สิ่งแวดล้อมบั่นทอน IQ

โดย สาวตา เมื่อ 14 พฤษภาคม 2012 เวลา 23:02 (เย็น) ในหมวดหมู่ ความเป็นชุมชน, ชีวิต สุขภาพ, ดูแลสุขภาพ, ตรวจสุขภาพ, สิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 2190

การทำงานของสมองมีความอัตโนมัติมากๆ ส่วนใหญ่คนที่วัด IQ มักจะบอกว่าไม่ได้วัดด้านความคิดสร้างสรรค์ ทักษะต่างๆด้านการทำงาน ทักษะชีวิตประจำวัน ฯลฯ  ตรงนี้ในส่วนตัวไม่เชื่อว่าไม่มีส่วนเหล่านี้เข้าไปปน เพราะเห็น ความเป็นองค์รวมของคำว่า “ปัญญา”

เวลาวัดก็นำความสามารถนี้ไปแปลความเทียบเด็กทั่วโลก  ในแต่ละวัยส่วนใหญ่ก็วัดเทียบการใช้อวัยวะ การรับรู้ การสื่อสาร และการคำนวณ เป็นความสามารถหลักที่วัดกันไป

ที่จริงความสามารถของเด็กมีฐานรากสำคัญอยู่ 2 ฐาน ฐานหนึ่งคือ “ยีน” อีกฐานหนึ่ง คือ สิ่งแวดล้อม

ยีนมีส่วนอยู่ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งสร้างได้ วันนี้วิทยาศาสตร์เจริญ เรื่องของ “ยีน” ก็เริ่มสร้างได้

ในส่วนที่สร้างได้  “อาหารกายและอาหารใจ” คือสิ่งแวดล้อมสำคัญต่อการสร้าง “ปัญญา” ให้เด็ก

ส่วนที่เติมความสามารถให้เด็กมีสมองของตนเท่าอายุจริงหรือแก่แดด เหล่านี้ คือ สิ่งแวดล้อมที่ป้อนอาหารกาย อาหารใจให้แก่เด็ก จะเติมความสามารถให้เด็ก ก็ต้องแกะรอยแก้สิ่งเหล่านี้ให้มาก :

การเลี้ยงดู ความรัก ความอบอุ่น เวลาที่พ่อแม่หรือคนที่เด็กรักมีให้ลูกหลานหรือเด็ก

อาหารครบห้าหมู่โดยเฉพาะ ปลา ถั่วเหลือง วิตามิน บี ธาตุเหล็ก ไอโอดีน โปรตีน อาหารปลอดสารพิษ เช่น สารตะกั่ว โลหะหนัก สารเคมีในอาหาร

ประสบการณ์ เรียนรู้ที่สร้างความสามารถจากการใช้ผัสสะทั้ง 5 จากการเล่น ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมกลุ่ม การทำงาน การทำงานศิลปะ ดนตรี กีฬาที่สร้างอารมณ์บวก มีความสุข

การได้ฟังนิทาน(วัยเด็กเล็ก) การได้ช่วยทำงาน ทำกิจกรรมในเด็กโต

การได้รับคำชมเชย มองเห็นคุณค่าตนเอง มองตัวเองในด้านบวก ได้รับการยอมรับการกระทำต่างๆที่ดี อารมณ์ดี ไม่เครียด การได้ประสบการณ์ในสังคม การสัมผัสกับสังคม การใช้ชีวิตประจำวัน ฯลฯ

การได้ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อทั้งเล็กและใหญ่ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน การได้ฝึกฝนความคิด สร้างจินตนาการ ได้ลองลงมือใช้ไหวพริบ ได้แก้ปัญหาเอง ได้ลงมือเอง

พ่อแม่ ครอบครัว อยากได้เด็กเก่งและฉลาดตามอายุทุกคนแหละน่า ไม่มีใครไม่อยากได้ เพียงแต่วันนี้สังคมมันบิดเบี้ยว จึงเป็นเรื่องของทุกภาคส่วนช่วยกัน

เรื่องด่วนที่ควรช่วยกันให้มากที่สุด สมควรเป็น ทำให้พ่อแม่และครอบครัวมีความสุขกับการได้เห็นเด็กได้ “เล่น” ทั้ง “เล่นคนเดียว เล่นเป็นกลุ่ม เล่นกับคนโตกว่า เล่นกับผู้ใหญ่ เล่นกับของรอบตัวที่อยากรู้จัก”

ทำให้พ่อแม่ ครอบครัว เข้าใจว่า การลองทิ้งของ การลองจัดการกับของรอบตัว ของเด็ก เป็นเรื่องธรรมดาที่ปล่อยให้ลองได้ในขอบเขตหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยไหน

ทำให้พ่อแม่และครอบครัว รู้จัก “การจัดการ” เมื่อเด็กลองแล้วเกิดพลาด ทำให้ของเสียหาย ตัวสกปรก เลอะเทอะ การยอมรับได้ของการพลาดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่เป็นไปเพื่อการเรียนรู้ของเด็ก

ทำให้พ่อแม่และครอบครัว รู้ว่า “เด็ก” ไม่ใช่ตุ๊กตาไขลาน ที่อยากสั่งซ้ายหัน ขวาหัน ติดตั้งโปรแกรม reset อดีตที่ผู้ใหญ่ขาด ก็ทำตามอยากของตนไปทุกเรื่อง อยากให้ได้อย่างใจตนทุกเรื่องไป

ทำให้พ่อแม่และครอบครัวรู้ว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่ทำนั้น เป็นอะไรที่เด็กแอบเรียน อะไรที่ผู้ใหญ่ชอบและชม เด็กจะ reset และเก็บความจำไว้ว่าเป็นความสามารถที่ได้รับความชื่นชม เด็กรับรู้คุณค่าของตนผ่าน “คำชม”

เด็กเรียนรู้และเลียนแบบคนที่ทำให้เขาสุขและทุกข์ตลอดเวลา  การครองตนของผู้ใหญ่คนสำคัญของเด็กจึงเป็นการ reset โปรแกรมบางอย่างทิ้งไว้ในเด็กแบบลอกเลียนอย่างห้ามไม่ได้

และวันนี้ ผู้ใหญ่ทำให้เด็กเก็บความจำไว้หลายๆอย่างในเรื่อง “วิชาการนอกโรงเรียน” แล้วพาเด็ก “จนปัญญา” มาจนเป็นผลอย่างที่พบ

เรื่องไอโอดีน ธาตุเหล็กจึงเป็นเรื่องจ้อยไปเลย เมื่อเทียบกับปัจจัยทางสังคมซับซ้อนที่มีกับเด็ก

เวลาลงมือแก้เรื่องพร่องความสามารถให้เด็ก จะควรเตือนตัวเองด้วยคำถามว่า “ต้องการผล คือ ผู้ใหญ่ในร่างเด็ก หรือเปล่า”  เสมอ  เพื่อจัดการด้านสังคมให้ลงตัวไปด้วยกัน

« « Prev : ทำอะไรได้เพื่อเติม “ปัญญาเด็ก” ก็ทำไป

Next : สุข เก่ง ดี » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

4 ความคิดเห็น

  • #1 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2012 เวลา 23:48 (เย็น)

    น่าจะเร่งพัฒนา EQ และ Self-esteem ครับ

  • #2 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2012 เวลา 20:43 (เย็น)

    ใช่เลยค่ะ IQ-EQ เป็นสิ่งที่ไปด้วยกัน ถ้าขาดอันใดอันหนึ่งก็จะพัฒนาได้ไม่สวย เหมือนอาหารกับน้ำ พ่อกับแม่ มันเป็นการก่อเกิดกันและกันน่ะค่ะ พัฒนามาพร้อมๆกัน อย่าง เด็ก 2 เดือน ชันคอ 45 องศาได้นาน 3 วินาที เริ่มหยิบจับกรุ๋งกริ๋ง ยิ้ม มองหน้าเมื่อมีคนพูดด้วย สิ่งเหล่านี้คือ IQ กับ EQ โดยที่บางคนอาจไม่รู้ การตรวจพัฒนาการจึงเป็นเครื่องมือแรกที่สธ.ให้ความสำคัญไงคะ ^ ^

    ตอนนี้กำลังพัฒนาเครื่องมือตัวใหม่ คือ DSI 70 (คัดกรอง 5 ด้าน คือกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็ก ความเข้าใจภาษา การใช้ภาษา การช่วยเหลือตัวเองและสังคม) แทนอนามัย 49 ค่ะ เพราะอนามัย 49 หยาบไปทำให้ detect พัฒนาการล่าช้าด้านอื่นๆไม่ค่อยได้

    ส่วนเรื่องสิ่งแวดล้อมนั้น ช่วงนี้คงหนักกันหน่อยล่ะค่ะ กระบี่ก็เป็นจังหวัดนำร่อง คงเหนื่อยเอาการเหมือนกันนะคะพี่ตา

  • #3 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 16 พฤษภาคม 2012 เวลา 23:49 (เย็น)

    DSI 70 ของเบิร์ดนี่ คือ Danver ฟรือเปล่า

    รพ.กระบี่ไม่หนักหรอกจ๊า ทำมานานอย่างที่เล่าไปแล้ว ที่หนักคงจะเป็นรพ.สต.ทั้งหลาย คงหัวปั่นกันอีกยกละ ทั้งเบาหวาน ความดันที่มีปริมาณคนป่วยเยอะ โภชนาการก็ยาก แล้วยังต้องมาละเอียดกับเด็กอีก

    Self-esteem นี่มีหลายมิติเหมือนกันนะ พี่คิดว่า “กอด” กับ “คำพูด” ผู้ใหญ่นี่แหละเป็นเรื่องสำคัญ ต่อการกระตุ้นหรือทอน self-esteem ของเจ้าตัวเล็กทั้งหลาย

  • #4 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2012 เวลา 17:48 (เย็น)

    DSI 70 คนละอันกับ DDST II ค่ะ รายละเอียดอยู่นี่ค่ะ http://www.klb.dmh.go.th/modules.php?m=technology&gr=&op=detail&researchId=1714

    กรมุมภาพจิตพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้แทน DDST II กับ อนามัย 49 น่ะค่ะ ตอนนี้อยู่ในเฟสวิจัยการใช้เทคโนโลยี่ตัวนี้ว่าผู้ปกครองจะสามารถตรวจลูกหลานด้วยตัวเองได้หรือเปล่า แต่ค่าความเที่ยง ความตรงอยู่ในระดับสูงมากค่ะ ลองกับเคสที่ใช้อนามัย 49 ไม่พบว่า delay พอใช้ตัวนี้พบ ข้อดีของมันคือละเอียด ตรวจเจอแล้วสามารถช่วยกระตุ้นฯต่อได้เลย แต่ข้อเสียก็คือช้า(ถ้าเป็นเด็กโตสัก2 ปีขึ้นไปนะคะ)


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.55855202674866 sec
Sidebar: 0.17007088661194 sec