คำสอนของพ่อ

โดย อัยการชาวเกาะ เมื่อ 2 ธันวาคม 2010 เวลา 6:53 ในหมวดหมู่ ครอบครัว, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1763

วันนี้ ผมนำบทความที่คุณวิเคราะห์ สีหาบุตรและทีมงานที่เขียนถึงป๋าลงในหนังสือชีวิตต้องสู้ ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ สัมภาษณ์ป๋าเมื่อป๋าอายุ ๕๕ ปี ผมเห็นว่าเรื่องราวการสู้ชีวิตของป๋าจะเป็นประโยชน์แก่สังคม เป็นบทเรียนแก่เยาวชนในความมานะพยายาม จึงนำมาให้อ่านกันครับ

“ผมต่อสู้กับความยากจนมาตั้งแต่เด็ก ผมเข้าใจและรู้ซึ้งถึงความลำบากมาแต่ครั้งนั้น แม้เวลานี้ผมจะประสบความสำเร็จแล้วก็ตาม แต่ผมไม่เคยลืมภาพเหตุการณ์ต่างๆในอดีตที่ผ่านมาเลย” คุณจำเริญ ทองตัน กล่าวด้วยความภูมิใจ

ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเขาเริ่มต้นจากความรู้แค่ ป.๔ ฐานะก็ยากจน แต่ปัจจุบันนี้เขาเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งของจังหวัดพังงา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณจำเริญ ทองตัน ได้รับการยกย่องให้เป็น “บุคคลผู้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพอิสระ” คนหนึ่งของจังหวัดพังงา

เขาเป็นชายร่างผอมสูง แต่ท่าทางแข็งแรง ผิวสองสี ดูเป็นคนเอาการเอางานอายุประมาณ ๕๕ ปี เขาเป็นคนพูดเก่ง มีลีลาการพูดที่น่าฟังมาก สมกับเป็นนักธุรกิจโดยแท้

พวกเราได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์เขาถึงที่บ้าน ซึ่งเป็นตึกแถวอยู่ติดถนนในตัวเมืองพังงาที่หน้าร้านเป็นตู้กระจกสำหรับโชว์สินค้า ภายใต้ชื่อ “ร้านจำเริญภัณฑ์” ซึ่งมีสินค้าหลายอย่าง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ตลอดจนเครื่องใช้สำนักงานอีกหลายชนิด ที่จริงแล้วคุณจำเริญมีสถานที่ทำงานอยู่สองแห่งคือ ร้านจำเริญภัณฑ์นี่แห่งหนึ่ง กับปั๊มน้ำมันที่ชื่อว่า จำเริญภัณฑ์บริการอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จังหวัดนี้อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยเป็นจังหวัดที่ไม่ใหญ่โตนัก ตัวจังหวัดตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาใหญ่บ้างเล็กบ้าง มองดูสลับซับซ้อน มีทิวทัศน์ที่สวยงามหลายแห่ง มีภูเขาที่มีชื่อเสียง เช่น เขาช้าง ซึ่งมองดูแล้ว “เหมือนช้างหมอบ” เขานางหงส์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสตรีกำลังนอนตะแคง อยู่ ซึ่งนั่นก็เป็นธรรมชาติแท้ๆ แต่คนเราพยายามมองให้เห็นเป็นภาพพจน์ เป็นศิลป์ เพื่อให้เกิดสุนทรียภาพ นอกจากนี้ก็มีเขาพิงกัน ถ้ำลอด เกาะปันหยี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ปีหนึ่งๆมีคนไปเที่ยวเป็นจำนวนมาก

คุณจำเริญเป็นคนจังหวัดนี้โดยกำเนิด เขาเกิดที่ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง เมื่อปี ๒๔๗๒ พ่อของเขาเคยบอกว่า เขาเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ค่อนข้างพูดเก่งและชอบเล่นขายของมาตั้งแต่ยังเล็ก พ่อเป็นคนจีน จึงต้องการให้เขามีอาชีพค้าขายเหมือนบรรพบุรุษจึงได้ฝึกให้เขารู้จักเทคนิควิธีการค้าขายมาตั้งแต่เป็นเด็ก จากการที่เขาได้ช่วยพ่อขายของที่ร้านนี่เอง จึงทำให้เขาชอบอาชีพนี้ และเริ่มประกอบอาชีพค้าขายมาตั้งแต่อายุเพียง ๑๑ ขวบ เท่านั้น

ครั้นเมื่อเขาอายุเข้าเกณฑ์แล้ว พ่อจึงพาไปเข้าเรียนชั้น ป.๑ ที่โรงเรียนวัดโคกกลอยใกล้ๆบ้านนั่นเอง เขาเรียนไปด้วยค้า
ขายช่วยพ่อไปด้วย ชีวิตของเขาในวันหนึ่งๆ คือเรียนกับขายของคลุกคลีระคนกันอย่างนี้ตลอดมา แต่เขาก็ไม่เคยพบกับคำว่าสอบตกหรือเรียนซ้ำชั้นเลย ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมากตลอดเวลา ๔ ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาจบ ป.๔ นั้น เขาสอบไล่ได้ที่ ๒ จากจำนวนนักเรียน ๔๐ กว่าคน วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เพื่อนไม่ใคร่ชอบกันเพราะเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องนั้น แต่สำหรับเขาชอบวิชานี้มาก และทำคะแนนได้ดีเสียด้วย เขานึกภูมิใจในตัวเองเสมอ เมื่อได้ยินคุณครูพูดว่า “ศิษย์เก่งเลขครูรักเป็นหนักหนา”

เมื่อเขาจบชั้น ป.๔ ในปี พ.ศ.๒๔๘๓ จากโรงเรียนวัดโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่งแล้ว พ่อก็ให้เขาออกมาช่วยขายของที่ร้าน โดยไม่ให้เรียนต่อ ความจริงแล้วคุณพ่ออยากจะให้เขาเรียนต่อระดับสูงขึ้นไปอีก เพราะเห็นว่าผลการเรียนของเขาอยู่ในเกณฑ์ดีมาก พ่อก็ภูมิใจในตัวเขามากเช่นกันเพราะหากว่าได้เรียนต่อแล้วคงจะทำให้อนาคตไปได้ไกลทีเดียว แต่ชีวิตของคนเรานั้นมันเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ เนื่องจากตอนนั้นบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารญี่ปุ่นอยู่เต็มเมืองไทยไปหมด ช่วงนั้นคนไทยเราแยกเป็นสองพวก พวกหนึ่งไปเข้ากับญี่ปุ่น และมีหัวหน้าหลายคนด้วย เช่น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ดร.ปรีดี พนมยงค์ และใครต่อใครอีกหลายคน เมื่อบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม การเดินทางไปเรียนหนังสือก็ไม่สะดวก เกรงจะเกิดอันตรายได้ ประกอบกับฐานะทางบ้านไม่ค่อยจะดีนัก

ความหวังของเขาที่จะได้เรียนต่อก็เป็นอันล้มเหลวลง เขาเสียใจมาก แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ปลอบใจและพูดให้กำลังใจว่า “ลูกเอย คนเรานั้นมีไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จในชีวิตโดยที่ท่านเหล่านั้นไม่ได้เรียนสูงส่งอะไรนัก” จากคำพูดของท่านทั้งสองนี้เอง ทำให้เขามาคิดว่าอาจจะเป็นจริงอย่างนั้น เขาเลยเลิกคิดเรื่องที่จะเรียนต่อ แม้จะมีคุณครูบางคนอยากให้เขาเรียนต่อไปก็ตาม
จากร้านชำถึงโรงฝิ่น

เมื่อเขาผิดหวังทางด้านการเรียน เขาจึงคิดว่าจะต้องเอาดีทางด้านงานอาชีพ โดยเฉพาะด้านธุรกิจการค้าให้ได้ เขาช่วยพ่อค้าขายอย่างจริงจัง ต่อมาพยายามเรียนรู้และหาประสบการณ์ต่างๆจากพ่อบ้าง คนอื่นๆบ้าง

เนื่องจากการขายของชำที่ร้านไม่ค่อยจะพอกิน พ่อจึงไปเปิดโรงยาฝิ่นขึ้นอีก โดยที่ร้านขายของชำก็ยังคงทำต่อไป แต่พอได้ขอให้เขามาช่วยงานที่โรงฝิ่นแห่งเดียว

ที่นี่เขาได้พบชีวิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกของเขาเอง คนพวกนี้ไม่คิดถึงอดีต อนาคต เขาคิดถึงแต่ปัจจุบันขณะที่เขากำลังมีความสุขอยู่กับการสูบฝิ่นเท่านั้น เป็นชีวิตที่น่าสมเพชจริงๆ มันทำให้เขาคิดเลยไปถึงคำพูดของพ่อที่เคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งรัฐบาลจีนสั่งให้เจ้าหน้าที่เผาฝิ่นจำนวนมหึมาทิ้ง ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสงครามฝิ่นในเวลาต่อมา เพราะเห็นว่าฝิ่นจะทำให้คนจีนไม่คิดจะต่อสู้กับต่างชาติ ไม่คิดที่จะช่วยกันป้องกันประเทศชาติ มัวเมาแต่จะหาความสุขให้กับตัวเองด้วยการสูบฝิ่นซึ่งจะนำความหายนะมาสู่ชาติบ้านเมืองในที่สุด

การสูบฝิ่นก็คือ การฆ่าตัวตายแบบผ่อนส่งนั่นเอง หากประเทศไทยเรามีแต่คนสูบฝิ่นแล้วประเทศชาติจะอยู่ได้อย่างไร เขาคิดว่ามันเป็นการทำลายชาติโดยทางอ้อมและทำลายตัวเองโดยตรง

เขาทำงานที่โรงฝิ่นได้ไม่นาน พ่อก็เสียลง ตอนนั้นเขาอายุ ๑๕ ปีพอดี เมื่อสิ้นบุญพ่อแล้ว ชีวิตก็เริ่มผันแปรทันที เพราะตัวเขาเองก็ยังเด็กอยู่ แม่เองก็เป็นผู้หญิงไม่เหมาะที่จะทำงานอย่างนี้ แต่อย่างไรก็ตามเขากับแม่และพี่ๆน้องๆก็ช่วยกันต่อมา แต่ก็ไม่เหมือนตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่

เขายอมรับว่าเขาเองยังไม่ประสีประสากับงานเช่นนี้ด้วย อีกประการหนึ่งเขาไม่ชอบงานนี้เลย เขาไม่ชอบบรรยากาศที่อยู่ภายใต้เปลวไฟและควันฝิ่น โดยเฉพาะเขาทนเห็นภาพคนนั่งและนอนสูบฝิ่นไม่ไหว เขาเห็นอยู่อย่างนั้นวันแล้ววันเล่า มันสังเวชใจจริงๆคนพวกนี้เห็นแล้ว “ยังกับผีเดินได้” ไม่ผิดเพี้ยน

ชีวิตของเขาช่วงนี้นับว่าลำบากมากต้องต่อสู้กับงานที่ตัวเองไม่ชอบและไม่ถนัดด้วย ลำบากทั้งกายและใจ เขาต้องช่วยตัวเองแทบทุกอย่างแม้จะมีแม่และพี่น้อง แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก หนักๆเข้าทนลำบากไม่ไหว ในที่สุดก็ต้องเลิกโรงยาฝิ่น ตอนนี้เขายิ่งลำบากหนักเข้าไปอีก เพราะอยู่ในสภาพเหมือนคนตกงาน ต้องอาศัยแม่ทุกอย่าง จะทำอะไรก็ไม่ได้ดังใจเพราะไม่มีเงิน เขาจึงตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์

เมื่อเลิกโรงฝิ่นแล้ว เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปทำอะไรกิน ความรู้ทางอาชีพก็ไม่มีเรียนจบแค่ชั้น ป.๔ แถมยังไม่มีเส้นอีกด้วย เขาคิดอะไรไม่ออกจริงๆ

อยู่มาคืนหนึ่งขณะที่เขากำลังนอนเอามือขวาก่ายหน้าผากคิดอะไรต่อมิอะไรอย่างว้าวุ่นอยู่นั้น เขาก็นึกถึงคำพูดของพ่อที่เคยบอกเอาไว้ก่อนเสียว่า “คนเรานั้นแม้ยากจนเงินแต่ก็อย่าให้จนปัญญา” ในบัดดลความสว่างแจ่มใสก็พลันเกิดขึ้นในใจเขาอย่างประหลาด แล้วเขาก็คิดรำพึงอยู่ในใจว่า “เราคิดออกแล้ว เราคิดได้แล้ว”(ยังมีต่อ)

Post to Twitter Post to Facebook

« « Prev : กลยุทธ์สู่ความสำเร็จของผู้ชายที่ชื่อ “จำเริญ ทองตัน”

Next : คำสอนของพ่อ(๒) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

3 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.60801696777344 sec
Sidebar: 0.2128369808197 sec