รถตกน้ำ ทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ปลอดภัย

โดย สาวตา เมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 17:48 (เย็น) ในหมวดหมู่ การจัดการ, ฉุกเฉินจากรถ, ชีวิต สุขภาพ, ดูแลสุขภาพ #
อ่าน: 4790

อุบัติเหตุที่พบจากรายงานทั่วไประดับประเทศ นอกจากเกิดจากยางระเบิดแล้วทำให้เสียหายทั้งรถและชีวิตของคนในรถ ก็ยังมีรถตกน้ำที่เป็นสาเหตุร่วม

ทำอะไรได้บ้างให้ปลอดภัยขึ้นระหว่างรถกำลังจมน้ำ ก็มีคนบอกมาอีกต่อ มีประโยชน์ก็นำมาบอกกันค่ะ

ทำความเข้าใจไว้และฝึกตัวเองเช่นกันนะคะ จะได้ช่วยตัวเองได้ให้ปลอดภัยและช่วยคนร่วมรถได้ระหว่างรอคนมาช่วย

สิ่งหนึ่งที่ควรจำไว้ให้แม่นยำเพื่อจัดการสติได้เร็ว เพราะอะไรที่จำได้และเข้าใจ จะถูกนำมาใช้ได้เร็วในการช่วยตัวเอง

รถไม่เหมือนหิน แม้จะหนักกว่าหิน เวลาตกน้ำหินจมทันที แต่รถไม่ใช่ จำไม่ได้ก็นึกถึงหนังแอ็คชั่นที่เคยดูให้ติดตาไว้ พร้อมบันทึกข้อความว่า “เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำ ลำคลองใดๆ ก็ตาม รถจะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึงพื้นล่าง

สิ่งที่พึงทำในนาทีวิกฤตนี้ คือ “มีสติ” แล้วลงมือทำสิ่งเหล่านี้

1. ปลด SAFETY BELT ออกให้ทุกๆคน ทั้งตัวเองและผู้โดยสารด้วย - เพื่อให้การเคลื่อนย้ายตัวทำได้สะดวก รวดเร็ว

2. ไม่ออกแรงใดๆ - การออกแรงทำให้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัดหมดไปเร็วขึ้น

3. เมื่อน้ำที่เข้ามาในรถมีการเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ ถ้ามีคนเจ็บอย่าลืมช่วยคนเจ็บให้ศีรษะสูงจากน้ำด้วย - ศีรษะต่ำจะทำให้สำลักน้ำซึ่งเป็นการใช้แรงมากขึ้น ทำให้อากาศที่มีจำกัดยิ่งหมดไปเร็ว จมูกจมน้ำเมื่อไร คนหายใจไม่ออก

4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน - ช่วยให้การช่วยเหลือจากคนอื่นที่อยู่นอกรถ ทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น

5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดันในรถและนอกรถให้เท่ากัน - ความดันไม่เท่ากันทำให้น้ำจากภายนอกดันประตูรถไว้ จะเปิดประตูรถไม่ออก เปิดเองก็ไม่ได้ คนมาช่วยก็เปิดไม่ได้

6. รอเปิดประตูรถ พาตัวออกมาเมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบาน - ประตูจะเปิดออกได้กว้างที่สุดเมื่อความดันน้ำใกล้เคียงกัน

7. ออกจากรถแล้วก็ปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้ - มีข้อระวังถ้ามองไม่เห็นเลยในน้ำ ไม่ควรว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่ายไปในทิศทางที่ลึกลงไปใต้น้ำได้

วิธีดูทิศในน้ำ ถ้ามีแสงให้มองเห็น คือ ลองเป่าปากให้เกิดฟองอากาศ ฟองอากาศจะลอยขึ้นเหนือน้ำเสมอ ฟองอากาศลอยไปในทิศใดก็ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป จะขึ้นเหนือน้ำได้

8. ถ้ามีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆ นั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน

« « Prev : ยางระเบิดฉุกเฉินระหว่างขับรถ ทำอะไรได้บ้าง

Next : กระจกรถแตกระหว่างเดินทาง ทำอะไรได้บ้าง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

10 ความคิดเห็น

  • #1 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 18:19 (เย็น)

    เบิร์ดเคยสงสัยเกี่ยวกับรถตกน้ำเหมือนกันค่ะ แต่ก็ยังไม่เคลียร์ว่าถ้ารถเป็นกระจกไฟฟ้าจะเลื่อนลงได้หรือเปล่าหรือต้องซัดให้กระจกแตก

  • #2 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 19:37 (เย็น)

    ผมเห็นมากับตาหลายรายที่รถชนด่านตำรวจที่กีดขวางถนนทั่วประเทศ จนตาย เจ็บ ระนาว

    ส่วนรถตกน้ำตายนั้น เข้าใจว่าที่ผ่านในประวัติศาสตร์รถยนต์ มีฝรั่งตายไปหนึ่งคน

    ตายเพราะตกหลุม เฉพาะในไทย ปีละไม่น้อยกว่า 5000 ผลพวงจากนักการเมือง กินตามน้ำ ในการอนุมัติงบประมาณสร้างถนน …ก็ตายเพราะ “น้ำ” อยู่ดี เหอะ เหอะ

    ความเป็นไปได้ของรถตกน้ำ กับรถชนด่านตำรวจ (ที่มาตั้งกีดขวางถนน ที่ผิดกฎหมายพรบ. การจราจรทางบกอีกต่างหาก ) มันมากกว่ากัน ล้านเท่า

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 21:31 (เย็น)

    หลายปีก่อนมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะแพทย์ศาสตร์ต้องสูญเสียนักศึกษาแพทย์ที่กำลังจะจบจำนวน 4 คน เพราะขับรถตกน้ำที่ถนนวงแหวนรอบเมืองขอนแก่น เปิดกระจกไม่ได้ การที่รถใช้ระบบเซนทรัลล๊อก ด้วยไฟฟ้าทั้งหมด หากไม่มีอุบัติเหตุ ดูว่าเป็นระบบที่ทันสมัยที่สุด ผิดกับสมัยโบราณที่ใช้มือหมุน แต่หากรถตกน้ำจมลง จมลงนั้น ระบบมือหมุนปลอดภัยที่สุด แต่ปัจจุบันไม่มีมือหมุนแล้ว

    กระจกไฟฟ้าอันตรายมากเมื่อรถตกน้ำ มีคนแนะนำว่าให้พกค้อนสำหรับทุบกระจกเมื่อรถตกน้ำ แน่นอนต้องมีสติ ท่านที่มีวิชาการช่วยบอกหน่อยว่า กระจกที่มีน้ำเป็นแรงกดด้านนอกนั้นทุกกระจกมันจะแตกหรือเปล่า

  • #4 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 21:38 (เย็น)

    #1 เบิร์ดเอ๊ย พี่ว่าช่วงที่ควรเลื่อนกระจกรถลงเลย คือ เมื่อรู้ว่ารถจะตกน้ำ หรือ เมื่อรถจมลงในระดับที่น้ำยังไม่เข้าห้องเครื่องน่าจะเป็นจังหวะที่ดีที่สุดมากกว่าจมลงไปทั้งคัน เพราะตอนเริ่มจม เครื่องยนต์ยังไม่ดับ ถ้าไปลดกระจกเมื่อรถจมใต้น้ำเยอะแล้ว น้ำทะลักเข้ารถแบบพรูๆเลย ไอ้ที่จะทำตามคำแนะนำข้ออื่นๆก็คงเหลวเป๋วไปแล้วเพราะความตกใจนา

    ส่วนใหญ่พี่ว่าที่ต้องกระแทกกระจกรถ เพราะความเป็นอัตโนมัติเดิมมันสอนไว้ว่าระวังน้ำเข้ารถ แล้วไม่ยอมเปิดกระจกหน้าต่างมากกว่า

    คำแนะนำนี้เตือนให้มีสติ โอกาสที่จะทำได้อย่างคำแนะนำ ใช้ความจำไม่น่าได้ผล

    พี่ว่าระหว่างที่ยังไม่เกิดเหตุนี่แหละ สติมาได้มากกว่า สติมาก็มีปัญญาให้วิเคราะห์ลำดับที่ควรฝึกฝนพฤติกรรมตัวเองให้คุ้นไว้ จากที่ไม่เคยเปิดหน้าต่างรถเลย ก็ควรที่จะฝึกเปิดตอนรถวิ่งซะบ้าง จะได้รู้จังหวะมือตัวเองว่า เวลารีบๆลนๆนะแม่นยำ และว่องไวแค่ไหน

    ฝึกบ่อยๆปฏิกิริยาเราก็เป็นอัตโนมัติไปเอง จะเป็นสติหรือความว่องไวแบบสัญชาตญาณหรือความคิดอ่านในการแก้สถานการณ์ฉุกเฉินก็เหอะ

  • #5 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 21:54 (เย็น)

    #๒ สถิติของอาจารย์นี่ใช้ได้เลย ส่วนใหญ่ที่ตายๆไปก็เป็นพวกนักซิ่ง เมาแล้วขับ ง่วงแล้วขับ สภาพร่างกายกำลังไม่พร้อมแล้วไปขับรถ หรือเป็นคนต่างถิ่นที่ไม่เคยผ่านแถวนั้น ไม่คุ้นทาง หรือ มีความไม่เข้าใจพฤติกรรมตำรวจ

    ตกน้ำตายบ้านเรามีอยู่พอใช้ค่ะ แต่รายงานเรื่องตายจะระบุเป็นจมน้ำมากกว่า เวลารายงานข้อมูลพวกนี้ เขาเอาตรงสาเหตุตายตรงๆ ไม่ยอมให้ใช้สาเหตุนำสักที ยิ่งช่วงเทศกาลนี่ยิ่งบังคับให้ต้องทวนสอบกัน เมืองไทยจึงแก้เรื่องนี้ไม่สะเด็ดน้ำ เพราะหน้าบางไม่กล้าให้ปัญหาโผล่พ้นน้ำ

    ที่กระบี่ตอนนี้ ในโรงพยาบาลเริ่มบันทึกข้อมูลถนน แล้วส่งมอบข้อมูลชี้มูลไปที่อปท.ว่าถนนไหนเกิดบ่อย แล้วก็ให้ข้อมูลชาวบ้านด้วย ก็ช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนในการแก้ไขไปบ้างแล้วในบางพื้นที่ ทำให้ชื่นใจหน่อยที่อย่างน้อยที่เหนื่อยๆลงลึกรายละเอียดกัน มีผลในทางบวก ผลที่เกิด คือ อปท.เขาปรับปรุงถนนใหม่

    ที่จริงเรื่องตำรวจนี่โทษเขาไม่ได้ เขาทำหน้าที่ตามที่มีคนขอร้อง หรือสั่ง นายสั่งก็มีสิทธิแค่ทำตามสั่ง ไม่ทำก็ถือว่าผิดวินัย

    อีกจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยของที่กระบี่ คือ ถนนหน้าห้างใหญ่ มีเจ็บ มีตายบ่อยมาก เพราะก่อนถึงหน้าห้างเป็นถนนเนินพอดี วิ่งมาเร็วๆลงจากเนินก็เจอะกับรถที่ชะลอเพราะออกจากห้างพอดี จุดของถนนอย่างนี้แหละที่แก้ยาก เพราะเป็นถนนหลวงสายใหญ่ที่ใช้งบจากส่วนกลาง ก็ไม่รู้จะส่งข่าวผ่านไปช่องทางไหนให้เกิดการแก้ ส่งไปที่กรมทางหลวงเขาก็บอกว่า ไม่มีงบให้ งบฉุกเฉินก็ไม่มี ไม่รู้วางแผนกระจายอำนาจกันไว้อย่างไร ไม่ดูช่องว่างที่จะเกิดสุญญากาศเล็กๆอย่างนี้กันเลย

  • #6 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 21:59 (เย็น)

    #4 ไม่มีประสบการณ์ค่ะพี่บู๊ด เดาเอาจากประสบการณ์ว่า ถึงมีฆ้อนก็ไม่ง่ายที่จะทุบกระจกแตกจากด้านในรถ ความแรงของการทุบต้องการจุดหมุนของแรงที่มีระยะกว้างพอสำหรับเหวี่ยงแขน ระยะเพียงแค่ที่นั่งคนขับกับคนนั่ง ไม่กว้างพอให้มีแรงเหวี่ยงที่แรงพอนะคะ

    เคยมีประสบการณ์ที่เพียะเดียวกระจกแตกได้เลย จากก้อนหินขนาดเท่าหินสีในหินขัดที่ปลิวมาปะทะรถระหว่างรถกำลังวิ่ง ความเร็ว 80 กม. กระจกหน้าทั้งแผ่นไปเลยค่ะพี่

    จากความรู้ตรงนี้น้องก็นึกถึงความเร็วระดับกระสุนปืนนะพี่จึงจะสามารถช่วยได้ ฆ้อนไม่น่าจะช่วยได้ ยกเว้นคนทุบกระจกอยู่นอกรถค่ะ

    อีกหนึ่งเครื่องมือที่คิดว่าน่าจะหาไว้ติดรถด้วยก็คือ เครื่องมือตัดกระจก ถ้ามีเครื่องมือนี้อยู่ด้วยน่าจะใช้ฆ้อนทุบได้ผล ใช้แรงน้อยกว่า ซึ่งก็เป็นอะไรที่เดาว่าจะใช้ได้เท่านั้นเอง แหล่งของเครื่องมือชิ้นนี้มีขายที่คลองถม เขาว่าเป็นแท่งยาวๆคล้ายที่เปิดปลากระป๋อง ตรงหัวมีใบมีดกากเพชรอยู่ หรือซื้อจากร้านตัดกระจก ราคาของเครื่องมือนี้แต่ก่อนอยู่ที่ ๑๐๐ บาทขึ้นไปจนถึง ๗๐๐ บาท (เรื่องนี้ฟังคนอื่นมาอีกที) เขาว่ามี ๒ แบบ เรียกว่า รุ่นเพชรไม้ จะถูกหน่อย ไม่ค่อยทน อีกรุ่นเรียกว่า รุ่นเพชรน้ำมัน มีหลายราคาแล้วแต่ยี่ห้อ ที่เรียกรุ่นน้ำมันเพราะต้องใช้น้ำมันก๊าดกับมันด้วยเพื่อป้องกันหัวเพชร

    แต่ถ้าปกติใส่แหวนเพชรติดตัวอยู่แล้วเวลาออกนอกบ้านก็คงจะไม่ต้องไปหามาค่ะพี่

    จะทำยังไงให้กระจกแตกในน้ำที่อัดเข้าหารถด้วยเครื่องมืออะไรได้อีก สงสัยต้องให้อาจารย์ทวิชช่วยเติมเต็มค่ะ

  • #7 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 23:09 (เย็น)

    ผมได้เกริ่นมาแล้วว่า ผมได้เขียนบทความเรื่อง 109 วิธีตายบนท้องถนนไทย และได้ส่งมาให้อ่านกันแล้ว เขียนไปติดลมไป จนบัดนี้ได้ 500 วิธีแล้ว..ในจำนวนนี้ 400 วิธีมาจากความผิดของรัฐบาล..แต่แล้วก็มาโทษว่าคนไทยเมาแล้วขับ ทั้งที่ในอังกฤษคนมันเมาแล้วขับมากกว่าเราสิบเท่า แต่ทำไม่อุบติเหตุต่อหัวประชาการมันน้อยกว่าเราสิบเท่า …ตอบ..มันไม่มีด่านตำรวจ (ทั้งด่านโดยตรงและโดยอ้อม..ไอ้โดยอ้อมนี้แหละที่ก่ออุบัติเหตุได้มากกว่าโดยตรงเสียอีก)

    น่าแปลกมากว่าเรื่องอื่นๆคนไทยเราโทษรัฐบาลได้หมด ยกเว้นเรื่องอุบัติเหตุที่เราโทษตัวเอง แต่ชื่นชมรัฐบาลเสียเหลือหลายที่ออกมาด่าแต่พวกเรากันเอง ปล่อยให้รัฐบาลและตำรวจไทบลอยนวลมาตลอด

    ทฤษฎีเพื้ยนๆ ของผมอีกอย่างคือ ” ถ้าประเทศอยากพัฒนาเท่ายุโรปนั้นไม่ยากเลย เพียงแค่ห้ามตำรวจตั้งด่านถนนได้ก็พอแล้ว”…คนไทย 99.99% อ่านแล้วก็งงว่า อะไรมันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ เพราะพวกนี้คิดได้ง่ายเพียงว่า การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คือกุญแจสำคัญ เท่านั้นเอง

  • #8 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 23:41 (เย็น)

    #3 …แตกครับ ถ้าออกแรงตีมากพอ อาจแตกง่ายกว่าตีในอากาศปกติเสียอีก …ตามกฎข้อที่สามของนิวตันที่ว่า action= reaction (หรือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว)

    แต่ที่น่าคิดไปกว่านั้นคือ ทีเมกาเมื่อ คศ. 1986 99% ใช้รถที่มีกระจกเป็นมือหมุน แม้แต่ผอ.ศูนย์วิจัยนาซ่าที่ผมทำงานอยู่ด้วย แต่พอผมมาเยือนประเทศเกิดผมใน คศ. น้น ส่วนใหญ่ 90% ใช้กระจกไฟฟ้าหมดแล้ว

    นอกจากนี้ในคศ. นั้นคนเมกันไม่มีใครใช้มือถือ แต่คนไทยใช้มือถือกันมาก เป็นดุ้น

  • #9 ทวิช จิตรสมบูรณ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 5 กุมภาพันธ 2011 เวลา 23:47 (เย็น)

    …เป็นดุ้นเท่ากระบอกไฟฉาย…สังเกตว่าเอามาวางโชว์ แสดงอำนาจกันบนโต๊ะอาหาร

    ผมสาบานว่าที่เมกาในพศ.น้นไม่มีไอ้ดุ้นๆนี้ แต่เขามีแบบเล็กๆ พกกระเป๋าเสื้อได้แล้ว แถมมีการโปรโมท แจกเครื่องฟรี โทรครั้งและเพียง 25 เซ็นต์ (ประมาณ 5 บาท) แต่กระนั้นก็ไม่มีใครซื้อยกเว้นพวกที่มีความจำเป็นจริงๆ เช่น นายหน้าขายบ้าน (ผมเห็นนายหน้าผมเขาใช้อยู่)

    ส่วนไทยเราเครื่องละเป็นแสนบาท ค่าโทรแต่ละครั้งก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่นิยมใช้กันจัง

    สมควรแล้วที่จมน้ำตายกันมากๆ ..แผ่นดินจะได้สูงขึ้น

    อิอิ (ขออภัย นิสัยชอบเสียดสี ..แต่สร้างสรรค์นะ

    พระพุทธเจ้า ท่านพุทธทาส อาจารย์ชา หลวงตาบัว และพระอริยเจ้าจำนวนมาก ก็ชอบเสียดสี…แปลกมากนะผมว่า)

  • #10 สาวตา ให้ความคิดเห็นเมื่อ 6 กุมภาพันธ 2011 เวลา 0:04 (เช้า)

    #7 พฤติกรรมข้างบนที่เขียนไว้เป็นพฤติกรรมนำค่ะ อาจารย์ มีแต่พฤติกรรมอย่างนั้น หากไม่ประจวบกับต้นเหตุที่ไม่คาดว่าจะเจอ คือ จุดกีดขวางการสัญจรของเขา หรือ ถนนไม่ดี เป็นหลุมบ่อ แล้วเจอกระทันหัน สำหรับรถยนต์ พวกเขาเกิดอุบัติเหตุน้อย

    พฤติกรรมข้างต้นที่ทำให้เกิดบาดเจ็บ ตายในต่างจังหวัดมักเกิดกับพวกขี่มอร์เตอร์ไซด์ที่วิ่งๆอยู่แล้วเจอจุดกีดขวางการสัญจร หลบแล้วก็ไปปะทะกับรถเร็วที่สวนทางหรือวิ่งตาม

    ด่านที่แอบดักจับไม่ให้รู้ตัวแต่ก่อนในเขตเมืองมีบ่อยจนชาวบ้านโวย ความที่เป็นคนในสังคมแคบๆ เดี๋ยวนี้เริ่มหายไป ไม่ใคร่ทำกันแล้ว ยังเหลือก็แค่การดักจับบนเส้นทางหลักของตำรวจทางหลวง ที่หยุดรถดักจับความเร็วแบบไม่ดูที่ดูทางว่าจะทำให้คนไม่ปลอดภัยหรือเปล่ากับการหยุดรถให้ตรวจ

    จะว่าไปการตั้งด่านที่ทำๆไปในช่วงเทศกาล ก็มีเบื้องหลังความคิดเรื่องการป้องกัน ซึ่งหมอเองก็ว่าแก้คันแบบเกาไม่ถูกที่คัน แต่การทำก็ช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุในเขตชุมชนหนาแน่นลงได้เยอะในวันที่การจราจรหนาแน่น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่
You must be logged in to post a comment.

Main: 0.040085077285767 sec
Sidebar: 0.066596984863281 sec