รู้มั๊ยการกินอาหารก็มีศาสตร์ให้เรียนรู้
จอมป่วนได้เล่าให้ฟังเรื่องปาฐกถาพิเศษขององคมนตรี น.พ.เกษม วัฒนชัย ที่กล่าวถึงประโยชน์ 4 ด้านของการศึกษา เศรษฐกิจ สุขภาพ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมความเป็นพลเมืองดี ความเสมอภาค ผลาดรภาพ ความเป็นประชาธิปไตย
การให้การศึกษากับเด็กเป็นไปเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ อัจฉริยภาพของเด็กที่มีความแตกต่างกัน เป็นการศึกษาที่ยอมรับความแตกต่างของเด็ก ไม่พยายามให้ทำเหมือนๆกัน ที่มีผู้สอนเป็นกัลยาณมิตร และผู้เรียนเป็นคนสำคัญ
ฉันว่าหลักคิดนี้ใช้ได้แม้แต่กับผู้ใหญ่อย่างเราๆค่ะ การเรียนรู้ที่แท้จริงนอกจากรู้และเข้าใจแล้ว ควรลงมือปฏิบัติเพื่อให้รู้จริง และทำได้จริงในทุกๆสถานการณ์ การกินอาหารซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะคนจำเป็นต้องเรียนรู้โดยใช้ปรัชญานี้ค่ะ เรียนรู้ทำความเข้าใจ และลงมือปฏิบัติเพื่อให้ได้สุขภาพดีไงค่ะ สถานการณ์การป่วยของคนในโลกแสดงผลให้เห็นแล้วว่า แค่เข้าใจประโยชน์ของอาหารไม่ช่วยให้กินแล้วสุขภาพดีได้สักเท่าไร เพียงแค่รู้เรื่องอาหารแต่ลงมือปฏิบัติไม่ได้จริงก็ไม่ช่วยให้ได้สุขภาพดีสักเท่าไรเช่นกัน ในเรื่องการกินอาหารนั้นผู้กินเท่านั้นคือผู้ที่ตักอาหารใส่ปากเคี้ยวกลืนลงท้องของตน ศาสตร์ของการกินนั้นจึงยิ่งใหญ่สำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
นับตั้งแต่วัยเด็ก เราได้รับการสอนให้รู้จักอาหารว่าเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 แล้วเราจึงได้รู้จักกับอาหารหลัก 5 หมู่ ซึ่งบ้างก็จำกันมาจนถึงทุกวันนี้ได้ บ้างก็ลืมไปเสียแล้ว ที่กล่าวอย่างนี้เพราะเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่าน ฉันมีกิจกรรมพบปะผู้ปกครองนักเรียนอนุบาลอีกครั้ง ทีมงานฉันไปสอนการกินอาหารให้ถูกหลักพอเพียงพอดีมาค่ะ คุณพ่อคุณแม่บางคนเสียงอ่อย สารภาพออกมาว่า ลืมหมดแล้วค่ะหมอว่าอาหาร 5 หมู่นั้นมีอะไรบ้าง
คำสารภาพที่ออกจากปากของคุณพ่อคุณแม่นั้นไม่ได้ทำให้ฉันแปลกใจเลยสักนิดค่ะ เพราะว่าเมื่อฉันจัดกิจกรรมในหมู่เจ้าหน้าที่ร.พ. ผลมันก็แปะเอี่ยเลยค่ะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะคุณขาว่าการให้ความรู้ขั้นพื้นฐานในวงการศึกษาของเราจะล้มเหลวได้ขนาดนี้ มันให้คำตอบมาชัดว่า คนเรียนเรียนแล้วใช้ไม่เป็น จึงมีการใช้น้อย จนกระทั่งหลงลืม
ในเมื่อของจริงใน 2 สังคมพบเหตุการณ์อย่างนี้ ฉันจึงคิดว่า หากจะแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อใช้จริง ฉันพึงนำท่านย้อนไปในอดีตแห่งการเรียนรู้ เพื่อทบทวนความเข้าใจเรื่องอาหาร 5 หมู่กันอีกสักยกก่อนให้ลงมือปฏิบัติการจะดีกว่านะค่ะ อ้อ! ขอบอกกันก่อนว่าฉันจะไม่ใช้ความรู้ระดับนักโภชนาการมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านนะค่ะ แต่จะใช้แค่ความรู้ที่ระดับประถมเข้าใจได้มาแลกเปลี่ยนกับท่านค่ะ
ขอย้ำอีกครั้งนะค่ะ ความรู้ที่จะนำมาแลกเปลี่ยน เป็นความรู้ที่ระดับประถมเรียนรู้ได้นะค่ะ
เมื่อเรียนเรื่องอาหารในชั้นประถมกันนั้น จะมีคำหลายคำที่พึงทำความรู้จัก คำเหล่านั้นได้แก่ อาหาร สารอาหาร หมู่อาหาร หมวดอาหาร ฉันไม่แน่ใจว่าคำเหล่านี้มีที่ใช้แตกต่างกันอย่างไร แต่มีครูบอกฉันว่า คำเหล่านี้ใช้เรียกขานต่างกัน
ถ้าเรียกอาหาร จะมีความหมายถึงชนิดหรือประเภทของอาหาร เมื่ออาหารเหล่านี้ถูกจัดเป็นกลุ่มๆ จะเรียกแต่ละกลุ่มว่า หมวดอาหารค่ะ
ถ้าเรียกสารอาหาร จะมีความหมายถึง องค์ประกอบทางเคมีที่ร่างกายต้องการใช้เป็นอาหาร เมื่อจัดกลุ่มมันแล้ว จะเรียกแต่ละกลุ่มว่า หมู่อาหารค่ะ ในอดีตเมื่อฉันเรียนชั้นประถม ครูของฉันเขาสอนให้ฉันเรียกสารอาหารเหล่านี้ว่า อาหาร 5 หมู่ค่ะ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามิน
ฉันขอทบทวนคำเรียกเหล่านี้เพื่อจะบอกว่า การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องอาหารนี้ ฉันจะวนเวียนอยู่ที่ “อาหารและหมวดอาหาร” ค่ะ
เมื่อตอนฉันเป็นเด็ก ครูสอนให้รู้จักประโยชน์ของสารอาหาร สมองจำประโยชน์นั้นเป็นประโยชน์ของอาหารจึงสั่งให้เลือกบริโภคมันตามประโยชน์ที่ต้องการ แต่การสอนนั้นก็ไม่เคยบอกให้รู้เลยว่าปริมาณที่ควรกินควรจะเป็นเท่าไรจึงจะได้ผลของประโยชน์อย่างที่ต้องการ แม้เมื่อมาเรียนหมอฉันก็แน่ใจว่าฉันไม่เคยได้เรียนและรู้เกี่ยวกับเรื่องหลังนี้เลย จบหมอมาเกือบ 30 ปีเข้าแล้วจึงเพิ่งมีความรู้ว่ากินปริมาณเท่าไรจึงได้ผลประโยขน์แก่ร่างกายอย่างที่ต้องการ แปลกใจมั๊ยละท่าน
ศาสตร์ที่ฉันเรียนรู้จนเข้าใจเรื่องกินอาหารเท่าไร อย่างไร จึงจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายอย่างที่ต้องการนั้น ซ่อนอยู่ในข้อมูลเกี่ยวกับธงโภชนาการที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขเผยแพร่อยู่ค่ะ ธงโภชนาการได้บอกสัดส่วนของอาหารในหมวดต่างๆที่คนไทยควรกินประจำวัน ประจำวัยค่ะ คนที่ต้องการจำและจะนำไปใช้เลยนั้น ดูได้ที่นี่ค่ะ
มีแผนภูมิของมันที่ขอดึงภาพมาให้ดูชัดๆที่นี่ด้วยนะค่ะ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ฉันจะยกตัวอย่างเกี่ยวกับธงนี้ว่าจะนำมาใช้กับชีวิตประจำวันอย่างไร ด้วยตัวอย่างเมนูอาหารที่เก็บรวบรวมไว้จากที่คุยกับใครและถ่ายภาพเอาไว้เองด้วยค่ะ ด้วยว่ามันดึกแล้ว เรื่องสำหรับวันนี้จึงขอยุติเอาไว้ที่เพียงนี้ก่อนนะค่ะ
Next : กินมาก-กินน้อยดูยังไง » »
7 ความคิดเห็น
ขอย้ำอีกครั้งนะค่ะ ความรู้ที่จะนำมาแลกเปลี่ยน เป็นความรู้ที่ระดับประถมเรียนรู้ได้นะค่ะ
ชอบใจๆๆๆๆ รู้เท่าที่ควรรู้ แต่ปฏิบัติดีกว่า ก็แค่ใบไม้กำมือเดียว อิอิ
เห็นธงแล้วแปลกใจค่ะ เพราะให้ทานข้าวกับแป้ง 8-12 ทัพพีเลยหรือคะ ของตัวเองถ้านับเป็นทัพพีสงสัยไม่เกิน 5 แน่ๆ ค่ะ ผักก็ทานไม่ถึงค่ะ แต่ผลไม้ไม่รู้นับอย่างไรค่ะ หน่วยเป็น”ส่วน” เลยงงค่ะ
#1 ครือว่าจะให้ใครที่ไม่ใช่นักวิชาการอย่างเราๆทำได้ ทำเป็น = มีการศึกษา ก็ต้องใช้ภาษาเดียวกับชาวบ้านนะพี่นะ แล้วไอ้ที่จะใช้ความรู้แบบคำนวณเป๊ะๆนะ เวลากินจริงๆ ใครจะไปคำนวณ เลยว่าจะบันทึกบอกเทคนิกแบบกะๆเอาเวลากินอ่ะค่ะ แล้วไม่โม้นะถ้าจะบอกว่า ใกล้เคียงๆกับที่อยากจะให้ทำได้ด้วยละค่ะ อันนี้ขอบอก ใช้หุ่นคนบอกเป็นประกันค่ะ
#2 อาจารย์อย่าเพิ่งร้อนใจ ยังมีอะไรเบื้องลึกซ่อนอยู่อีก รู้ทั้งหมดแล้ว อาจจะกินไม่น้อยอย่างที่คิดอยู่ก็ได้ค่ะ
เรื่องนี้เรียนสนุกค่ะ ขอบอก
สนใจติดตามต่อนะค่ะ
#5 Lin Hui ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 สิงหาคม 2008 เวลา 11:05 (เช้า)
ส่วนมากปลาตายน้ำตื่น ขอบอก ก็ทุกคนชอบมองข้ามเรื่องพื้นฐานของชีวิต จะเอาแต่เก่งลูกเดียว ต่อให้เก่งเทียมยอดฟ้าถ้าฐานสุขภาพไม่ดี มันก็พังคลืนลงมาไม่ทันได้ใช้ความเก่งมันน่าเสียไหมล่า
นี่แหละคือเหตุผลลึกๆ ที่ Lin Hui ค้นหาหมอที่มีจิตอาสา มาแปลงความรู้ยาขมหม้อใหญ่ ให้เป็นขนมที่เติมความหร่อยหรือชอบเอาเอง ไม่ต้องเกรงใจหมอเจ้หรอก รุถามได้เลย ไม่ถามจะรู้ได้อย่างไรว่าที่เราเข้าใจและปฏิบัตินั้น มันใช่หรือไม่ จริงไหมหมอเจ้จ๋า เข้าข้างกัออกนอกหน้า มีปัญหาอ่ะป่าว
#5 ป้าหลินเจ้าขา จะตายน้ำตื้นแบบปลาหรือเปล่า ต้องลงน้ำดูก่อนถึงจะรู้ค่ะ ป้าขา พื้นฐานนี่ดีหมดไม่ว่าเรื่องอะไร ขอให้มีดีจริงๆเหอะ ไม่ล้มแน่
หมอเจ๊เคยทำขนม เวลาทำเองจะเบื่อเหมือนกันค่ะ เลยรู้ว่าเวลาจะทำขนมให้อร่อยต้องมีคนขอให้ช่วยทำให้ พอใจอยากทำทีนี้ขนมมันอร่อยด้วยใจที่ใส่ไปค่ะ ยาขมหม้อใหญ่นี้จึงต้องมีคนขอด้วยนะค่ะ
โอ้โห เจ๊หย่าย มาคุมซอยให้เลยเนอะ ขอบคุณๆที่มาเป็นหน้าม้าและคนคุมซอยให้ค่ะ
อาล่ายกัน มายกแม่ยก ให้เป็นเจ้ หย่าย ไม่พอยกให้เป็นผู้คุมเสียอีก อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวลูกค้าหรีหมด 5555