยเอาขันน้ำ  กระป๋องน้ำไปรองน้ำที่รั่วลงมาจากดาดฟ้า    มีหม้อหุงข้าวหนึ่งใบ กระทะไฟฟ้าหนึ่งใบ   หม้อสำหรับทำแกงอีก  2 ใบ  พัดลมหนึ่งตัวเก่าๆ  ขอมาจากน้า   ช่วงนี้พี่สาวไม่ทำงาน   เ ขาพึ่งประสบเรื่องรุนแรงในชีวิตจึงอยู่ในสภาพพักฟื้น     หนิงเรียนหนังสือและทำงานเล็กๆ  น้อย  เช่นรับจ้างถอดเทป   รับจ้างเดินเคาะประตูบ้านหาเสียงบ้าง  สมัยนั้นเดินหาเสียงให้ ร.ต.อ.เฉลิม  อยู่บำรุง  ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร  พรรคประชาธิปัตย์  เขตบางขุนเทียน บางบอน   ช่วงไหนที่นักศึกษารับปริญญาก็ไปขายช่อดอกไม้รับปริญญา   ขายไปก็ต้องวิ่งหนีเทศกิจไป  ความที่เป็นคนปราดเปรียวไม่เคยถูกจับสักครั้งเลยค่ะ   ช่วงนั้นแม้เราจะลำบากกันมาก  แต่ไม่เคยเห็นแม่ปริปากบ่นหรือใช้อารมณ์กับลูกๆ   บางวันแม่เหนื่อยจนเป็นลม  ซึ่งแม่เป็นลมบ่อยมาก    แต่แม่ก็ไม่แสดงอาการท้อถอยให้ลูกเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว  

 

น้องเรียนเสริมสวยจบ    พี่สาวก็แยกออกไปตามทางของเขา   แม่รวบรวมเงินเปิดร้านทำผม และเปิดร้านตัดผ้าเล็กๆ   ร้านอยู่ใต้อาคารแฟลตที่ตลาดแถวๆ  สวนพลู  ที่ไปเปิดที่นั่นเพราะตอนที่แม่ต้องรวบรวมเงินเปิดร้าน   แม่พาพวกเราไปอยู่กับเพื่อนแม่   มหากัลยาณมิตรของแม่  แจ๋ตาลแต่งงานแล้ว  มีลูกสามคน  และมีอาชีพทำหยกขาย   แต่ไม่ได้ร่ำรวยมีเพียงพอมีพอกิน    เปิดห้องให้เราอยู่หนึ่งห้อง  อยู่เป็นเดือนๆเพื่อรอเงิน และรอร้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ   แจ๋ตาลไม่เคยมีคำเล็กคำน้อย  ดูแลเราเหมือนคนในครอบครัวจนเราเปิดร้านได้………………..   ขอบพระคุณมากค่ะ     บุญคุณนี้ใหญ่หลวงนัก  

 

เปิดร้านได้แล้ว   ร้านมีคูหาเดียวและไม่มีห้องนอน  ขนาด 4 x 8 เมตร  ความลึกแบ่งเป็นสองช่วง  ช่วงละ 3 เมตร  อีกสองเมตรเป็นครัวเล็กๆ และห้องน้ำ    ตั้งโต๊ะเครื่องแป้งชุดทำผม  ตั้งจักรเย็บผ้า  หุ่นใส่เสื้อผ้า  มีเก้าอี้ไม้ยาวที่แทนโซฟาซึ่งหาซื้อได้ตามร้านทั่วไป   เตียงนอนสระผม   พอกลางคืนปิดร้าน  ก็ต้องดึงโซฟามาต่อกับเตียงพับแบบสปริง  แม่นอนกับน้อง  และหลาน  หนิงเองกางมุ้งครอบนอนเตียงสระผม   อยู่อย่างนี้เกือบปี

 

พอมีเงินเก็บสะสม  เลยย้ายไปเช่าอาคาพาณิชย์ในซอยแถวๆ  ตรอกจันทร์   ตอนนี้ดีหน่อย  มีสามชั้น  สามห้องนอน  เราอาชีพเพิ่มขึ้น  คือหนิงต้องเป็นลูกมือทำผมให้น้องแล้ว  แม่ได้ซื้อจักรเย็บผ้าเช็ดหน้า  เย็บผ้าเช็ดหน้าส่งโรงงานอุตสาหกรรม  ผ้าเช็ดหน้าเป็นของโรงงาน   ต้องซื้อด้ายจากเขา  สิ้นเดือนก็หักค่าแรงออกจากค่าด้าย  จะได้ประมาณเดือนละ  2,000  บาท    เย็บเสร็จ   พับสิบ   มัดร้อย  บรรจุลงถุงฟาง  หิ้วขึ้นบ่าไปส่ง  เรียกว่าแบกขึ้นบ่าค่ะเพราะมันเยอะและหนัก  โรงงานอยู่ไม่ไกลร้านมากนัก  เดินประมาณเจ็ดร้อยเมตร 

 

วันหนึ่งส่งผ้าเช็ดหน้าเสร็จ  และรับชุดใหม่   ตอนนั้นยังไม่ได้แบกผ้าขึ้นบ่า   ความที่คาดไม่ถึงแกะฮอลล์เข้าปาก แล้วแบกถุงผ้าขึ้นบ่า  ความที่มันหนัก จังหวะที่ขึ้นบ่าจะกระแทกหลังทุกครั้ง  วันนี้ก็เช่นกัน  ปึ๊ก!  ฮอลล์ที่อมอยู่หลุดเข้าคอ  แล้วมันค่อยๆ เลื่อนลงไปในหลอดอาหาร   เหนียว  ฝืด  เลื่อนลงไปบาดหลอดอาหารไปตลอดทาง    รู้สึกได้เลยถึงความเจ็บและหายใจไม่ออก   แข็งใจเดินกลับบ้าน   น้ำตาซึม   ใจเรียกหาแม่ดังลั่น  พอเดินกลับบ้านรีบดื่มน้ำ  แล้วลงนั่งเงียบๆ   ความเจ็บแปลบในหัวใจหลั่งไหลออกมา   ทำไมจึงทุกข์  ลำบากขนาดนี้   นั่งรวบรวมสติ รวบรวมหัวใจเท่าที่ทำได้ 

 

พี่สาวจากไปอย่างไม่มีวันกลับ…………..   วันนั้น แม่ร้องไห้   พูดได้แต่ว่า   ลูก………..อยู่กับแม่นะ  อย่าทิ้งแม่ไป     กอดแม่แน่น  กระซิบกับแม่ว่า  แม่จ๋าหนูอยู่กับแม่   ร้องไห้ให้พอ  ลูกคนนี้ไม่ทิ้งแม่ไป  แม่ต้องเข้มแข็งนะ    ค่ำคืนนั้นเราสองคนแม่ลูกนอนกอดกัน   จวบจนเมื่อกาลเวลาผ่านไป   แม่บอกว่าเสียใจที่ให้คนอื่นเอาลูกแม่ไปเลี้ยง    ทำให้แม่กับลูกไม่เข้าใจกัน   สายสัมพันธ์ไม่แนบแน่นพอ  และเมื่อลูกเติบใหญ่เป็นวัยรุ่นความไม่เข้าใจยิ่งถ่างกันให้ห่างออกไป   

 

 

ทุกวันไม่เคยท้อ  มีแต่แรงฮึดสู้    คิดเสมอว่าต้องเรียนให้จบ   ชีวิตทุกคนต้องดีขึ้น   ต้องมีบ้านอยู่  พรุ่งนี้จะดีขึ้น   ความมานะบากบั่น  อดทน  มีอยู่ในหัวใจของทุกคน  ช่วงเวลายังมีความปลาบแปลบในหัวใจเกี่ยวกับพ่อเสมอ ๆ   

 

 

ถอดบทเรียนชีวิต

1.    ความลำบากสร้างคนขึ้นมาได้  ขอเพียงอย่าท้อถอย  มีมานะอดทน  มีสัมมาทิฐฐิ

2.    แม้จะลำบากและอยู่ในครอบครัวที่แตกแยก  แต่หากมีพื้นฐานมาดี  ชีวิตก็ไม่เสียคนและผ่านมันไปด้วยดี

3.    ชีวิตทุกคนเกิดมาต้องสู้   สู้ด้วยหัวใจที่แกร่งเช่นเพชรเม็ดงาม

4.    ชีวิตที่มีกัลยาณมิตร  ย่อมได้รับโอกาสและการโอบอุ้ม

5.    การแปรเปลี่ยนความทุกข์ยากเป็นพลังส่งชีวิต  เป็นศิลปะและทักษะชีวิต

6.    คิดบวกนอกจากไม่บั่นทอนตัวเอง  ยังเป็นพลังส่งชีวิตให้ก้าวย่างอย่างเติบโตและมั่นคง

7.    อาชีพที่สุจริตมีมากมาย  แม้จะได้เงินไม่มากแต่ทำให้เราอยู่อย่างมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี   ไม่ต้องขายจิตวิญญาณ

« « Prev : ชีวิตธรรมดา ตอน วัยรุ่นวุ่นวาย วุ่นวาย

Next : ชีวิตธรรมดา ตอนพันธนาการชีวิต » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

604 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 2.0697228908539 sec
Sidebar: 0.0075089931488037 sec