รู้วิธีจัดการน้ำดิบเพื่อใช้สอยไว้หน่อยเหอะ

อ่าน: 3669

เมื่อคิดจะใช้น้ำบาดาลก็ต้องเข้าใจบริบทของน้ำบาดาลว่า มีสารต่างๆแขวนลอยได้มากมายแค่ไหน ที่แน่ๆซึ่งรู้แล้วก็เป็นเรื่องของคุณภาพน้ำที่เกิดจากสนิมเหล็กที่ปนอยู่ และสิ่งปนเปื้อนจากน้ำผิวดิน

เทคโนโลยีการจัดการกับสนิมเหล็กในน้ำ และการผลิตเครื่องกรองอย่างง่ายๆได้เล่าไว้แล้ว ที่ต้องคั่วทรายคลุกด่างทับทิมก็เพื่อเผาด่างทับทิมให้สลายตัว กลายเป็นแมงกานีสไดออกไซด์ แล้วเกาะตัวติดเม็ดทราย

ความขุ่นของน้ำซึ่งเกิดจากสารแขวนลอยอยู่ในน้ำ ทั้งดินโคลน ทรายละเอียด และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก สี กลิ่นที่จัดการไปแล้ว ถ้าจะนำมาใช้ต่อก็ควรทำความเข้าใจกับหลักการบำบัดน้ำเสียไว้ด้วยว่ายังมีสารแขวนลอยที่มองไม่เห็นด้วยตาแต่ทำให้น้ำขุ่นอยู่ด้วย

กลิ่นน้ำเป็นตัวบอกให้รู้ว่า สารแขวนลอยเหล่านี้ มีต้นแหล่งมาจากของเสีย ซากสัตว์ ซากพืชที่ตายไป จำเป็นต้องหาน้ำไว้อุปโภคในสถานการณ์จำเป็นหรือไม่พร้อม ก็ลงมือจัดการกับสารแขวนลอยเหล่านี้ด้วยปูนขาวและลูกบอลน้ำหมักไว้ก่อน

ฤทธิ์ของปูนขาวและลูกบอลน้ำหมักช่วยจัดการความเป็นด่างของน้ำให้เพิ่มขึ้น และทำให้สารแขวนลอยตกตะกอน น้ำที่ได้มาเป็นน้ำใช้สอยที่ปลอดภัยขึ้นจากสารพิษในน้ำ

สารที่ใช้ทำให้เกิดการตกตะกอนได้อีกตัวคือ สารส้ม  ฤทธิ์ของมันทำให้สารแขวนลอยตกตะกอนเป็นหินปูน

ต้องการน้ำเพื่อบริโภคที่ปลอดเชื้อก็ทำได้โดยการใส่คลอรีนฆ่าเชื้อ  ซึ่งต้องเข้าใจเรื่องคลอรีน ไม่ยังงั้นน้ำนั้นก็ยังไม่ปลอดเชื้ออยู่ดี ขอนำเรื่องคลอรีนมาเล่าสู่กันฟังเผื่อการใช้งาน

ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคของผงปูนคลอรีน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ หัวใจสำคัญอยู่ที่ ความเข้มข้นของคลอรีนอิสระ (Free chlorine residual) ที่เหลืออยู่ในน้ำหลังเติม 30 นาที

เติมคลอรีนน้อยเกินไป จะไม่ทำให้เกิดคลอรีนอิสระขึ้น และอาจจะทำลายเชื้อโรคในน้ำได้ไม่ทั้งหมด เติมมากเกินไปก็ทำให้น้ำมีกลิ่นฉุน รสชาติน้ำไม่ดีไปด้วย และสิ้นเปลือง

ปริมาณคลอรีนที่พอเหมาะที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้หมดและเกิดคลอรีนอิสระ คือ ปริมาณที่เติมไปแล้วหลังเติม 30 นาที วัดคลอรีนอิสระได้ระหว่าง 0.2-0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร

ฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคของคลอรีนอยู่นาน คลอรีนอิสระที่อยู่นานกว่า 30 นาที จึงมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคมากขึ้น และยิ่งทิ้งไว้นานกลิ่นจะลดลง

คลอรีนมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคลดลง ที่อุณหภูมิสูง เวลาเติมคลอรีนที่เหมาะสมจึงเป็นเวลาที่น้ำมีอุณหภูมิต่ำ เวลาเย็นหรือพลบค่ำจึงเป็นเวลาที่มักใช้กัน

น้ำที่บำบัดแล้วต้องมีความขุ่นน้อยกว่า 10 NTU (Nephelometric Turbidity Units) คลอรีนจึงสามารถเข้าไปสัมผัสและฆ่าเชื้อโรคได้

สารส้มช่วยจัดการให้ความขุ่นกลายเป็นความใสในระดับนี้ได้ แกว่งสารส้มแล้วให้กรอง ก่อนเติมคลอรีน

สภาพทางเคมีของน้ำมีผลต่อการออกฤทธิ์ของคลอรีนด้วย  คลอรีนที่ฆ่าเชื้อโรคได้ดีจะอยู่ในรูปของไฮโปคลอรัส (Hypochlorus : HOCl ) สารตัวนี้ทำงานได้ดีเมื่อน้ำเป็นกรดอ่อนๆ ถ้า pH สูงกว่า 7.5 คลอรีนจะอยู่ในรูปของ OCl- มากขึ้น ตัวนี้ฆ่าเชื้อโรคได้ไม่ดีเท่า HOCl ทำให้เปลืองคลอรีนมากขึ้น pH ที่สูงถึง 9.5 จะเกิด OCl- ถึง 100%

สิ่งมีชีวิตก่อโรคให้คนแต่ละชนิดมีความทนต่อความเข้มข้นของคลอรีนและเวลาสัมผัสกับคลอรีนต่างกันไป  ส่วนของสิ่งมีชีวิตก่อโรคที่คลอรีนทำอะไรไม่ได้ คือ  สปอร์ของแบคทีเรีย

สิ่งมีชีวิตก่อโรคที่คลอรีนจัดการได้มีหลายตัว ที่สำคัญๆก็มี HIV เชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อรา เชื้อแบคทีเรียก่อโรค วัณโรค

สารละลายคลอรีนฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อ HIV ตายภายใน 10 นาที เมื่อเชื้อเหล่านี้สัมผัสกับมัน ต่างกันที่ความเข้มข้น  จะฆ่าเชื้อ HIV ต้องใช้คลอรีนที่ความเข้มข้น 50 มก./ลิตร  และ จะฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีต้องใช้ความเข้มข้นที่ 500  มก./ลิตร

เชื้อวัณโรคจะตายหลังสัมผัสคลอรีนเข้มข้น  125 มก./ลิตร ในเวลา 3-10 นาที

คลอรีนเข้มข้น 100 มก./ลิตร ฆ่าแบคทีเรียได้ใน 10 นาที แต่ถ้าจะฆ่าเชื้อราต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมง

« « Prev : หลักการของระบบบำบัดน้ำเสีย

Next : รู้จักคลอรีนอีกหน่อย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

ความคิดเห็นสำหรับ "รู้วิธีจัดการน้ำดิบเพื่อใช้สอยไว้หน่อยเหอะ"

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.059195995330811 sec
Sidebar: 0.18198108673096 sec